โดย ฐนพงศ์ ลือขจรชัย
“ผู้ไร้เสียง” คือผู้ที่อยู่ในสภาวะของการถูกกระทำให้ไร้ “เสียง” ซึ่ง “เสียง” ดังกล่าวหมายถึง ความเห็น ประสบการณ์ ความรู้สึก และความคับข้องใจของตนเองในฐานะปัจเจกหรือในความเป็นมนุษย์ของตนเอง ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใด ทั้งทางกายภาพหรือทางสังคม “ผู้ไร้เสียง” ไม่สามารถเปล่ง “เสียง” ที่แท้จริงของตนเองออกมาได้ เหตุเพราะเสียงนั้นไม่ได้ถูกรวมให้อยู่ในความเข้าใจขององค์ความรู้หลักที่มีส่วนกำหนดความเข้าใจของมนุษย์โดยทั่วไปโดยเฉพาะมนุษย์ในโลกปัจจุบัน ที่ถูกกำกับด้วยความรู้วิทยาศาสตร์อันถูกครอบงำด้วยวิธีคิดแบบความเป็นเหตุผลซึ่งเบียดขับให้ความรู้อื่นที่อยู่นอกเหนือวิธีคิดดังกล่าวเลือนหายไปจากความเข้าใจของความรู้มนุษย์ กรอบวิธีคิดแบบเหตุผลหรือวิทยาศาสตร์นี้เป็นสิ่งที่ ฌอง ฟรองซัวส์ ลีโอตาร์ (Jean François Lyotard) เรียกว่า “เรื่องเล่าขนาดใหญ่” (metanarrative) ที่อยู่เหนือเรื่องเล่าอื่น ๆ และไม่เปิดพื้นที่ให้ความรู้เรื่องเล่าเล็ก ๆ มีโอกาสนำเสนอออกมาเป็นที่รู้จักและยอมรับว่าเป็นความรู้ที่ถูกต้องได้ [1]
หัวใจสำคัญประการหนึ่งของการเป็นผู้ไร้เสียงคือการถูกกดทับด้วยกรอบความคิดแบบเหตุผลหรือวิทยาศาสตร์อันเป็นวิธีการมองโลกที่เหนือกว่าของชาวตะวันตกผิวขาวที่พร้อมจะ “พูดแทน” หรือ “อ่าน” โลกที่สามให้ออกเพื่อตนเองจะได้เข้ามาครอบครองได้อย่างเต็มที่ [2] การเรียนรู้และเข้าใจวิทยาตะวันตก และยกให้เรื่องเหล่านี้กลายเป็น “ความสากล” (universal) กลายเป็นการกดทับผู้ไร้เสียงให้ไม่อาจพูดออกมาได้ ความเชื่อ ความศรัทธา และการกระทำที่ดูไร้เหตุผล ถูกตีความว่าคือความโง่เง่า หรือด้อยสติปัญญา ที่ไม่เข้าใจ “ความหวังดี” ของผู้มีความรู้ที่พยายามอธิบายและนำเสนออย่างอดทนให้พวกเขาเหล่านั้นเข้าใจ [3]
สปีวากระบุว่า การพยายาม “พูดแทน” เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ “ผู้ไร้เสียง” ถูกปฏิบัติราวกับว่าเป็นวัตถุที่ไร้ความสามารถในการแสดงความเห็นหรือความต้องการของตนเอง โดยเฉพาะความต้องการในเชิงวัฒนธรรมหรือความเชื่อทางศาสนาที่ถูกมองจากผู้มีอำนาจทางความรู้ว่าเป็นความป่าเถื่อนหรือเป็นความโหดร้ายของโลกอันไร้อารยะอย่างประเทศโลกตะวันออก [4] การเปล่งเสียงและการทวงถาม (reclaiming) แทน “ผู้ไร้เสียง” ภายใต้องค์ความรู้แบบตะวันตกนั้น แท้จริงแล้วกลับทำให้ “ผู้ไร้เสียง” กำลังถูกเน้นย้ำถึงสถานะอันด้อยกว่า (subordinate position) ของพวกเขาในสังคม [5]
สปีวากได้ยกตัวอย่างพิธีสตีอันเป็น การบูชายัญตนเองของหญิงหม้าย เนื่องในพิธีศพของสามีส่วนหนึ่งเป็นไปเพื่อแสดงซึ่งเกียรติยศศักดิ์ศรีและอุดมคติอันสูงส่งของผู้หญิงฮินดู พิธีนี้ถูกต่อต้านและด้อยค่าอย่างรุนแรงในฐานะความป่าเถื่อนไร้อารยะของโลกที่สาม ซึ่งสปีวากเห็นว่านั้นเป็นเพียงการที่นักวิชาการตะวันตกเล่นบทเป็นผู้รู้และพยายามตัดสินสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นที่เหนือกว่า สปีวากพยายามนำเสนอให้เห็นถึงปัญหาทางจริยศาสตร์และการพยายามอธิบายวัฒนธรรมที่แตกต่างจากตะวันตกที่ถูกเล่าหรืออธิบายด้วยมโนทัศน์และกรอบความคิดแบบสากลหรือเรื่องเล่าขนาดใหญ่ กล่าวคือ การตีความพิธีสตีด้วยวิธีคิดแบบสากลได้ทำให้หญิงหม้ายที่ต้องการเข้าพิธีสตีถูกพรากความปารถนาและความต้องการของพวกเธอ โดยเสียงของพวกเธอถูกทำให้หายไปภายใต้กรอบการคิดแบบเหตุผลและความเป็นสากลแบบบตะวันตก [6]
สภาวะเช่นนี้คือการที่ “ผู้ไร้เสียง” ไม่สามารถเปล่ง “เสียง” ที่แท้จริงของตนเองออกมาได้ เพราะยังไม่ได้อยู่ในความเข้าใจขององค์ความรู้หลักที่มีส่วนกำหนดความเข้าใจของมนุษย์ (ตะวันตกที่ถูกทำให้เป็นสากล) [7] เพราะสำหรับสปีวากแล้ว การแสดงออกของหญิงหม้ายชาวฮินดูคือเจตจำนงเสรีและการปฏิบัติที่ถูกต้องในฐานะภรรยาที่ดีตามวัฒนธรรมฮินดู ซึ่งพวกเธอกลับถูกพรากไปด้วยกรอบความคิดแบบเหตุผลที่แสดงตนว่าเหนือกว่าและตัดสินใจคุณค่าของวัฒนธรรมและความเชื่อ [8]
สิ่งนี้คือการที่เรื่องเล่าขนาดใหญ่ (meta-narrative) หรือความเป็นสากล (universality) ได้แสดงบทบาทในการกำกับความนึกคิดของผู้คน เป็นดั่งชุดความรู้ที่ถูกสร้างและทำหน้าที่ราวกับว่าเป็นผู้ควบคุมสัจธรรม ภายใต้เรื่องเล่าขนาดใหญ่นี้จึงมีเรื่องเล่าเล็กๆ ที่ถูกเบียดบังให้หายไปจากสำนึกของผู้คนที่มีชีวิตอาศัยอยู่ภายใต้บริบททางความรู้นั้น ๆ กลายเป็น “ผู้ไร้เสียง” [9] อักเป็นรากฐานมาจากวิธีคิดแบบแนวคิดแบบเอกเทวนิยม (monotheism) ที่ถูกทำให้เป็นสากลและโลกวิสัยโดยถูกส่งออกผ่านการล่าอาณานิคม [10]
แนวคิดอย่างมาร์กซิสม์ เสรีนิยม คริสต์ศาสนา ถูกสถาปนาให้กลายเป็นเรื่องเล่าสากล (universal-narrative) ทำหน้าที่ทั้งจัดการและอธิบายเรื่องเล่าขนาดย่อยจำนวนมากอีกที ในความเห็นของลีโอตาร์ เรื่องเล่าขนาดใหญ่ทำงานผ่านการผนวก (inclusion) และการคัดออก (exclusion) อันเป็นการดึงแรงผลักต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้เข้ามารวมอยู่เป็นหนึ่งเดียว พร้อมกับจัดระเบียบความแตกต่างที่มีให้เป็นระบบ อีกทั้งจัดการกับเสียงของวาทกรรมและเสียงอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นหนึ่งในหลักการสากลและเป้าหมายร่วมกันให้เงียบลง ความเป็นเหตุเป็นผลหรือความสามารถที่จะใช้เหตุผลซึ่งเป็นระบบความคิดแบบตะวันตกที่ยึดถือกันมาอย่างยาวนานและฝังรากยึดแน่นอยู่ในความคิดของผู้คนนั้น นับว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการเบียดขับผู้ที่ไม่สามารถจัดประเภทความสามารถได้แบบนี้ให้กลายเป็น “ผู้ไร้เสียง” กล่าวคือ ความสามารถที่จะใช้เหตุผลนี้เป็นวิธีคิดที่ยึดเอาความเป็นตะวันตกเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะกรอบความคิดเรื่องความเป็นมนุษย์ เราอาจกล่าวได้ว่า ความเป็นสากลที่มุ่งเน้นการมองคุณค่าของความเป็นมนุษย์ในแบบภาพรวมใหญ่มากกว่าการมองมนุษย์ใน “สภาพความเป็นมนุษย์” ที่แท้จริง (โดยเฉพาะในโลกที่สาม) นั่นเอง [11]
คำถามคือ สปีวากพูดได้หรือไม่ในสังคมไทย?
ในวงวิชาการไทยได้มีการนำเอาวิธีคิดแบบหลังอาณานิคมเข้ามาปรับใช้กันมาอย่างน้อย 2 ทศวรรษ แนวคิดหลังอาณานิคมจำนวนมากถูกนำมาศึกษาคนชายขอบไม่ว่าจะเป็น ชนกลุ่มน้อย ผู้หญิง โสเภณี ขอทาน คนยากไร้ ฯลฯ ที่ถูกกีดกันไปเรื่องราวของกษัตริย์และชนชั้นนำ ปัญหาก็คือสิ่งนี้เป็นความย้อนแย้งหรือไม่ในการศึกษาสังคมไทย
ในบริบทของสังคมอินเดีย เรื่องเล่าขนาดใหญ่ที่นักวิชาการหลังอาณานิคมพยายามโต้เถียงก็คือความเป็นสากลหรือค่านิยมแบบตะวันตกที่ครอบงำสังคมอินเดียที่ทำให้คุณค่าดั้งเดิมถูกลดทอนและถูกทำให้หายไปในฐานะเรื่องไร้สาระ การเกิดกบฏชาวนาก็ถูกเจ้าอาณานิคมตีความว่าเป็นกลุ่มคนบ้าที่ทำอะไรไร้เหตุผล แต่ด้วยการศึกษาแบบย้อนเกร็ดจากเอกสารเจ้าอาณานิคมที่ “พูดแทน” ของ รณชิต คูหา (Ranajit Guha) เขาก็สามารถหาเสียงที่แท้จริงของกบฏชาวนาที่ถูกทำให้หายไปภายใต้กรอบความคิดแบบเหตุผล [12] เช่นเดียวกับที่สปีวากพยายามค้นหาในหมู่ผู้ไร้เสียง
ในการทำความเข้าใจเสียงที่หายไปหรือถูกพูดแทน เราอาจต้องย้อนกลับไปที่ข้อเสนอของ เอ็ดเวิร์ด ซาอิด (Edward Said) ในเรื่อง “Orientalism” หรือ “บูรพาคดีศึกษา” ที่เขาได้เสนอว่า ความเป็นตะวันออกที่ถูกชาวตะวันตกศึกษานั้นเป็นทั้งศาสตร์และวิธีคิดทางปรัชญาที่แสดงให้เห็นอาการด้อยความสามารถของตะวันออกที่จะสะท้อนภาพ (represent) ของตัวเอง เพราะไม่มีความสามารถ หรือไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือ ที่จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอง แต่ต้องอาศัยหรือต้องให้นักวิชาการชาวตะวันตกเป็นคนทำหน้าที่เป็นล่าม เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้ กล่าวอีกอย่างคือ “บูรพาคดีศึกษาคือวิธีการแบบที่ตะวันตกใช้สำหรับก่อโครงร่างของตะวันตกขึ้นมาใหม่ (restructuring) เพื่อสร้างอำนาจอันชอบธรรมและเพื่อครอบงำตะวันออก” [13]
การพยายามนำกรอบแบบหลังอาณานิคมมาหา “เสียง” ที่หายไปในประวัติศาสตร์ไทยเช่นนี้ ถูกทำโดยจัดวางโครงสร้างของเรื่องราวเสียใหม่ให้สอดคล้องกับกรอบการวิเคราะห์ เนื่องจากสยามไม่ได้ตกเป็นอาณานิคมโดยตรง ผู้สถาปนาเรื่องเล่าขนาดใหญ่จึงไม่ใช่ชาวตะวันตกผิวขาวเจ้าอาณานิคม แต่เป็นกษัตริย์และชนชั้นนำสยามที่สถาปนาเรื่องราวแบบ “ราชาชาตินิยม” [14] เพื่อครอบงำความคิดของคนส่วนใหญ่ในสังคม กล่าวคือเป็นการครอบงำทางความคิดของชนชั้นสูงที่มีต่อชนชั้นล่าง กบฏผีบุญต่าง ๆ ที่เคยถูกตีความโดยชนชั้นนำว่าเป็นคนบ้า จึงถูกตีความใหม่และให้เสียงในการกระทำว่าเป็นการต่อต้านการกดขี่และเรียกร้องสิทธิของตนเอง เรื่องราวเช่นนี้ดูเผิน ๆ ก็ดูเหมาะเจาะและเข้ากันได้ด้วยดีกับกรอบการวิเคราะห์ เสียงต่าง ๆ ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้มีพื้นที่ทางประวัติศาสตร์และพูดออกมาให้คนในสังคมได้ยิน
ความย้อนแย้งและความสับสนในเรื่องนี้ก็คือ เสียงเหล่านั้นกลายเป็นสิ่งที่ถูกพูดแทนโดยนักวิชาการเสียมากกว่าจะเป็นเสียงของพวกเขาเอง นักวิชาการได้ตีความเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่สปีวากกังวลอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับการตีความเรื่องราวของ “Draupadi” (โดย Mahasweta Devi) [15] ว่าอาจจะเกิดการตีความไปในเชิงเห็นใจและรู้สึกผิดในการกระทำและโศกนาฏกรรมของตัวละคร และนั่นอาจจะทำให้เมื่อเรื่องแต่งถูกเสนอสู่ภายนอกบริบทของการอ่านแบบรื้อสร้างกลายเป็นการนำเสนอภาพการถูกกระทำของเหยื่อจากระบอบอาณานิคมในแบบเหมารวมที่เคยรับรู้มาก่อนหน้า ซึ่งนั่นไม่ได้นำไปสู่ความเข้าใจสภาพความเป็นผู้ไร้เสียงของตัวละครในเรื่องอย่างแท้จริงเลย เพราะตัวละครผู้ไร้เสียงจะถูกตีความในฐานะที่เป็นวัตถุที่มองเห็นได้ทะลุปรุโปร่ง (transparent) ด้วยแว่นความรู้ของพวกปัญญาชนนักอ่านที่ได้รับการศึกษามาแบบตะวันตกสมัยใหม่ [16]
เช่นเดียวกับกบฏผีบุญ ข้อมูลจำนวนมากในเหตุการณ์กบฏผีบุญได้แสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงกันกับความเชื่อเรื่องโลกของพระศรีอาริย์ แต่เสียงเหล่านี้ถูกพูดแทนโดยนักวิชาการไทยผ่านกรอบหลังอาณานิคมว่า เป็นการลุกฮือเพื่อต้องการชีวิตและสังคมที่ดีขึ้น โดยตีความเรื่องพระศรีอาริย์เป็นเพื่ออุบายในการรวบรวมผู้คนเพื่อลุกขึ้นสู้ ในประเด็นนี้ผู้เขียนเห็นว่า นักวิชาการไทยกำลังเล่นบทบาทของเจ้าอาณานิคมที่ใช้ความเหนือกว่าและกรอบคิดแบบเหตุผล จนกบฏผีบุญได้สูญเสียเสียงของตัวเองไป กล่าวคือ ในเรื่องราวของสังคมไทย นักวิชาการไทยเองต่างหากที่เป็นตัวแทนของโลกที่หนึ่งที่กำลังพยายามศึกษาและพูดแทนผู้ไร้เสียงเช่นเดียวกับชนชั้นนำสยาม
หมอลําโสภา พลตรี กบฏผู้มีบุญอีสาน บ้านสาวะถี
กบฏ “ผีบุญ” เมื่อ พ.ศ. 2444 (ภาพจาก "ประวัติศาสตร์อีสาน" โดย เติม วิภาคย์พจนกิจ)
การต่อต้านเรื่องเล่าขนาดใหญ่ของชนชั้นนำสยาม กลับพยายามถูกแทนที่ด้วยเรื่องเล่าและคุณค่าอันเป็นสากล (ยุโรปผิวขาว) เป็นเรื่องช่วยให้สับสนอย่างยิ่งว่าอะไรคือเรื่องเล่าขนาดใหญ่กันแน่ ระหว่างชุดคุณค่าของตะวันตกกับเรื่องราวแบบราชาชาตินิยม เพราะแม้ในบริบทสังคมไทยเรื่องราวของกษัตริย์อาจจะเป็นเรื่องราวขนาดใหญ่และสถาปนาอำนาจนำขึ้นมาได้ แต่หากพ้นออกจากกรอบของชาติไทยแล้ว เรื่องราวแบบราชาชาตินิยมก็เป็นเรื่องราวขนาดเล็กที่กำลังต่อสู้กับกรอบความคิดแบบเหตุผลและความเป็นสากลของชาวยุโรปผิวขาว กล่าวคือ ในความเห็นของผู้เขียน การตีความแบบหลังอาณานิคมในสังคมไทยนั้นสามารถดำรงอยู่ได้ในกรอบของชาติไทยเท่านั้น หากพ้นไปจากชาติไทยแล้ว การตีความแบบหลังอาณานิคมจะกลายเป็นการตีความแบบสากลที่ยึดยุโรปเป็นศูนย์กลางและขัดแย้ง (จนเกือบตรงกันข้าม) กับเจตนาของนักวิชาการหลังอาณานิคมตั้งแต่ เอ็ดเวิร์ด ซาอิด เป็นต้นมา
ทั้งนี้ เมื่อถามว่า สปีวากพูดได้ไหมในสังคมไทย ผู้เขียนเห็นว่าคำตอบคือ “ไม่” เพราะสปีวากเองก็ตกเป็นผู้ไร้เสียงในสังคมไทย ภายใต้เรื่องเล่าขนาดใหญ่และความเป็นสากลที่ถูกนำมาใช้ในการต่อสู้กับเรื่องเล่าขนาดใหญ่ (แต่เล็กกว่า) ของสังคมไทย
[1] สันติ เล็กสกุล,ผู้ไร้เสียง: คำยืนยันของ คายตรี จักรวรตี สปีวาก (กรุงเทพฯ: Illuminations Editions, 2561), 115-116
[2] เรื่องเดียวกัน, 135
[3] เรื่องเดียวกัน, 129
[4] เรื่องเดียวกัน, 140
[5] เรื่องเดียวกัน, 118
[6] เรื่องเดียวกัน, 118-121
[7] เรื่องเดียวกัน, 101
[8] เรื่องเดียวกัน, 143-144
[9] เรื่องเดียวกัน, 113
[10] ธเนศ วงศ์ยานนาวา, ว่าด้วยเอกเทวนิยม: เส้นทางของพระผู้เป็นเจ้าของจริง, (กรุงเทพฯ: สมมติ, 2562).
[11] เรื่องเดียวกัน, 81-83
[12] รณชิต คูหา, กบฏชาวนา : มูลฐานจิตสำนึกในอินเดียยุคอาณานิคม, แปลโดย ปรีดี หงษ์สต้น (กรุงเทพฯ: Illumination Editions, 2563)
[13] ทวีศักดิ์ เผือกสม หยดเลือดจารึก และแท่นพิมพ์ (กรุงเทพฯ: Illuminations Editions, 2561),บทที่ 3
จารึกวัดพระเชตุพน: บูรพาคดีศึกษา, ภาพตัวแทนของความรู้, และการเขียนตะวันตกของชนชั้นนำสยาม
[14] ธงชัย วินิจจะกูล, โฉมหน้าราชาชาตินิยม (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2559),
[15] สันติ เล็กสกุล,ผู้ไร้เสียง: คำยืนยันของ คายตรี จักรวรตี สปีวาก, 133-134 - Draupadi Mejhen หรือ Dopdi หญิงชนเผ่าแห่ง Bakuli เมืองทางตอนเหนือของรัฐเบงกอลตะวันตก หลบหนีการจับกุมจากเจ้าหน้าที่ทางการ ฐานทำการกบฏต่อต้านการกดขี่ทางเศรษฐกิจและการเมืองจากเจ้าของที่ดินและรัฐบาลจักรวรรดิช่วงปลายปี 1960 การไล่ล่านำโดย Senanayak หัวหน้าหน่วยทหารเพื่อไล่ล่าหัวหน้ากลุ่มกบฏคอมมิวนิสต์อินเดีย (Naxalite rebellion)[15] เพื่อจะตามจับหัวหน้ากลุ่มปฏิวัติชาวนาเหล่านี้ Senanayak พยายามที่จะเรียนรู้และเข้าใจแรงจูงใจทางการเมืองของการต่อสู้ของพวกกบฏผ่านการอ่านหนังสือและวรรณกรรมการเมืองฝ่ายซ้ายตะวันตก
ในท้ายที่สุดหลังจากสูญเสียสามีที่ตายไประหว่างการหลบหนี Dopdi ถูกจับกุมและสอบสวน หลังจากสอบสวนจนหนำใจแล้ว Senanayak สั่งลูกน้องของตนให้ “จัดการ” กับเธอและจากไป ปล่อยให้ผู้คุมคนแล้วคนเล่าเข้ามากระทำชำเรากับร่างกาย Dopdi จนอวัยวะเพศฉีกขาดร่างกายดเปรอะไปด้วยคราบเลือด
รุ่งเช้ากลุ่มนายทหารสั่งการให้ Dopdi เดินไปยังเต๊นท์ของ Senanayak เธอเทน้ำที่พวกทหารนำมาให้ชำระร่างกายทิ้งและใช้ฟันกัดฉีกเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่อย่างบ้าคลั่ง เหล่านายทหารรับใช้ต่างประหวั่นพรั่นพรึงกับภาพที่เห็นราวกับเผชิญปีศาจชั่วร้าย Senanayak ได้รับแจ้งถึงเหตุการณ์อันวิปลาสดังกล่าว เขาเข้ามาเผชิญหน้ากับ Dopdi อีกครั้ง ผู้ที่ตอนนี้ไร้ซึ่งความหวาดกลัว เธอยืนเผชิญหน้ากับเขา ร่างกายเปลือยเปล่า หว่างขาและขนปิดอวัยวะเพศเปรอะติดไปด้วยคราบเลือดแห้งกรัง และสองเต้าบนหน้าอกที่บาดเจ็บ Dopdi ปฏิเสธที่จะสวมเสื้อผ้า พลันหัวเราะลั่นราวกับผู้ชนะ โดย Senanayak เองไม่สามารถที่จะเข้าใจได้
Dopdi ปาดเลือดที่ไหลเปรอะใบหน้าตนเอง และกรีดเสียงโหยหวนถามว่า “เสื้อผ้ามันสำคัญอะไรล่ะ? พวกแกเปลือยกายฉัน แต่ตอนนี้จะเอาเสื้อผ้ามาให้ฉันใส่อีกอย่างนั้นหรือ? พวกแกยังเป็นผู้ชายกันอยู่หรือเปล่า?” Dopdi ท้าทายให้เขามาเผชิญหน้ากับเธอ เป็นครั้งแรกที่ Senanayak รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยืนเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไร้อาวุธคนนี้
หน้าที่เข้าชม | 195,681 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 128,952 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 28 ก.ย. 2568 |