โดย ฐนพงศ์ ลือขจรชัย
ก่อนอื่นผู้เขียนต้องขอชมผู้แปลคือ ปรีดี หงษ์สต้น และผู้ช่วยแปล วิราวรรณ นฤปิติ รวมทั้งสำนักพิมพ์ Illuminations Editions ที่ได้ทำให้งานสำคัญชิ้นนี้ปรากฏออกมาในภาษาไทย เพราะหากข้าพเจ้าเป็นผู้แปล คงประกาศยอมแพ้ตั้งแต่บทที่ 2 และหากข้าพเจ้าเป็นผู้พิมพ์ก็อาจปฏิเสธต้นฉบับที่ดูเหมือนจะขายได้ยากในสังคมไทยเช่นกัน (ดังนั้นจงช่วยกันซื้อ) การที่หนังสือเล่มนี้เสร็จสมบูรณ์และออกสู่สาธารณะด้วยรูปเล่มที่สวยงามจึงนับเป็นคุณูปการต่อวงวิชาการสังคมศาสตร์ของไทยอย่างสูงที่จะได้เข้าถึงหนึ่งในต้นฉบับของงานระดับคลาสสิกของการศึกษาหลังอาณานิคม (post-colonial) และผู้อยู่ในสถานะรอง (subaltern)[1]
หนังสือของ รณชิต คูหา (Ranajit Guha) มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า “Elementary Aspects of Peasant Insurgency in Colonial India” หรือ “มูลฐานจิตสำนึกของกบฏชาวนาในอินเดียยุคอาณานิคม” อันเป็นชื่อรองในฉบับภาษาไทย การตั้งชื่อหนังสือในฉบับภาษาไทยว่า “กบฏชาวนา” อาจทำให้ผู้อ่านเกิดความสับสน เพราะหนังสือเล่มนี้มิได้กำลังเล่าเรื่องราว (narrative) ของกบฏชาวนาที่เกิดขึ้นในอินเดีย แต่กำลังค้นหาสิ่งที่เรื่อกว่า “มูลฐานจิตสำนึก” ของกบฏชาวนา ว่ากบฏชาวนามีลักษณะร่วมพื้นฐานกันอย่างไร
เป้าประสงค์ของคูหาในการเขียนหนังสือเล่มนี้คือการยกระดับความเข้าใจต่อการกบฏของชาวนาที่เคยถูกมองว่าเป็นเรื่อง โกลาหล ไร้แบบแผน เป็นการตอบโต้ทางเศรษฐกิจ หรือเป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory) ของผู้นำบางคน ว่า แท้จริงแล้วการกบฏแต่ละครั้งมีมูลฐานจิตสำนึกทางการเมืองที่ต้องการจะ “พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” (upside down) สถานะความเป็นอยู่ของตน กล่าวคือ กบฏชาวนาไม่ใช่เป็นเรื่องของ “คนก่อน-การเมือง” (pre-political people) ดังคำกล่าวของ อีริค เจ. ฮอบส์บอว์ม (Eric J. Hobsbawm) นักประวัติศาสตร์มาร์กซิสต์ชื่อดังที่เคยระบุว่ายังไม่พบภาษาทางการเมืองในการกบฏ (ยุโรป); คูหาแย้งว่ากบฏชาวนามีจิตสำนึกทางการเมืองที่ชัดเจนในการก่อการ (อย่างน้อยก็ในอินเดีย) ซึ่งทั้งสิ้นล้วนแต่เป็นการเคลื่อนไหวก่อนที่มหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhi) จะมีบทบาททางการเมือง และก่อนที่ชวาหะร์ลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย (หลังได้รับเอกราช) จะพูดถึงชาวนาชาวไร่ในบ้านเกิดของตนด้วยซ้ำ หนังสือเล่มนี้จึงเป็นการสำรวจ จิตมูลฐานทางการเมืองของกบฏชาวนาที่เกิดขึ้นในอินเดียระหว่าง ค.ศ.1783-1900 รวมทั้งสิ้น 117 ครั้ง
ในการศึกษากบฏชาวนาของคูหา เนื่องจากเป็นการยากที่จะหาเอกสารลายลักษณ์อักษรจากฝ่ายชาวนาที่ไม่รู้หนังสือหรือไม่ได้บันทึกเรื่องราวของตนเอง คูหาจึงต้องใช้วิธีการอ่านหลักฐานจากฝ่ายผู้ปกครอง หรือจากฝ่ายบริติชราช (British Raj หรือ British Indian Empire) ที่ได้จดบันทึกการกบฏเอาไว้ โดยใช้วิธีการ “อ่านย้อนเกล็ด” อันเป็นการอ่านหลักฐานของผู้ปกครองเพื่อสะท้อนภาพกลับของกบฏชาวนาอันเป็นผู้ใต้ปกครอง วิธีวิทยาเช่นนี้ทำอยู่บนสำนึกที่ว่า ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างชนชั้นนำและชาวนานั้นมีลักษณะสะท้อนซึ่งกันและกัน ประดุจภาพสะท้อนในกระจกที่สะท้อนตัวตนของผู้ส่องในด้านกลับออกมา กล่าวคือ เป็นการมองเข้าไปในดวงตาของผู้ปกครองให้สะท้อนภาพของผู้ใต้ปกครองที่ถูกจ้องมองอยู่ คูหาระบุว่าที่สามารถทำเช่นนี้ได้เพราะรูปแบบการกบฏนั้นเป็นกระบวนทัศน์ (paradigm) ที่มีรากฐานมาจากความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างผู้ปกครองและผู้ใต้ปกครองในสังคมอินเดียทั้งก่อนและระหว่างช่วงอาณานิคม
มูลฐานแรกในการกบฏของชาวนานั้นคือ “การกลับด้าน” ชาวนาในสังคมอินเดียนั้นตกอยู่ภายใต้สำนึกด้านกลับของพลังทางศาสนาที่ชักจูงให้ชาวนาต้องซื่อสัตย์ เสียสละ และอุทิศชีวิตต่อเจ้านายว่าเป็นความดี เขาระบุว่านี้คืออุดมการณ์พื้นฐานของสังคมฟิวดัล จิตสำนึกเช่นนี้ตอกย้ำให้โลกของชาวนาตะหนักถึงระยะห่างระหว่างตนกับผู้ปกครอง และยึดถือว่านี่คือสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ในชั่วขณะที่เกิดการกบฏ โลกของชาวนาได้เกิดการกลับด้านขึ้นในฉับพลัน ชาวนาได้สลัดความเชื่อทางศาสนาที่กดทับพวกตนอย่างยาวนาน โดยมุ่งหมายที่จะช่วงชิงอำนาจรัฐ และเปลี่ยนความคิดเรื่องอดีตอย่างเป็นวัฎจักรและเต็มไปด้วยตำนานความเชื่อแบบผิด ๆ ไปสู่ความคิดเรื่องอดีตแบบเส้นตรงที่จะก้าวหน้ามายังปัจจุบัน
เมื่อเกิดการกบฏขึ้น กลุ่มกบฏจะเลือกที่จะทำลายสัญลักษณ์หรือนำสัญลักษณ์ของผู้ปกครองมาใช้เสียเอง หรือเป็นสิ่งที่ถูกเรียกว่า “พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” (turning thing upside down) สิ่งนี้คือสิ่งที่ศาสนาในอินเดียหวาดกลัวมาตั้งแต่อดีต คัมภีร์มนูธรรมศาสตร์เตือนว่า “ของต่ำจะทะลึ่งขึ้นที่สูง” หรือแม้แต่ในพุทธทำนายที่ระบุว่า “กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม” สภาวะของการกลับด้านเช่นนี้ถูกศาสนามองว่าคือความโกลาหลครั้งใหญ่หรือกลียุค ศาสนาจึงเล่มบทบาทที่จะกดทับและสร้างความศักดิ์สิทธิ์ของชนชั้นนำเพื่อรักษาไว้ซึ่งระเบียบของสังคม การกบฏของชาวนาจึงทำหน้าที่ในการทำลายระเบียบของสังคมเช่นนี้ เป็นการหย่าขาดจากสังคมแบบเก่า หรือเป็นการที่ “ผู้น้อยทะลึ่งพรวดขึ้นเป็นผู้ใหญ่เป็นการถาวร” การกบฏจึงไม่มีที่ว่างให้ความเป็นกลาง เมื่อเป็นมิตรไม่ได้ก็ย่อมต้องกลายเป็นศัตรูเท่านั้น”
การกลับด้านที่สำคัญคือการใช้ “ภาษา” คูหาระบุว่า คงไม่มีอะไรแสดงความสัมพันธ์ทางอำนาจได้ชัดเจนเท่าภาษาอีกแล้ว บรรทัดฐานที่ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร คือการดำรงระบบสัญญะและระเบียบแบบแผนทางสังคมที่ทรงพลัง ภาษาต่ำและภาษาสูงถูกควบคุมอย่างใกล้ชิดไม่ให้มีการละเมิด แต่เมื่อเกิดการกบฏขึ้นโครงสร้างเช่นนี้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ภาษาหยาบคายและคำผรุสวาททั้งหลายได้ปะทุประนามด่าชนชั้นนำทั้งหลาย เอกสารลายลักษณ์ที่ถูกถือว่าเป็นภาษาสูง (ผู้ปกครอง) ถูกบุกทำลายทุกครั้งที่ก่อการ กบฏชาวนาแสดงความจงเกลียดจงชังการใช้ภาษาเขียนของข้าราชการ การเขียนจึงต้องถูกทำลายในการกลับด้านเช่นนี้ เพราะในโลกของชาวนาการอ่านออกเขียนได้ไม่ใช่เรื่องของทักษะแต่เป็นเรื่องของวาสนา ภาษาเขียนจึงเป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องถูกทำลาย เสื้อผ้าและการแต่งตัวเป็นเป็นอีกรหัสสัญญะที่ใช้ควบคุมสังคมอินเดีย ดังที่ อันโตนีโอ กรัมชี (Antonio Gramsci) ระบุว่า “การแต่งกายเป็นมูลฐานของการแยกตนเองจากชนชั้นอื่น” การลุกฮือทุกครั้งชาวนาจึงฉวยเอาสัญญะการแต่งตัวของผู้กดขี่มาใช้ ชาวนาลุกขึ้นมาแต่งตัวทั้งที่ก่อนหน้าพวกเขาไม่ได้ใส่ รองเท้าอันเป็นของที่ต่ำที่สุดถูกหยิบขึ้นมาฟาดหัวของผู้ปกครอง
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยของการกลับด้านคือการล้อเลียนหรือทำลายศาสนาที่ผู้ปกครองใช้ ซึ่งสำหรับผู้ปกครองแล้ว “ภาพของชนชั้นล่างที่ลุกขึ้นมาเลียนแบบทำตนเสมอเป็นภาพที่อันตรายอย่างยิ่ง” กลุ่มกบฏได้มุ่งทำพิธีกรรมทางศาสนาที่ปกติเป็นเรื่องของชนชั้นนำ หรือการที่พวกวรรณะต่ำมาทำพิธีหรือปฏิบัติตัวเช่นวรรณะสูง ศาสนาได้ระบุคำเตือนเหล่านี้ไว้อย่างยาวนาน วรรณกรรมปุรณะระบุถึงหายนะก่อนที่เจ้าแม่กาลีปรากฏกายคือ การที่วรรณศูทรลุกขึ้นมาปฏิบัติตามธรรมเนียมของวรรณะสูง กบฏชาวนาท้าทายวัฒนธรรมและพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้ปกครองไม่ใช่ด้วยการเลียนแบบแต่เป็นการลุกฮือขึ้นลบหลู่ตรง ๆ พวกเขาทำลายทุกอย่างที่ศักดิ์สิทธิ์ ชาวนาได้เข้าได้เต้นระบำในวัด โยนทิ้งทำลายข้าวของเพื่อลบหลู่ดูหมิ่นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกชนชั้นสูงด้วยความจงใจ เหล่านี้คือการกลับด้านที่ทำให้ผู้ปกครองหวาดวิตกอย่างมากและเป็นมูลฐานแรกของกบฏชาวนา
มูลฐานที่ 2 คือความคลุมเครือ แม้การกระทำในมูลฐานแรกจะเป็นการ “พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน” (ตามข้อเสนอของคูหา) แต่การกระทำเหล่านี้ถูกมองโดยผู้ปกครองว่าเป็นเพียง “อาชญากรรม” เท่านั้น คูหาระบุว่าการมองเช่นนี้เป็นมุมองที่คับแคบและเป็นการตีความต่อสัญญะต่าง ๆ ของผู้ปกครองที่ผิด อาชญากรรมและการกบฏมีความแตกต่างที่สำคัญอยู่คือ การกบฏเป็นเรื่องของการร่วมกัน (public) การกระทำรวมหมู่ (communal) และเปิดเผย แต่อาชญากรรมเป็นเรื่องปิดลับและมีลักษณะเป็นปัจเจกมากกว่า เจ้าหน้าที่บริติชราชพยายามระบุว่าการเคลื่อนไหวรวมหมู่ของชาวบ้านเป็นเรื่องของการสมคบคิด หรือมีมือที่สามคอยยุยงส่งเสริม (เช่นผู้นำท้องถิ่น) แต่โดยมากมักไม่เจอว่ามีผู้ใดคอยวางแผน เจ้าหน้าที่รัฐไม่อาจเข้าใจได้ว่า อาชญากรรมที่เกิดขึ้นถี่ ๆ แท้จริงแล้วคือจุดเริ่มต้นของการกบฏ เพราะแท้จริงแล้วอาชญากรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการที่ชาวนาเริ่มทนไม่ไหวต่อสภาพความเป็นอยู่ของตนจนต้องก่ออาชญากรรมเพื่อประทังชีวิต
อย่างไรก็ดี กบฏชาวนาจะมองสัญญะของ “อาชญากรรม” กลับด้านกับผู้ปกครอง พวกเขามองว่าการฝ่าฝืนกฎหมายเป็นเรื่องชอบธรรม น่ายกย่องสรรเสริญ และเป็นการประท้วงต่อสังคม ชาวนาพร้อมจะสนับสนุนศีลธรรมแห่งการขโมยอาหารเพื่อประทังชีวิต จนถึงจุดที่พวกเขารู้สึกร่วมกันว่าสามารถทวงคืนความยุติธรรมจาดสังคมด้วยการจับอาวุธร่วมกัน และเป็นจุดเริ่มต้นในการตระหนักว่าพวกเขาอยู่ในชนชั้นเดียวกัน
ชาวนาถือว่าการกบฏเป็นพิธีการเปลี่ยนอาชญากรให้กลายเป็นกบฏ แน่นอนว่าฝ่ายผู้ปกครองไม่อาจเข้าใจกระบวนการนี้ว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่างจากการลักขโมยทั่วไปที่พวกเขาคุ้นเคย แต่เป็นการรวมตัวกันขึ้นเป็นกองทัพกบฏเพื่อประกาศสงครามกับบริติชราชโดยตรง การที่ผู้ปกครองล้มเหลวในการเข้าใจว่าการกบฏเกิดขึ้นแล้วเป็นเรื่องยากหลักเลี่ยงเพราะพวกเขาไม่เข้าใจสัญญะที่เปลี่ยนไปของชาวนา พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมชาวบ้านที่ปกติมีชีวิตสงบสุขและรังเกียจอาชญากรรมได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับพวกนักเลงและอันธพาลท้องถิ่นไปเสียเล่า ผู้ปกครองไม่เข้าใจว่าทำไมชาวบ้านถึงลุกขึ้นมาประจันหน้ากับพวกเขา ซึ่งทำให้ในสายตาของผู้ปกครอง การกบฏเหล่านี้จึงเรื่องคลุมเครืออันเป็นมูลฐานที่ 2
มูลฐานที่ 3 คือลักษณะร่วมอันได้แก่ 1.สาธารณะ (public) 2.รวมหมู่ (collective) 3.ทำลายล้าง (destructive) และ 4.รวมทั้งหมด (total) สำหรับความเป็น “สาธารณะ” พื้นฐานของการกบฏจะต้องเป็นเหตุการณ์ที่เปิดเผยและเป็นสาธารณะ พวกเขาไม่ได้ปกปิดความรุนแรงด้วยการเสแสร้งทำตามระเบียบและกฎหมาย ซึ่งสิ่งชี้วัดความเป็นสาธารณะของการกบฏนั้นคือ “คำสั่ง” (ปรวานา – parawana) ผู้นำกบฏมักแสดงอย่างชัดเจนว่าได้รับโองการจากเทพเจ้าในการประกาศสงครามกับบริติชราช หรือแสดงตนว่าได้กระทำไปในนามของผู้มีอำนาจ กล่าวคือกระทำไปด้วยการอ้างอิงสมมติว่าพวกตนได้รับอนุญาต ได้รับแรงสนับสนุน และความช่วยเหลือจากเบื้องบน ในสายตาของกบฏนั้นพวกเขาจึงรับใช้สาธารณะอยู่ และจำต้องได้รับค่าแรง หรือ “ธีงค์-ขรจา” (Dhing-kharchar - ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า เงินที่ต้องนำมาจ่ายสำหรับการกบฏ) ลักษณะร่วมประการแรกของกบฏจึงต้องแสดงความเป็นสาธารณะ
ลักษณะร่วมประการที่ 2 คือการกระทำรวมหมู่ ที่ระเบิดออกมาผ่านภาษาของการใช้แรงงานร่วมกัน การประชุม การวางแผน การรวมตัว และการโจมตี คือขั้นตอนปกติของการกบฏที่เกิดขึ้น การหารือและประชุมรวมหมู่จึงแสดงลักษณะของการกระทำที่เป็น collective
ลักษณะร่วมประการที่ 3 คือการทำลายล้าง การกบฏมีลักษณะของการมุ่งกระทำการรุนแรงให้แตกหัก ชาวนาจำนวนมหาศาลที่เคยเป็นคนหัวอ่อนกลับกลายมารวมตัวกันเพื่อร่วมปฏิบัติการบางอย่างด้วยความรุนแรง การระดมมวลชนเช่นนี้ได้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ชนชั้นนำ พวกเขากลัวว่าการรวมตัว (แม้จะเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย) จะเกิดการประชุม ตัดพ้อถึงความไม่พอใจ ความโกรธแค้น ที่ตัวเองต้องเผชิญ จนทำให้เจ้าหน้าที่พยายามยุติลงการรวมตัวเช่นนี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา ความกลัวว่าการชุมนุมจะกลายเป็นภัยความมั่นคงของประเทศทำให้แม้แต่คดีมโนสาเร่ก็อาจจะส่งผลต่อความมั่นคงของรัฐบาลได้ คูหา ระบุว่า จะว่าไปแล้วพวกเขาก็คิดถูก การระดมมวลชนเพื่อต่อสู้กับระบอบการปกครองเป็นพลังที่จะท้าทายรัฐบาลได้ การระดมมวลชนหลายครั้งมีรูปแบบทางศาสนา กล่าวคือการกบฏมักเริ่มในวันที่มีการรวมตัวกันของชาวนาเพื่อทำพิธีทางศาสนา และตามด้วยการ “ขอแรง” เพื่อทำการกบฏ ในลักษณะเดียวกับการลงแขกเพื่อเก็บเกี่ยวพืชผล หรือล่าสัตว์ การกบฏจึงแสดงลักษระของการร่วมแรงร่วมใจในการเข้าปล้นสะดมและนำมาแจกจ่าย แบ่งสันปันส่วน เหมือนกับการจับปลาและล่าสัตว์
เมื่อเกิดการรวมตัวกันแล้ว การกบฏจะมุ่งทำลายล้างอะไรก็ตามที่เป็นทรัพยากรหรือเครื่องมือของอำนาจ โดยการทำลายล้างจะมีรูปแบบที่ชัดเจน 4 วิธีคือ การทำลาย (wrecking) การเผา (burning) การเขมือบ (eating) และการปล้นสะดม (looting) กลุ่มกบฏจะเข้าทำลายทุกสิ่งที่เป็นตัวแทนของศัตรู อาคาร ที่พักอาศัย อุปกรณ์ และเครื่องมือต่าง ๆ ของผู้ปกครอง การทำลายมักมาควบคู่กับการวางเพลิง การเผาอาคารต่าง ๆ มักเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มการกบฏ การทำลายและการเผาเช่นนี้ไม่ได้ปรากฏเฉพาะแค่สิ่งที่กบฏอาจเห็นว่าเป็นสิ่งไร้ค่าต่อพวกเขาเท่านั้น แม้แต่ทรัพยากรที่มีประโยชน์ต่อพวกเขาก็มักถูกทำลายไปด้วย สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงจิตสำนึกของกบฏที่ก้าวไปสู่เรื่องของศักดิ์ศรีอันมีความสำคัญกว่าตัวเงิน กล่าวคือ การเมืองของพวกเขาได้ก้ามข้ามเรื่องปากท้องไปแล้ว การกระทำของกบฏจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอธิบายด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว คูหาระบุว่า ยิ่งการลุกฮือเคลื่อนความหมายจากอาชญากรรมไปสู่การกบฏมากเท่าใด ก็ยิ่งแสดงลักษณะของการเมืองมากกว่าเศรษฐกิจเท่านั้น
สำหรับการเขมือบและการปล้น การกบฏจำนวนมากมักมีของเหลือทิ้งจำนวนมาก สิ่งนี้จึงไม่ใช่เพียงการกินเพื่อประทังความหิวอีกต่อไป แต่เป็นการลงโทษศัตรูและทวงคืนค่าตอบแทนสำหรับงานสาธารณะ (public service) สำหรับการปล้นนั้น กบฏไม่ได้มุ่งหมายจะเอาทรัพย์สิ้น แต่มุ่งทำลายอำนาจของศัตรูด้วยการยึดอะไรก็ตามที่เป็นของศัตรูมา ชาวนาชาวไร่ไม่ได้รวมตัวกันเพื่อปล้น แต่ต้องการจะทำลายทรัพยากรของศัตรูเป็นสำคัญ การปล้นเป็นเพื่อส่วนต่อขยายของการกบฏเท่านั้น ของที่ถูกปล้นมาก็มิได้ถูกปฏิบัติในฐานะของที่ขโขยมา แต่จะอยู่ในฐานะของเสบียงที่จะทำมาแจกจ่ายหรือกันเอาไว้เป็นของส่วนกลางมากกว่า
ลักษณะร่วมประการสุดท้ายคือ “รวมทั้งหมด” ลักษณะของความรุนแรงที่กล่าวมานี้จะมีลักษณะที่ครอบคลุมและรวมทั้งหมด (total and integrated violence) การลุกฮือได้สลัดทิ้งลักษณะเฉพาะตนและทำการเชื่อมโยงปัจจัยมูลฐานเดียวกันภายใต้มูลฐานอันสลับซับซ้อนใหญ่หนึ่ง ๆ กล่าวคือการกบฏคือการประกาศเจตจำนงของมวลชนรวมหมู่ (many) การรุกเข้าไปทำลายล้างมีเป้าหมายครอบคลุมกว้างขวางและมีรูปแบบหลากหลาย รวมทั้งมีเป้าโจมตีมากมาย นั้นหมายความว่าจุดมุ่งหมายของการก่อการเหล่านี้ควบรวมทั้งในระดับแนวนอนและแนวตั้งอย่างเป็นระบบ (system)
ทั้งนี้ การฆ่า (killing) ไม่ได้เป็นยุธศาสตร์แห่งการเคลื่อนไหว แต่มักปรากฏออกมาใน 2 ลักษณะคือ การฆ่าจากการประจันหน้ากับการปราบปรามและการป้องกันตัว ความรุนแรงโดยมากจะไม่ก้าวไปสู่การฆ่า กล่าวคือ การฆ่าไม่ใช่สิ่งที่กระทำกันทั่วไป (general) การฆ่าส่วนใหญ่มาจากการลงโทษ (punishment) และการเรียกร้องให้ชดใช้ (retributive) ซึ่งจะมีความเจาะจงไปยังผู้ทรยศ ผู้รับใช้ศัตรู หรือผู้ที่ทำการกดขี่ชาวนาก่อนหน้า เช่น เจ้าหนี้ เจ้านาย เป็นต้น เราอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า การฆ่าไม่ได้เป็น “ลักษณะร่วม” ของการกบฏ อันเป็นมูลฐานที่ 3
มูลฐานที่ 4 คือ ความเป็นปึกแผ่น รูปแบบและจิตใจของกบฏนั้นวางอยู่บนพฤติกรรมร่วมสองอย่าง คือการเอาอย่าง (emulation) และความเป็นปึกแผ่น (solidarity) หลักฐานชิ้นหนึ่งระบุว่า เมื่อชาวนาถูกถามว่าทำไมถึงก่อการ พวกเขาตอบว่าไม่รู้ เพราะเห็นคนอื่นทำก็เลยทำบ้าง (copy) พวกเขาคิดว่าหากเขาก่อการด้วยวิธีดังกล่าว พวกเขาจะสามารถทำลายขุนนางและชนชั้นสูงในโลกนี้ได้ ผู้คนเหล่านั้นจะถูกกวาดล้างและไม่เหลืออีกต่อไป” การเอาอย่างเช่นนี้ทำให้การกบฏแพร่กระจาย (contagion) อย่างรวดเร็ว (ตามคำอธิบายของศัตรู) แต่สำหรับชาวนาแล้วสิ่งนี้คือความเป็นปึกแผ่น เพราะความเป็นปึกแผ่นนั้นเป็น “ยี่ห้อ” (imprint) ของจิตสำนึกชาวนา การลุกฮือที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากความเป็นปึกแผ่นของผู้ก่อการซึ่งอาจมีทั้งมิติในทางชนชั้น ทางชาติพันธุ์ หรือทางศาสนา และการไม่เผชิญหน้ากับมิติทางศาสนาของความเป็นปึกแผ่นของกบฏ และสรุปไปว่ามันเป็นเรื่องทางโลกอย่างชิ้นเชิงนั้นคือความผิดพลาดในการเขียนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
ความเป็นปึกแผ่นได้สร้างจริยธรรมชุดหนึ่งขึ้นมา นั่นคือการกบฏเป็นสิ่งที่ดีและการไม่กบฏเป็นสิ่งที่เลว จริยธรรมนี้เป็นผลมาจากลักษณะของความร่วมกันในการกบฏ กล่าวคือ ตราบใดที่การกบฏประกาศเจตจำนงของส่วนรวม (The many) ความเป็นปึกแผ่นของการกบฏจะทำหน้าที่จัดแสดงและเป็นเครื่องมือของเจตจำนงนั้น (communal authority) ความเป็นปึกแผ่นวางอยู่บนความเข้มแข็งของการต่อต้านรวมหมู่ 2 ทาง คือ 1. ทางวัฒนธรรม และ 2.ทางกายภาพ การต่อต้านทางวัฒนธรรมมักแสดงในรูปแบบการเป็นภัยต่อคน ๆ หนึ่งในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นหรือการคว่ำบาตรทางสังคม ผู้ที่ปฏิเสธจะเข้าร่วมกับการกบฏจะถูกดูหมิ่นและคว่ำบาตรโดนชาวบ้านในหมู่บ้านเดียวกันซึ่งทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจและทางสังคมของคนที่ถูกคว่ำบาตรล่มสลายลงได้เลย ส่วนทางกายภาพมักจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น เช่น การทำร้าย หรือขู่ว่าจะทำร้ายต่อทรัพย์สินและร่างกายของผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งอาจแสดงออกทางสายตาหรือคำพูด ข้อความในโครงสร้างแบบ “ร่วมกับเราเสียดี ๆ ไม่อย่างนั้นจะเสียใจ” เป็นลักษณะที่พบเห็นได้ตลอด แต่การกระทำดังกล่าวแตกต่างจากการส่งจดมหายนิรนามไปข่มขู่เพราะการคว่ำบาตรทางคำพูดนั้นมีลักษณะที่เป็นสาธารณะและเปิดเผย
คูหาระบุว่าการใช้กำลังในการสร้างความเป็นปึกแผ่น เป็นสิ่งที่ถูกเข้าใจผิดง่ายเพราะดูจะย้อนแย้งในตัวเอง ผู้ปกครองทั้งหลายต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ชาวนานั้นถูกบังคับ (force) ถูกยึด (seized) และตกกระไดพลอยโจน (compelled) หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเขาถูกจัดตั้งให้กลายเป็นกบฏโดยขัดต่อความประสงค์ของตัวเอง คูหายืนยันว่านี่คือความเข้าใจผิด แท้จริงนี่คือเรื่องระดับความพร้อมในการจับอาวุธขึ้นก่อการเท่านั้น อย่างไรก็ดี สิ่งนี้เป็นคนละกรณีกับคนทรยศ (Betrayer) หรือพวกที่ส่งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ คูหาประณามว่า คนทรยศแสดงจิตสำนึกที่ล้าหลัง ความเป็นทาส (servility) ความกลัวการเปลี่ยนแปลง และพวกที่เชื่อในโชคชะตา (fatalism) การทรยศถูกทำให้กลายเป็นบาป (sin) ที่จะต้องถูกลงโทษด้วยมาตรการที่รุนแรงที่สุด และเมื่อการกบฏเข้าสู่กระแสสูง อะไรที่ดูเป็นกลางจะไม่สามารถรับได้อีกต่อไป เพราะมีเพียงแค่พวกเขาและศัตรูเท่านั้นที่ดำรงอยู่ กบฏจะเหมาว่าใครที่ไม่เข้าร่วมกับพวกเขาเป็นคนทรยศ และเป็นศัตรูร่วมของการกบฏ ซึ่งสิ่งนี้คือการกระทำเพื่อปกป้องความเป็นปึกแผ่นของการกบฏอันเป็นมูลฐานที่ 4
มูลฐานที่ 5 คือการแพร่กระจาย ในด้านหนึ่งเมื่อชาวนาลุกฮือขึ้นในลักษณะของการรวมหมู่ (collective enterprise) ศัตรูของพวกเขากลับมองว่า การกบฏนั้นไม่ต่างจาก “โรคระบาด” (contagion) เป็นโรคร้าย (disease) ที่จะแพร่ติดเชื้อ (infect) ไปอย่างรวดเร็ว คูหาระบุว่าการอุปมาเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงมิติของความไร้เหตุผลของผู้ปกครองในสองตลบคือ ตลบที่ 1 การพูดว่าการกบฏเป็นโรคร้ายที่แพร่ไปติดชาวนาที่กระจัดกระจายตามชนบทนั้นดูราวกับว่า พวกเขาไม่ได้มีความทุกข์ยากลำบากอะไรที่เชื่อมโยงกันเลย ซึ่งทำให้ผู้ปกครองเชื่อว่า การกบฏจะต้องมีผู้นำที่มีทักษะวางแผนการ และตลบที่ 2 ความฉับพลันทันที (suddenness) ความเร็ว (speed) และการเกิดขึ้นหลายที่ในเวลาเดียวกัน (simultaneity) คูหาระบุว่า คำอธิบายว่าการลุกฮือเกิดขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกันเป็นสิ่งที่ผิด (ความจริงไม่พร้อมกัน) แต่เพราะการระบุว่าการกบฏเกิดขึ้นพร้อมกันเป็นข้ออ้างที่ง่ายของผู้ปกครองที่จะเปลี่ยนการกบฏให้กลายเป็นทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory) คูหาระบุว่าที่เกิดกบฏเกิดขึ้นได้อย่างใหญ่โตส่วนหนึ่งก็มาจากการที่อาณานิคมอังกฤษได้สถาปนารัฐรวมศูนย์ขึ้น ทำให้กลุ่มคนกึ่งฟิวดัลมารวมตัวกันอย่างใหญ่โตมโหฬารอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์อินเดีย และผลพวงของมันคือการรวมเจ้าที่ดิน เจ้าหนี้เงินกู้ เจ้าหน้าที่รัฐ ฯลฯ ให้มารวมตัวกัน จนทำให้การกบฏมีเป้าหมายที่จัดเจนและทำให้การกบฏพัฒนาและแพร่ขยายออกไป
การแพร่กระจายของการกบฏมีวิธีการอันหลากหลาย ด้วยการที่สังคมชาวนาเป็นสังคมก่อนตัวอักษร (pre-literate) ทำให้ชาวนาสื่อสารกับด้วยมุขปาถะมากกว่าการเขียน การกบฏยังใช้รูปแบบการสื่อสารดั้งเดิมและรูปแบบเก่าที่เจ้าหน้าที่อาณานิคมไม่คุ้นเคย จนทำให้หลายครั้งการสื่อสารของชาวนาถูกมองเป็น “สัญลักษณ์ลึกลับ” (occult symbol) ข้อความของกลุ่มกบฏผ่านการสื่อสารรูปแบบเก่าทำหน้าที่สองทางไปพร้อมกัน คือการแพร่กระจายและจัดตั้งไปในตัว “เราลุกฮือขึ้นแล้ว จงมาร่วมกับเรา” ข้อความของกบฏถูกส่งผ่านอวัจนาภาษาทั้งทางหูและตา ตามแต่ละระบบสัญญะและแต่ละเหตุการณ์ กลอง ขลุ่ย และเขาสัตว์ คือการสื่อสารทางหูที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด การสื่อสารรูปแบบเป็นการสื่อสารที่เข้าใจเฉพาะสมาชิกของกลุ่ม ส่วนการสื่อสารทางตา (visual signs) ปรากฏทั้งทางตรง (iconic) และความหมายแฝง (symbolic) เช่น การยิงธนู การส่งกิ่งไม้ (เธอรี – dhauree) หรือการส่งปาตี (แป้งแผ่นแบน ๆ ที่ทำจากข้าวสาลี) เป็นต้น สัญลักษณ์เหล่านี้จะเป็นที่เข้าใจในหมู่ชาวนาแต่ละกลุ่มเท่านั้น ผู้ปกครองส่วนมากไม่เข้าใจว่าการกระทำดังกล่าวหมายความว่าอะไร จึงเกิดการจับแพะชนแกะหลังจากการการกบฏขึ้นว่า การกระทำหนึ่ง ๆ เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของการเตรียมการกบฏ (มิได้หมายความว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย) การกระทำดังกล่าวมีลักษณะเป็นสถานะของสัญลักษณ์ (mode of being) ไม่ใช่ดัชนี (index) การตีความที่ผิดพลาดเกิดจากการที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยระหว่างสองวัฒนธรรม กฎดั้งเดิม (conventional rule) ที่ชาวอังกฤษใช้ตีความวางอยู่บนฐานของการระดมมวลชนในสก็อตแลนด์ แต่ชาวอินเดียนั้นทำภายใต้พิธีกรรมในการรับมือกับผีที่ทำให้เกิดโรคร้ายต่าง ๆ การแจกจ่ายปาตีเพื่อไล่โรคร้ายจึงถูกแปรความหมายหการเป็นการเมือง
การแพร่กระจายทางวัจนภาษของการกบฏ ย่อมไม่สามารถตัดขาดออกจากปรากฎการณ์ทางอวัจนภาษาได้ การแพร่กระจายทางวัจนภาษานั้นมี 2 รูปแบบคือ ภาพ (graphic) และแบบไม่มีภาพ (non-graphic) การสื่อสารในรูปแบบการเขียนนั้นมีน้อยมาก ชาวนาส่วนมากไม่สามารถเขียนได้ การเขียนนั้นถือเป็นเรื่องอภิสิทธิ์ชน การแพร่กระจายการกบฏด้วยการใช้ข้อความจึงถือเป็นข้อยกเว้น วัจนาภาษามักออกมาด้วยภาพโดยที่หลายชิ้นไม่มีอะไรเขียนอยู่บนกระดาษเลย การแพร่กระจายของการกบฏจึงมีความคลุมเครือ คำประกาศต่าง ๆ จึงต้องอ้างอิงไปนอกเหนือโลก (otherworldliness) เป็นการย้ายการกบฏไปสู่โลกเหนือจริง (surreal) และโลกปรัมปรา (mythical) การเมืองของชาวนาจึงมักแสดงออกด้วยภาษาศักดิ์สิทธิ์และทำให้ความเคลื่อนไหวที่รุนแรงถูกพิจารณาเป็นความเคลื่อนไหวของลัทธิความเชื่อทางศาสนา
การแพร่กระจายการกบฏที่สำคัญที่สุดปรากฏอยู่ในรูปแบบประกาศนิรนาม หรือ ข่าวลือ (rumour) ข่าวลือนั้นถือเป็นสิ่งสากล (universal) และจำเป็น (necessary) จนอาจกล่าวได้ว่าไม่มีการกบฏใด ๆ ที่ปราศจากข่าวลือเป็นตัวจุดชนวน ความตื่นตระหนกที่แพร่กระจายไปในช่วงต้นของการกบฏมักเกิดจากข่าวลือขนาดยักษ์ เช่น การใช้กระสุนเคลือบด้วยน้ำมันหมู แป้งที่ปนเปื้อนเนื้อสัตว์ การพยายามเปลี่ยนศาสนาชาวบ้านให้เป็นคริสต์ หรือการสิ้นสุดการปกครองของอังกฤษ โดยเฉพาะข่าวลือเรื่องวันสิ้นโลกต่างๆ ข่าวลืออันยอดเยี่ยมแสดงออกด้วยคำพูดไม่ใช่การเขียน ข่าวลือได้สร้างความปัจจุบันทันด่วน (immediacy) และใช้แพร่ขยายเรื่องสำคัญในช่วงที่สังคมตึงเครียดและรอการปะทุ
ข่าวลือนั้นแตกต่างจากข่าวสาร (news) ในสองแง่ 1.ข่าวสารต้องการแหล่งที่มาและตรวจสอบได้ กลับกันข่าวลือจำเป็นต้องนิรนามและไม่มีแหล่งที่มา 2. ข่าวสาร แยกแยะระหว่างผู้ให้ข่าวกับผู้รับข่าวอย่างชัดเจนแต่ข่าวลือนั้นไม่มี การเคลื่อนย้ายของข่าวลือได้ทำให้ผู้รับข่าวเป็นผู้ส่งข่าว ข่าวลือจึงมีพลังเคลื่อนย้ายอย่างสมบูรณ์ (absolute transitivity) นอกจากนี้ข่าวลือยังเป็นหนึ่งในรูปแบบสื่อกลาง (intermediate forms) กล่าวคืออยู่ระหว่างเรื่องเล่า (tale) กับปรัมปรา (myth) ที่มีความคลุมเครือและความไม่ชัดเจนของประธาน (cognitive unclarity) รวมทั้งยังเป็นปรากฏการลูกโซ่ (chain of reactions) โดยสมบูรณ์
ข่าวลือนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา กล่าวคือมีลักษณะของการด้นสด (improvisation) ที่ปรับเปลี่ยนไปตามอุดมการณ์ของผู้ส่งผ่าน อย่างไรก็ดี เสรีภาพแห่งการด้นสดนี้มีข้อจำกัด ข่าวลือหนึ่ง ๆ สามารถนำมาด้นสดได้ก็ต่อเมื่อรหัสทางวัฒนธรรมอนุญาตให้กระทำได้ หรือเรียกว่า “ความพยายามหลังจากความหมาย (effort after meaning) ข่าวลือจะต้องสอดรับหรือจับคู่กับรูปแบบทางอุดมการณ์ก่อนหน้าของผู้รับ อย่างไรก็ดี ข่าวลือของชาวนาในอินเดียที่ยังอยู่ในโลกกึ่งฟิวดัลทำให้ความคิดของชาวนาเกี่ยวข้องกับอำนาจที่สูงขึ้นไป ชาวนาได้ตีความสถานการณ์ทางการเมืองด้วยรหัสแบบกึ่งศาสนา อะไรที่เป็นการเมืองจึงมักถูกมองว่าเป็นศาสนาในการเมืองของชาวนา โดยสรุปแล้ว ข่าวลือจะมีอำนาจหรือสถานะสูงขึ้นต้องขึ้นอยู่กับตัวผู้พูดที่เป็นฐานอำนาจของข่าวลือนั้น กล่าวคือ อำนาจเหล่านั้นได้ทำให้ข่าวลือกลายเป็นตัวบท (textualized) สิ่งนี้คือการแพร่กระจายของการกบฏอันเป็นมูลฐานที่ 5
มูลฐานที่ 6 คือ อาณาเขต คูหาระบุว่า แม้แต่การกบฏที่ทรงพลังที่สุดก็ยังไม่สามารถขยายเลยอาณาเขตที่เป็นท้องถิ่นได้ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่นำมาสู่ความพ่ายแพ้ของชาวนา อาณาเขต (territoriality) คือความสัมพันธ์ที่ตัดกันระหว่าง วงวานเครือญาติบรรพบุรุษ และภูมิลำเนาเกิด ผู้ก่อกบฏมองศัตรูในฐานะ “คนนอก” ที่เป็นตัวการทำให้เกิดกบฏ ความเป็นปฏิปักษ์ต่อ “ชาวต่างด้าว” นั้นเกิดขึ้นในหมู่กบฏมาอย่างยาวนานก่อนการลุกฮือ ทำให้เมื่อเกิดกบฏขึ้นรัฐบาลอาณานิคมมองว่าชาวนานั้นต่อต้านกูกดขี่ท้องถิ่นมากกว่าจะต่อต้านพวกตน คูหาระบุว่านี้คือสิ่งที่ผิดพลาดและเป็นจุดบอดในการพัฒนาประวัติศาสตร์นิพนธ์
ลักษณะความเป็นอาณาเขตยังมาจากชาติพันธุ์ด้วย ผู้ปกครองทั้งหลายต่างจัดประเภทสังคมอินเดียเป็นชาติพันธุ์ (ethnic) ซึ่งชาติพันธุ์เหล่านั้นโดยหลักแล้วคือวรรณะนั้นเอง เนื่องจากคนมีวรรณะเดียวกันมักมีแนวโน้มมาชุมนุมกันในพื้นที่ต่าง ๆ และสร้างความเป็นปึกแผ่นด้วยพิธีกรรมและความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ที่เชื่อมโยงไปกับการสูญเสียของชุมชนชาวกบฏ ไม่ว่าจะเป็นสูญเสียที่ดิน อาณาเขตที่เคยเป็นบ้านเกิด หรือศักดิ์ศรีของตนเอง การเข้ามาร่วมกันของพวกเขาจึงเป็นการเมืองไม่ใช่เศรษฐกิจ แต่ก็มิได้ตัดขาดจากเศรฐกิจอย่างสิ้นเชิง ท้องถิ่นใด ๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่าหมู่บ้านหนึ่งหมู่บ้าน หรือเขตแดนหนึ่งเขตใด สามารถกลายเป็นอาณาเขตของการกบฏ ซึ่งความเป็นอาณาเขตนี้ได้ติดอาวุธให้กับกลุ่มกบฏในการต่อต้านผู้ปกครอง อาณาเขตจึงเป็นมูลท้ายสุดท้ายของกบฏชาวนา
โดยสรุป หนังสือเล่มนี้พยายามนำเสนอว่า การกบฏของชาวนาใน 117 ครั้งที่นำมาศึกษานั้นแตกต่างจากกบฎชาวนาในยุคก่อนหน้า แต่เป็นการกบฏที่มุ่งหวังทางการเมืองที่ต้องการจะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน มิใช่เพียงการกระทำทางเศรษฐกิจหรือเป็นปฏิกิริยาต่อความยากจนเท่านั้น สิ่งที่คูหาย้ำตลอดในงานคือคำว่า “ชั่วขณะ” (moment) เพราะกบฏชาวนาไม่จำเป็นต้องมีสำนึกทางการเมืองตลอดการเคลื่อนไหว แบบการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอกราชยุคต่อมา แต่ในชั่วขณะของการปะทะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ คูหาย้ำว่าสำนักของชาวนาในยกระดับขึ้นไปสู่ความเป็นการเมืองและต้องการที่จะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน กล่าวคือ ต้องการที่จะทำลายรากฐานสังคม ความเป็นอยู่ ที่พวกเขาต้องเผชิญในสังคมกึ่งฟิวดัล กบฏชาวนาเหล่านี้จึงไม่ใช่การกระทำก่อนการเมือง แต่เป็นการเมืองที่ดำเนินมาก่อนที่ชนชั้นนำอินเดียจะเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านเจ้าอาณานิคมมาก่อนนับ 100 ปี พวกเขาคือพลังบริสุทธิ์และรากฐานของการต่อสู้ที่สำคัญก่อนที่จะถูกชนชั้นนำในเวลาต่อมาอ้างความดีความชอบไป
[1] กรณีงานของ คายตรี จักรวรตี สปีวาก มีการเรียก subaltern ในภาษาไทยว่า “ผู้ไร้เสียง” ดูเพิ่มเติม สันติ เล็กสกุล, ผู้ไร้เสียง: คำยืนยันของ คายตรี จักรวรตี สปีวาก (กรุงเทพฯ: Illuminations Editions, 2561). หรือบทรีวิว สปีวาก ผู้ไร้เสียง และความเป็นสากล: สปีวากพูดได้หรือไม่ในสังคมไทย? โดยฐนพงศ์ ลือขจรชัย (สปีวาก ผู้ไร้เสียง และความเป็นสากล: สปีวากพูดได้หรือไม่ในสังคมไทย - Illuminations Editions )
_____________________________
สั่งซื้อหนังสือ >>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |