จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | 2 ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | การเมืองไทยร่วมสมัย |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ช่องทางชำระเงิน | ![]() |
ไฮไลท์ |
ขนาด Jumbo (16.5 x 24 X 2.4 CM)
เข้าเล่มจำนวน 312 หน้า
การเกิดรัฐประหารโดยชนชั้นนำในกองทัพทั้งใน พ.ศ. 2549 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน พ.ศ. 2557 ได้ทำให้ระบบราชการทั้งในฝ่ายกองทัพและพลเรือนกลับเข้ามามีบทบาทนำอีกครั้ง กระทั่งหลายคนได้ตั้งข้อสังเกตว่า นี่เป็นการกลับมาอีกครั้งของระบอบอำมาตยาธิปไตยหรือรัฐราชการหรือไม่?
คำถามสำคัญที่สุดต่อวงการรัฐศาสตร์และการศึกษาการเมืองไทย ก็คือ ภายใต้บริบทที่แตกต่างอย่างมากจากสมัยจอมพลสฤษดิ์ ขณะเดียวกันสถาบันทางการเมืองที่มีความเป็นตัวแทนและกลุ่มพลังทางการเมืองภายนอกระบบราชการก็มีความเติบโตเข้มแข็งเป็นอย่างมาก
#เหตุใดระบบราชการไทยจึงยังสามารถเข้ามายึดกุมอำนาจนำได้อีกครั้ง?
นับเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งที่คุณชัชฎา กำลังแพทย์ นักวิชาการรุ่นใหม่จากสำนักธรรมศาสตร์มีความกระตือรือร้นต่อการศึกษาบทบาทของระบบราชการในการเมืองไทย และคำถามสำคัญข้างต้นก็กลายเป็นจุดตั้งต้นของงานวิจัย
ขณะที่คุณชัชฎากำลังศึกษา ณ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนสำเร็จเป็นวิทยานิพนธ์ชั้นเยี่ยม และได้นำมาปรับปรุงเป็นหนังสือ “ประยุทธ์ไม่ใช่สฤษดิ์: พลวัตรัฐราชการไทยจากยุครุ่งเรืองสู่ยุคเสื่อมถอย” เล่มนี้
ผลงานของคุณชัชฎาจึงนับเป็นความพยายามแรกๆ ที่ต้องการวิเคราะห์ อธิบาย และทำความเข้าใจต่อปรากฏการณ์การเข้ามามีบทบาทนำของระบบราชการไทยโดยตรง ซึ่งไม่เคยปรากฏงานศึกษาในลักษณะนี้อย่างจริงจังมาช้านาน
หนังสือเล่มนี้ จึงมีความสำคัญยิ่งทั้งในฐานะงานศึกษาที่จะช่วยให้เราค่อยๆ จับภาพและทำความเข้าใจถึงการเมืองไทยสมัยปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็น่าจะเป็นงานเขียนที่ช่วยกระตุ้นเตือนต่อวงการรัฐศาสตร์ไทยให้หันกลับมาสนใจศึกษาวิเคราะห์บทบาทของระบบราชการไทยอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง
บางส่วนจาก 'คำนิยม'
วสันต์ เหลืองประภัสร์
ผู้อำนวยการสำนักงานสัญญาธรรมศักดิ์เพื่อประชาธิปไตย
________________________
สารบัญ
คำนำ
คำนิยม
1.ทำไมจึงต้องศึกษารัฐราชการ
2.ภูมิทัศน์รัฐราชการไทย
3.รัฐราชการในห้วงการปกครองของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
4.รัฐราชการไทยในห้วงการปกครองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) (พ.ศ.2557-2561)
5.เปรียบเทียบรัฐราชการจอมพลสฤษดิ์และ คสช. ภาพรวมพลวัตรัฐราชการไทย
บรรณานุกรม
|
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
คำถามหลักในหนังสือเล่มนี้ คือ รัฐราชการภายใต้การบริหารงานของจอมพลสฤษดิ์ และ คสช. มีการปรับตัว และมีพลวัตอย่างไรในการรักษาอำนาจทางการเมืองของตนไว้ท่ามกลางการเกิดขึ้นของตัวแสดงใหม่ๆ นอกระบบราชการ การปรับตัวและพลวัตของรัฐราชการจอมพลสฤษดิ์ ผู้เขียนได้วิเคราะห์ไว้ในบทที่ 3 ว่ารัฐราชการในช่วงนี้ประสานพลังเป็นกลุ่มก้อนเดียวกับคณะปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ด้วยแนวทางการพัฒนาที่จอมพลสฤษดิ์ได้ดำเนินการเป็นนโยบายหลักเพื่อจูงใจให้รัฐราชการมาทำงานร่วมกัน ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงเวลานี้สมาชิกสภาและคณะรัฐมนตรีประกอบไปด้วยข้าราชการจำนวนมาก ซึ่งในยุคนั้นข้าราชการเหล่านี้ เป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถได้รับทุนการศึกษาหรือการอบรมจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกาและองค์กรระหว่างประเทศ จึงอาจกล่าวได้ว่า ในสมัยจอมพลสฤษดิ์คำอธิบายแบบรัฐราชการดั้งเดิมที่หมายถึงระบอบการเมืองที่ข้าราชการเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องสำคัญ และเป็นผู้กำหนดนโยบายหลักของประเทศ ในห้วงที่พลังนอกระบบราชการมีความอ่อนแอนั้น เป็นคำอธิบายที่ครอบคลุมเฉพาะลักษณะการเมืองในช่วงเวลาดังกล่าว
รัฐราชการจอมพลสฤษดิ์มีการปรับตัวด้วยการปรับโครงสร้างทางการเมือง ขยายระบบราชการโดยมีสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นแกนกลางในการบัญชาการ ผูกสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกองทัพและรัฐบาลสหรัฐอเมริกา มีเทคโนแครตเป็นผู้กำหนดแนวทางการพัฒนา และมีกองทัพเป็นผู้รักษาความมั่นคง กลุ่มธุรกิจอาศัยระบบอุปถัมภ์ในการแสวงหาผลประโยชน์ในธุรกิจของตน แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับกลุ่มผู้มีอำนาจในรัฐบาลด้วยการแต่งตั้งให้คนจากรัฐราชการมาเป็นกรรมการในบริษัทของตน ในขณะที่กลุ่มธุรกิจก็ได้รับผลประโยชน์จากโครงการต่างๆ ของรัฐ โดยเฉพาะบรรดาโครงการสัมปทานต่างๆ และโครงการการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รัฐจึงเป็นผู้นำทุนในการดำเนินนโยบายการพัฒนาต่างๆ อย่างเบ็ดเสร็จ สำหรับรัฐราชการสมัยจอมพลสฤษดิ์ ตัวแสดงนอกระบบราชการยังมีความอ่อนแอภาคธุรกิจยังต้องอาศัยการอุปถัมภ์คุ้มครองจากอำนาจรัฐ ภาคประชาชนถูกควบคุมอย่างหนักท่ามกลางการประกาศใช้กฎอัยการศึก สหภาพแรงงานหรือพรรคการเมืองล้วนถูกระงับการเคลื่อนไหว พลังทางสังคมจึงมีความอ่อนแอ ตัวแสดงนอกประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาเลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับรัฐราชการเพื่อที่จะขยายทุนนิยมเข้ามาในไทยและอาศัยไทยเป็นฐานที่มั่นในการป้องกันภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ รัฐราชการจึงเป็นตัวแสดงที่มีอำนาจทางการเมือง การตัดสินใจที่ทรงพลังมากที่สุดโดยมีกองทัพ เทคโนแครต สถาบันกษัตริย์ สหรัฐอเมริกาและกลุ่มทุนเป็นปัจจัยที่เสริมความเข้มแข็งของรัฐราชการ พลวัตการปรับตัวของรัฐราชการในปัจจุบันดำเนินไปในลักษณะที่ระบบราชการมีลักษณะรวมศูนย์แบบแตกกระจายอันเกิดจากการขยายตัวของระบบราชการในแต่ละยุคสมัยโดยไม่ได้มีการปรับลดให้ระบบราชการมีขนาดเล็กลงเพื่อความคล่องตัวในการทำงาน แนวโน้มการบริหารราชการของรัฐไทยคือการตั้งหน่วยงานระดับกรมขึ้นมาเพื่อตอบสนองภารกิจในด้านต่างๆ ให้มากขึ้นโดยไม่ได้มีการยุบหน่วยงานเดิมแต่อย่างใด ส่งผลให้ระบบราชการมีขนาดใหญ่ ทำงานซ้ำซ้อน ขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่างๆ เช่น ในสภาพที่ระบบราชการขาดเอกภาพเช่นนี้
เมื่อรัฐบาล คสช. เข้ามายึดอำนาจและต้องการใช้ระบบราชการเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนประเทศดังเช่นสมัยจอมพลสฤษดิ์เพื่อฟื้นฟูให้รัฐราชการกลับมาอีกครั้งจึงเป็นไปได้ยากยิ่ง อีกทั้งข้าราชการในปัจจุบันยังไม่ใช่กลุ่มคนที่เป็นหัวกะทิดังเช่นในสมัยก่อน ระบบราชการในปัจจุบันจึงกลายเป็นอุปสรรคในการทำงานรวมศูนย์ ขับเคลื่อนนโยบายของ คสช. เห็นได้ชัดจากการที่ คสช. ได้เลือกใช้มาตรา 44 ในการจัดตั้งคณะกรรมการในการดำเนินโครงการประชารัฐ และโครงการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งทั้ง 2 โครงการรัฐบาลได้เลือกที่จะทำงานร่วมกับกลุ่มทุนใหญ่มากกว่าระบบราชการ นอกจากนี้ คสช. ยังได้พยายามใช้มาตรา 44 จัดระเบียบการบริหารงานของระบบราชการ ทั้งการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการระดับปลัดกระทรวงหรือผู้ว่าราชการ การจัดระเบียบในหน่วยงาน แต่ก็ยังให้ผลประโยชน์แก่ข้าราชการด้วยการขึ้นเงินเดือนให้อย่างน้อย 4 ครั้ง ในระยะเวลา 4 ปี เนื่องจากจำเป็นต้องใช้ระบบราชการเป็นกลไกในการบริหารงาน กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่ผู้เขียนต้องการเสนอในงานชิ้นนี้ คือ รัฐราชการเป็นเครือข่ายกลุ่มผลประโยชน์ของพลังทางสังคมในไทยที่เคยมีอำนาจทางการเมืองมาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 เป็นกลุ่มการเมืองที่ฝังตัวอยู่ในรัฐไทยมาช้านานและไม่เคยหายไป แม้จะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ตาม โดยการฝังตัวเริ่มตั้งแต่ระบบราชการสมัยใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาภายใต้รัฐสมบูรณาญาสิทธิ- ราชย์ของรัชกาลที่ 5 ข้าราชการจึงกลายเป็นกลุ่มผู้มีอำนาจต่อรองกับกลุ่มชนชั้นนำเดิมในรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็กลายเป็นผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศ การรัฐประหารแต่ละครั้งเป็นการแสดงถึงพลังต้านของรัฐราชการที่ไม่คิดจะแฝงตัวซ้อนเร้นอยู่ในกระทรวง กรม กอง หน่วยงานเทคโนแครต และภายใต้เงาของรัฐไทยที่คุกคามผลประโยชน์ และป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกคุกคามจากรัฐบาลระบอบประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง และผู้เขียนมองว่ารัฐราชการเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการปฏิรูปให้อยู่ร่วมกับระบอบประชาธิปไตยและทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐราชการอาจไม่ได้เป็นกลุ่มพลังเดียวกันกับรัฐบาลที่มาจากคณะรัฐประหารอย่างแนบแน่นเห็นได้จากรัฐราชการสมัย คสช. นั่นเอง ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |
**กรุณาเลือกช่องทางติดต่อตามข้อสงสัยของคุณ ในกรณีที่คุณไม่สามารถติดต่อเจ้าของร้านได้ สามารถติดต่อมายังทีมงาน LnwPay แล้วเราจะช่วยเหลือคุณจนถึงที่สุด
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |