โดย อดินันท์ พรหมพันธ์ใจ
“รัฐราชการไทยก่อตัวขึ้นในรัชกาลที่ 5 และเรืองอำนาจอย่างมากในรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนกลายเป็นโมเดลความสำเร็จที่ชนชั้นนำไทยรุ่นต่อๆมา พยายามหยิบยืมรูปแบบ ลักษณะ แนวคิด หรือย้อนกลับไปสู่การเมืองยุคสมัยจอมพลสฤษดิ์ โดยเฉพาะรัฐบาล คสช. ทว่าด้วยเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวแสดงภายในและภายนอกรัฐราชการจึงมิอาจทาบเทียมได้สนิท จึงมิอาจบอกได้ว่ารัฐราชการจอมพลสฤษดิ์กับรัฐราชการ คสช. เป็นสิ่งเดียวกัน”
ข้อความที่ปรากฏบนหน้าปกหนังสือเล่มนี้เป็นสิ่งที่คุณชัชฎา กำลังแพทย์ ผู้เขียนต้องการจะเสนอต่อผู้อ่านว่า การเปรียบเทียบรัฐราชการในสองยุคนั้นมุ่งความสนใจไปที่ตัวแสดงภายในและภายนอกรัฐราชการที่เป็นตัวแปรทำให้รัฐราชการทั้งสองแม้จะมีแนวคิดหรือรูปแบบที่คล้ายคลึงกันแต่ไม่เหมือนกัน และมีข้อสรุปจากชื่อหนังสือว่า รัฐราชการยุคจอมพลสฤษดิ์เป็นความรุ่งเรืองแต่ยุค คสช. เป็นความเสื่อมถอย โดยผู้เขียนได้เรียงร้อยเรื่องราวความสำคัญว่าทำไมต้องศึกษารัฐราชการ เล่าเรื่องให้เห็นภาพภูมิทัศน์(กำเนิด พลวัต การเปลี่ยนแปลง) เริ่มจากรัฐราชการในยุครัชกาลที่ 5 สู่รัฐราชการยุคจอมพลสฤษดิ์ รัฐราชการในยุค คสช. และมีบทสรุปด้วยการเปรียบเทียบรัฐราชกาลสองยุคและพลวัตรัฐราชการไทย
ผู้เขียนใช้การเปรียบเทียบเพื่อแสดงความต่างการบริหารประเทศ การแก้ปัญหา การออกกฎหมาย ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐราชการไทยในฐานะตัวแสดงที่มีปฏิสัมพันธ์กับตัวแสดงนอกระบบราชการโดยพิจารณาการปรับตัวและพลวัตรัฐราชการหลังการรัฐประหารของรัฐบาลเผด็จการทหารทั้งสองชุด ซึ่งผู้เขียนใช้แนวคิดของ เฟรด ริกส์ เป็นเครื่องมือการวิเคราะห์ภูมิทัศน์รัฐราชการในห้ายุคจากรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ ระบอบสฤษดิ์ ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ ยุคธุรกิจการเมือง ยุคหลังรัฐธรรมนูญ 2540 จนถึงยุครัฐบาล คสช.
ในยุคจอมพลสฤษดิ์ผู้เขียนนำเสนอการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมไทย รวมทั้งการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐราชการไทยกับสหรัฐอเมริกา ธนาคารโลก สถาบันกษัตริย์ กลุ่มทุน (โดยเฉพาะกลุ่มทุนธนาคาร) และเทคโนแครต รวมทั้งการปรับตัวของรัฐราชการที่พยายามจะรักษาอำนาจและการทำให้รัฐราชการอยู่รอดด้วยการมีปฏิสัมพันธ์กับตัวแสดงเหล่านั้น ประกอบกับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาภายใต้แนวคิดการพัฒนาเพื่อเปิดโอกาสให้สหรัฐอเมริกาเข้ามามีบทบาททางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง อีกทั้งยังมองว่าทหารไม่มีความรู้ความสามารถในด้านการกำหนดนโยบาย จึงต้องอาศัยระบบราชการ (ข้าราชกาพลเรือน) และเทคโนแครตคิดขับเคลื่อนนโยบายให้ ขณะเดียวกันก็สร้างพันธมิตรกับกลุ่มทุนเพื่อแสวงหาและรักษาผลประโยชน์ของกลุ่ม โดยรัฐราชการเสื่อมถอยลงในยุคจอมพลถนอมเพราะมีพลังนอกระบบราชการที่มากกว่า แต่รัฐราชการกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ
การรัฐประหารโดย คสช. เมื่อ พ.ศ. 2557
ในยุครัฐบาล คสช. ผู้เขียนมองว่าระบบราชการอ่อนแอจากการรวมศูนย์แบบแตกกระจายในลักษณะกรมาธิปไตย (departmentalism) ทำให้ขาดเอกภาพในการทำงาน คณะรัฐประหารจึงต้องแต่งตั้งข้าราชการทหารไปควบคุมการดำเนินนโยบายของแต่ละกระทรวงให้เป็นไปตามแนวทางของ คสช. และกลุ่มทุน (ทุนใหญ่) ที่มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นผู้ชี้นำรัฐราชการยุค คสช. และพยายามโยงความสัมพันธ์ทางอ้อมระหว่างกลุ่มทุนกับจีน อีกทั้งยังเพิ่มองค์กรตุลาการมาเป็นตัวแสดงในระบบราชการ และภาคประชาสังคมเป็นตัวแสดงนอกระบบราชการ
ในบทสรุปผู้เขียนเสนอว่ารัฐราชการในฐานะตัวแสดงทางการเมืองมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องในระบอบการเมืองต่างๆของไทย โดยรัฐราชการเป็นการเมืองของระบบราชการที่เข้ามามีอำนาจในการตัดสินใจเชิงนโยบาย ซึ่งผู้เขียนต้องการนำเสนอว่ารัฐราชการเป็นเครือข่ายกลุ่มผลประโยชน์ของพลังทางสังคมที่ฝังตัวอยู่ในระบบราชการ และคอยปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่ม มีการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในระบอบการเมืองต่างๆ และรัฐราชการอาจจะไม่ได้เป็นกลุ่มพลังเดียวกันกับรัฐบาลที่มาจากคณะรัฐประหารอย่างแนบแน่นดังที่เห็นได้จากรัฐราชการสมัย คสช.
ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้คือการนำเสนอรัฐราชการไทยสองยุคในบริบททางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การกำหนดโครงสร้างที่เป็นทางการของรัฐราชการผ่านสถาบันทางการเมืองและกฎหมาย รวมทั้งตัวแสดงทั้งภายในและภายนอกระบบราชการ ซึ่งผู้อ่านจะได้ภาพการปฏิสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆที่ผู้เขียนพยายามเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ในระบอบเผด็จการทหารหลังการรัฐประหารทั้งสองยุค
ผู้เขียนเสนอว่าการมองรัฐราชการในฐานะตัวแสดงทางการเมืองสามารถทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างรัฐราชการกับตัวแสดงอื่นนอกระบบราชการดีกว่ามุมมองแบบคลาสสิคของริกส์ที่มองในเชิงโครงสร้างของรัฐราชการ โดยมุมมองของผู้เขียนสามารถตอบคำถามได้ว่าตัวแสดงอื่นนอกรัฐราชการมีผลต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยอย่างไร และสรุปว่ารัฐราชการเป็นกลุ่มการเมืองที่มุ่งรักษาผลประโยชน์ของตนด้วยการประสานพลังกับกลุ่มชนชั้นทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองไทยเบียดขับให้ประชาชนเป็นผู้ไม่ต้องสนใจการเมือง รวมทั้งรัฐราชการอาจจะไม่ได้เป็นกลุ่มพลังเดียวกันกับรัฐบาลที่มาจากคณะรัฐประหาร ทำให้มีคำถามว่ามุมมองของผู้เขียนอธิบายดังที่นำเสนอได้จริงหรือ
หากย้อนกลับไปพิจารณาเครื่องมือการวิเคราะห์จะเห็นได้ว่า แนวคิดรัฐราชการ (bureaucratic polity) ที่นำเสนอในช่วงปลายของทศวรรษ 2500 นั้นมองระบบราชการเป็นสถาบันที่มีบทบาทในการกำหนดโครงสร้างและควบคู่มากับสถาบันทางเศรษฐกิจและการเมืองของรัฐไทย ระบบราชการที่ผูกโยงกับกลไกอำนาจรัฐมีความเข้มแข็ง แต่ขณะเดียวกันสถาบันทางการเมืองอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับพลังของภาคสังคมอ่อนแอ โดยโครงสร้างส่วนบนถูกครอบงำโดยคณะรัฐมนตรี (cabinet) ที่มาจากกลุ่มผู้นำในระบบราชการ การแข่งขันทางการเมืองจึงจำกัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นนำและข้าราชการด้วยกันเอง โดยการเมืองของรัฐราชการ แม้จะมีโครงสร้างอันประกอบด้วย รัฐบาล รัฐสภา และพรรคการเมือง แต่โครงสร้างอำนาจและการแข่งขันกลับอยู่ที่คณะรัฐมนตรีที่มาจากระบบราชการ ส่วนพลังทางสังคมยังคงอ่อนแอ การนำเอาแนวคิดนี้มาใช้จึงเหมาะที่จะพิจารณาเชิงโครงสร้างมากกว่าเพราะจะทำให้เห็นตัวแสดงทางการเมืองต่างๆที่ถูกดึงเข้ามาร่วมในโครงสร้างทางการเมืองได้อย่างชัดเจน และเห็นการเมืองในระบบราชการว่าตัวแสดงใดบ้างที่มีบทบาท
การมองรัฐราชการเป็นตัวแสดงที่เน้นบทบาทการมีปฏิสัมพันธ์กับตัวแสดงอื่น ทำให้ไม่ได้พิจารณาถึงเป้าประสงค์ของการสร้างเสถียรภาพทางอำนาจหลังการรัฐประหาร ซึ่งในยุคจอมพลสฤษดิ์เป็นการแย่งชิงอำนาจกันของผู้มีอำนาจในระบบราชการ เมื่อได้อำนาจแล้วจึงต้องจัดโครงสร้างใหม่เพื่อให้รัฐเข้มแข็งและปิดโอกาสตัวแสดงอื่นเข้าสู่การจัดทำนโยบาย ส่วนยุค คสช. เป็นการแย่งชิงอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ผู้มีอำนาจจึงจัดโครงสร้างใหม่เพื่อให้สังคมหรือภาคประชาชนที่เคยสนับสนุนรัฐบาลพลเรือนอ่อนแอ รัฐบาล คสช. จึงเปิดโอกาสให้ตัวแสดงอื่นเข้าสู่อำนาจการกำหนดนโยบายเพื่อทำให้รัฐราชการเข้มแข็งยิ่งขึ้น เช่น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (นักการเมือง) นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร (นักธุรกิจ) และยิ่งเห็นได้ชัดในการสืบทอดอำนาจหลังการเลือกตั้งที่มีนักการเมืองและกลุ่มทุนที่สนับสนุนอำนาจเผด็จการเข้ามาเสริมอีกเป็นจำนวนมาก ผู้เขียนให้น้ำหนักไปที่โครงสร้างที่เป็นทางการอย่างกฎหมายและคำสั่งต่างๆ แต่ไม่ค่อยให้น้ำหนักโครงสร้างที่ไม่เป็นทางการอย่างการใช้อุดมการณ์ทางการเมืองชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์หรือค่านิยมที่ปลูกฝังให้สังคม ซึ่งทั้งสองยุคนั้นต่างใช้เครื่องมือนี้สร้างความชอบธรรมในการอยู่ในอำนาจ อีกทั้งก่อนการรัฐประหารมีมวลชนที่สนับสนุนการยึดอำนาจอยู่เป็นจำนวนมาก หลังการรัฐประหารจึงใช้กฎหมายปราบปรามผู้เห็นต่างและใช้อุดมการณ์รัฐหรือค่านิยมสร้างพลังสนับสนุนการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่วางไว้

คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 60
ผู้เขียนระบุว่ารัฐราชการเป็นการเมืองของระบบราชการ แต่คำอธิบายการจัดสรรอำนาจของตัวแสดงอย่างกองทัพ ข้าราชการพลเรือน และเทคโนแครตยังไม่แน่ชัดว่าเป็นอย่างไร ผู้เขียนได้อ้างถึงข้อค้นพบจากการศึกษารัฐราชการในสมัยพลเอกเปรมของผู้เขียน แต่น่าเสียดายที่สาระสำคัญ คือ การสร้างสมดุลอำนาจจากการถ่วงดุลและคานอำนาจกันของตัวแสดงเชิงสถาบันทั้งภายในและระหว่างกลุ่มภายใต้โครงสร้างอำนาจรัฐราชการผู้เขียนไม่ได้นำมาอธิบายร่วมด้วยเพราะมองรัฐราชการเป็นตัวแสดงที่ลงมาสร้างความขัดแย้งหรือร่วมมือกับตัวแสดงอื่น จึงเกิดความคลุมเครือว่ารัฐราชการหมายถึงกลุ่มผลประโยชน์ที่ประกอบไปด้วยใครบ้างหรือใครคือตัวแทนของรัฐราชการ และผู้เขียนระบุว่ากลุ่มผลประโยชน์อาจจะไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวกันกับรัฐบาลที่มาจากคณะรัฐประหาร ถ้าไม่ใช่แล้วใครหรือกลุ่มใดที่มีอำนาจ ใช่กลุ่มทุนจริงหรือ จอมพลสฤษดิ์หรือพลเอกประยุทธ์ใช่ตัวแทนรัฐราชการไทยที่มีอำนาจตัดสินใจเชิงนโยบายทั้งหมดหรือไม่ หรือรัฐราชการหมายถึงระบบราชการทั้งหมดได้หรือไม่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นใครที่จะเป็นตัวแทนของระบบราชการที่มีความหมายเท่ากับรัฐราชการในการอธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น
ผู้เขียนพยายามนำเสนอว่าบทบาทของรัฐราชการเป็นกลุ่มผลประโยชน์จึงมองแต่ประเด็นที่ตัวแสดงจะได้ประโยชน์ทำให้อาจตีคลาดเคลื่อน เช่น ผู้เขียนกล่าวถึงเทคโนแครต และยกกรณี ดร.เสนาะ อูนากูลที่ตัดสินใจเข้าร่วมทำงานด้านนโยบายเศรษฐกิจกับรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ว่า เพราะต้องการเข้าถึงอำนาจในระดับสูงเพื่อนำเอาหลักวิชาของตนไปใช้โดยไม่มีฝ่ายคัดค้านและผลักดันโครงการต่างๆให้ลุล่วงอย่างรวดเร็วโดยไม่เป็นไปตามลำดับขั้นระบบราชการ (น.177-178) ข้อเสนอนี้อาศัยเพียงความเห็นนักวิชาการท่านหนึ่งมาประกอบ แต่ดร.เสนาะได้เล่าเอาไว้ว่า เมื่อแรกตั้งสภาพัฒน์การเข้าไปทำงานเกิดจาก ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ที่มีความสนิมสนมและทำงานในกระทรวงการคลังด้วยกันชักชวนหลังจากสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียแล้ว เนื่องจากสภาพัฒน์เป็นหน่วยงานใหม่ที่ต้องการการบุกเบิก รวมทั้งเทคโนแครตคนอื่นๆ เช่น ดร. อำนวย วีรวรรณ ดร.พนัส สิมะเสถียรก็ย้ายไปอยู่สำนักงบประมาณที่ตั้งขึ้นใหม่ ดร.ป๋วยยังแนะนำให้จอมพลสฤษดิ์เชิญเทคโนแครตอีกหลายคน เช่น คุณทวี บุณยเกตุ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ลี้ภัยไปอยู่ปีนัง คุณเล้ง ศรีสมวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้มาร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารสภาพัฒน์ จนทำให้จอมพลสฤษดิ์มีชื่อเสียงว่ารู้จักใช้คน จึงเห็นได้ว่าการเข้าไปร่วมงานของเทคโนแครตน่าจะมาจากความสัมพันธ์ส่วนตัวของคนเหล่านั้นกับดร.ป๋วยมากกว่า

ป๋วย ทวี และเล้ง
ผู้เขียนกล่าวถึงพลวัตและการปรับตัวของรัฐราชการ ซึ่งก่อนหน้านี้มีบทความของผมนำเสนอการปรับตัวเชิงโครงสร้างของรัฐราชการเมื่อเจอกับภาวะวิกฤต หรือเกิดความแตกแยกและขัดแย้งของข้าราชการอันเนื่องมาจากการถูกครอบงำหรือท้าทายจากพลังอำนาจนอกระบบราชการ เช่น ขบวนการนักศึกษา นักการเมือง หรือประชาชน จนส่งผลกระทบให้รัฐไม่อาจขับเคลื่อนด้วยระบบราชการอีกต่อไป รัฐไทยก็จะเข้าสู่วงจรการรัฐประหาร (coup cycle) และสถาปนาอำนาจทางการเมืองในระบอบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น ระบอบพ่อขุนอุปถัมภ์ในยุคสฤษดิ์ ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบในยุคเปรม และระบอบประชาธิปไตยแบบไทยนิยมในยุคประยุทธ์ ซึ่งทุกครั้งหลังการรัฐประหารก็จะมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นนายทหาร และมีการใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อปรับโครงสร้างอำนาจทางการเมืองเพื่อนำระบบบราชการเข้ามาเป็นผู้กำหนดนโยบายและให้กองทัพบริหารประเทศ ส่วนนักวิชาการนักการเมืองและนักกฎหมายที่ยอมรับอำนาจเผด็จการก็มาร่วมกันกำหนดโครงสร้างทางการเมืองใหม่ด้วยรัฐธรรมนูญที่ร่างเพื่อการเลือกตั้ง แต่จะสถาปนาอำนาจระบบราชการให้เข้มแข็งกว่าเดิมดังจะเห็นได้ว่าในยุค คสช.จนถึงรัฐประยุทธ์ที่มาจากการเลือกตั้งนั้นมีการจัดสรรพลังอำนาจใหม่ในช่วงที่สถาบันทางการเมืองกำลังอ่อนแอเพราะพลังทางสังคมถูกกดไว้ด้วยกฎหมาย ส่งเสริมให้สังคมมีวัฒนธรรมการเมืองที่ยึดโยงอยู่กับระบบราชการ วาทกรรมคนดี กรอบแนวคิดแบบจารีตนิยม การรักษาเสถียรภาพทางการเมืองโดยใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ และความสัมพันธ์ในสังคมแบบระบบอุปถัมภ์ที่ยอมรับและเห็นว่าอำนาจเป็นสิ่งดีที่มาคู่กับคุณธรรม อีกทั้งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 3 แบ่งภาคปฏิบัติของอำนาจอธิปไตยออกเป็น 5 ส่วนให้แก่ คณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานราชการ ซึ่งมีกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตยเป็นพิธีกรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมและความเข้มแข็งให้ระบบราชการ เพราะพลังจาก สส. ที่ยึดโยงกับประชาชนเป็นเพียงส่วนน้อยเมื่อเทียบกับพลังอำนาจส่วนอื่นที่อยู่ในระบบราชการ จึงทำให้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและรัฐธรรมนูญ 2560 แม้พลังทางสังคมจะเรียกร้องให้แก้ไขมากเพียงใดก็ตามแต่ด้วยกฎกติกาที่กำหนดไว้ย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยง่าย เพราะอำนาจระบบราชการที่อยู่ในภาคปฏิบัติจะคอยขัดขวางเอาไว้ จึงเห็นได้ว่ารัฐราชการในสมัย คสช. เข้มแข็งมากและสืบทอดมาสู่รัฐบาลหลังการเลือกตั้งด้วย
ผู้เขียนอธิบายบทบาทรัฐราชการในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่มีตัวแสดงต่างประเทศเข้ามาสนับสนุน ถ้าหากได้ขยายขอบเขตการศึกษาเข้าไปในแต่ละยุคที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจไทยจะทำให้เห็นบทบาทรัฐราชการที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งยุคสฤษดิ์เป็นจุดเปลี่ยนการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าโดยสหรัฐอเมริกา ยุคเปรมเป็นการผลิตเพื่อการส่งออกโดยญี่ปุ่น ส่วนยุค คสช. เป็นเศรษฐกิจ 4.0 (ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม) แต่ตัวแสดงที่เข้ามาสนับสนุนยังไม่ชัดเจน ซึ่งจีนที่ผู้เขียนกล่าวถึงว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนใหญ่ก็ยังเป็นที่สงสัยอยู่ว่าใช่ตัวแสดงหลักที่เข้ามาสนับสนุนเศรษฐกิจไทยหรือไม่
จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ที่ถือว่าเป็นความน่าสนใจและท้าทายอย่างมาก คือ การเสนอแนวคิดที่มองรัฐราชการเป็นตัวแสดงทางการเมืองที่แตกต่างไปจากแนวคิดเดิม ผมขอเสนอแนะหากนำแนวคิดอื่นมาเสริม เช่น แนวคิดกลุ่มผลประโยชน์และโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์และรัฐ อาจจะช่วยให้ได้คำอธิบายที่สอดคล้องไปกับปรากฎการณ์ทางการเมืองมากขึ้น และทำให้หลายประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน เช่นกลุ่มทุนที่เข้าไปชี้นำรัฐบาล กลุ่มผลประโยชน์อาจไม่ใช่คณะผู้ทำรัฐประหาร หรือแม้แต่สภาพรัฐราชการในยุค คสช. ที่เสื่อมถอยลง มีคำอธิบายที่ชัดเจนขึ้น