จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | 0 ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | ไทยศึกษา |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ช่องทางชำระเงิน | ![]() |
ไฮไลท์ |
ครอบครัวจินตกรรม : บทวิพากษ์ว่าด้วยชุมชน การปกครอง และรัฐ
โดย ธเนศ วงศ์ยานนาวา และเพื่อน
พิมพ์ครั้งที่ 1 ISBN 978-616-93138-9-2
จำนวน 301 หน้า
ครอบครัวเป็นปราการด่านสุดท้ายของพื้นที่เสรีของกระฎุมพี (bourgeois) ที่รัฐไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย กรอบความคิดเรื่องครอบครัวแบบนี้เป็นแนวทางเสรีนิยม แม้ว่าการเมืองการปกครองกับครอบครัวจะเกี่ยวพันกันมาหลายพันปี แต่ครอบครัวเพิ่งเริ่มจะแยกขาดออกจากการเมืองในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการปฏิวัติอเมริกาในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ครอบครัวได้กลายเป็นพื้นที่แห่งการประชันขันแข่งทางการเมืองของพวกอนุรักษนิยมใหม่ (neoconservative) และเสรีนิยมใหม่ (neoliberal) ซึ่งต่างพยายามส่งเสริม ‘คุณค่าของครอบครัว’ บนฐานความเชื่อที่ว่าครอบครัว ตลอดจนคุณค่าอันเป็นที่รับรู้กันของครอบครัวในโลกสมัยใหม่นั้นกำลังเสื่อมสลายลง ด้วยเหตุนี้ การศึกษาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวกับรัฐส่วนใหญ่จึงถูกขับเน้นด้วยฐานคติทางอุดมการณ์ระหว่างเสรีนิยมกับอนุรักษนิยมหรือระหว่างฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา จนราวกับว่าการเมืองเรื่องของครอบครัวเป็นเพียงประดิษฐกรรมของสภาวะสมัยใหม่
ครอบครัวมีบทบาทสำคัญมาก โดยเฉพาะระหว่างกระบวนการก่อสร้างรัฐสยามสมัยใหม่ การเทียบรัฐเป็นครอบครัวไม่ใช่ความคิดพิเศษ เช่นเดียวกับระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จในที่อื่น ๆ เช่น ระบอบนาซีเยอรมันและระบอบสตาลินในรัสเซีย สมาชิกของรัฐประชาชาติไทยถูกนับว่าเป็นสมาชิกของครอบครัวเดียวกัน กล่าวอีกทางหนึ่ง ครอบครัวกลายเป็นต้นแบบของรัฐประชาชาติ โดยที่ผู้ปกครองถูกแทนด้วยสัญญะของการเป็นพ่อ ดังนั้นรัฐประชาชาติจึงเป็น ‘ครอบครัวจินตกรรม’ มากกว่า ‘ชุมชนจินตกรรม’ อย่างไรก็ดีรัฐสมัยฝหม่ที่ยังไม่ได้มีความเป็นรัฐประชาชาติก็สามารถที่จะแสดงตัวผ่านครอบครัวได้เช่นกัน ทั้งนี้ครอบครัวแสดงความใกล้ชิดและเหนียวแน่น ครั้นเมื่อหัวหน้าครอบครัวจำาต้องรู้จักสมาชิกในครอบครัวของตน สมาชิกของครอบครัวจินตกรรมแต่ละคนจึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้องถูกระบุตัวตนผ่านการมีนามสกุล อันเป็นกลไกสำาคัญของในการบ่งบอกว่าเป็นใคร (identification)
เมื่อรัฐและครอบครัวเป็นทองแผ่นเดียวกัน การสอดส่องดูแลสมาชิกของรัฐผ่านการใช้ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลภายในครอบครัวจึงเป็นวิธีการสอดส่องประชาชนที่ต้นทุนตำ่ โดยเฉพาะด้วยการใช้ประโยชน์จากเด็กในฐานะตัวแทนของการควบคุม เมื่อเด็กจำเป็นต้องได้รับการศึกษาภาคบังคับ เด็กจึงกลายเป็นซับเจค (subject) ของรัฐในขณะเดียวกันก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของครูผู้ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐอีกทีหนึ่ง เมื่อคุณค่าของเด็กกลายเป็นเรื่องอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าเศรษฐกิจ จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเด็กที่จะต่อรองโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องทางอารมณ์กับผู้ปกครอง อารมณ์ทำให้ชีวิตในครอบครัวไม่มีความมั่นคง ด้วยเหตุนี้ เด็กในฐานะ ‘ซับเจค’ ของรัฐจึงทำางานเป็น ‘ตัวแทน’ ของรัฐ และถูกใช้เพื่อควบคุมพฤติกรรมของพ่อแม่ผู้ปกครองของตนเอง
|
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
บทความที่หนึ่งเขียนโดย ธเนศ วงศ์ยานนาวา อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ถูกแปลมาจากภาษาอังกฤษ คือบทความ การสอดส่องดูแลเด็กกับครอบครัวจินตกรรมในประเทศไทย:จากนามสกุลสู่รักทางอารมณ์ ที่ถือเป็นแกนหลักของหนังสือ กล่าวอย่างรวบรัดแล้ว บทความชิ้นนี้มีสาระที่สำคัญคือการชี้ให้เห็นว่า คำอธิบายว่าด้วย “ชุมชนจินตกรรม” (imagine community) ของ Benedict Anderson อดีตนักวิชาการทางประวัติศาสตร์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาคนสำคัญ มีข้อจำกัดในการอธิบายรัฐไทย นั่นก็เพราะว่ารัฐไทยนั้นไม่มีลักษณะของการเป็นชุมชนในความรู้สึกแบบรัฐประชาชาติที่อาศัยการสร้างเครื่องมืออย่างภาษาหรือวัฒนธรรม สร้างให้เป็นจุดร่วมกัน ในทางตรงกันข้าม รัฐไทยกลับดำเนินนโยบายในการสร้างรัฐประชาชาติด้วยการสร้าง “ครอบครัวจินตกรรม” (imagine family) แทน และใช้กลไกของการสร้างความเป็นครอบครัวนี้ในการปกครอง ซึ่งเมื่อผนวกเข้ากับแนวคิดทางพุทธศาสนา ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็น “การปกครองชีวญาณแบบไทย” (Thai Governmentality) ที่มีโครงสร้างฝั่งหนึ่งทำงานเหมือนกับรัฐสมัยใหม่อื่นๆ ที่เน้นการระบุตัวบุคคลให้ชัดเจนและมีระเบียบกับโครงสร้างที่ยึดโยงพันเข้ากับพุทธศาสนาที่ใช้ในการปกครอง หากไม่นับว่านี่เป็นงานเกี่ยวกับรัฐไทยที่ผู้เขียนเองเคยประกาศทั้งในที่ลับและที่แจ้งว่าจะไม่เขียนเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับประเทศไทยหรือรัฐไทย บทความและคำอธิบายดังกล่าวของธเนศมีความพิเศษตรงที่เป็นบทความชิ้นแรกๆ ที่มีการใช้แนวคิดการปกครองชีวญาณเข้ามาพิจารณา ซึ่งเป็นแนวคิดของ Michel Foucault นักวิชาการทางประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เข้ามาใช้งานอย่างจริงจังในกรณีของรัฐไทย และถือเป็นการพัฒนาต่อจากงานของ Murashima ที่ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.2531 รวมถึงเป็นบทความที่กล่าวถึงบทบาทของศาสนาต่อการปกครอง ซึ่งในภายหลังมีหนังสือที่ตีพิมพ์โดย Patrick Jory เขียนเรื่องนี้เอาไว้เป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่าในท้ายที่สุดแล้วรัฐไทยเองก็ไม่ได้ต่างไปจากรัฐอื่นๆ ในแง่ของการพยายามควบคุมประชากรผ่านกลไกอย่างครอบครัวแต่อย่างใด เพียงแต่รัฐไทยมีการปรับเปลี่ยนคำอธิบายและการดำเนินการในบางจุด เพื่อให้โครงสร้างของรัฐสมัยใหม่ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกนำเข้ามาใช้ในสังคมไทย กลายเป็นโครงสร้างที่มีความเหมาะสมกับสภาพการปกครองของรัฐไทย บทความที่สองคือ อ่าน "การสอดส่องดูแลเด็กกับครอบครัวจินตกรรมฯ" จากมุมมองด้าน Govermentality ของฟูโกต์ โดย พิพัฒน์ พสุธารชาติ ที่พยายามชี้ว่า บทความของธเนศ มีความแตกต่างไปจากกรอบการปกครองชีวญาณของฟูโกต์ ซึ่งอิงอยู่กับฐานรัฐแบบเสรีนิยม (Liberalism State) และการอ่านบทความของธเนศจึงต้องอ่านในมุมมองที่แตกต่างกันออกไป โดยสมควรที่จะต้องพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์ (historical context) เข้าไปด้วย พิพัฒน์ได้นำเอาตัวอย่างในแต่ละช่วงประวัติศาสตร์ของไทยที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาอธิบาย และชี้ให้เห็นว่างานของธเนศ ต้องการการพิจารณาที่แตกต่างกันออกไป ไม่สามารถใช้กรอบของฟูโกต์มาพิจารณาโดยตรงได้ งานของพิพัฒน์มีเอกลักษณ์ตรงที่พยายามชี้ให้เห็นว่า ด้วยเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ ทำให้การดำเนินการของรัฐไทยมีความแตกต่างออกไปจากรัฐในโลกตะวันตกไม่มากก็น้อย แต่ในความแตกต่างนั้นก็มีความสอดคล้องไปกับพัฒนาการของโลกตะวันตกในการเป็นรัฐสมัยใหม่และการสร้างเครื่องมือในการปกครองที่อาศัยบนฐานของความสมเหตุสมผล (rationality) และชี้ให้เห็นถึงช่องว่างในงานของธเนศที่ไม่ได้กล่าวถึงบทบาทของเจ้าหน้าที่ของรัฐไทยกับสถาบันครอบครัวในความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ธเนศพยายามเสนอนั่นเอง นอกจากความพยายามนำเสนอของพิพัฒน์ดังที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว พิพัฒน์ยังสร้างบทสนทนาในเชิงทฤษฎีด้วยการพยายามให้เหตุผลในการแปลคำว่า “governmentality” ว่าควรแปลเป็น “เทคนิคของการปกครอง” แทนที่จะแปลว่า “ศิลปะการปกครอง” หรือ “การปกครองชีวญาณ” ดังเช่นนักวิชาการคนอื่นๆ ซึ่งเป็นความพยายามในการอ่านคำบรรยายของ Foucault ในปี 1977-1978 หัวข้อ “Security, Territory, Population” และตีความใหม่ แม้ผู้เขียนจะยังมีบางจุดที่ไม่เห็นด้วย แต่สิ่งที่พิพัฒน์เสนอมีคุณค่าแก่การพิจารณาว่า อันที่จริงแล้วเราควรแปลคำๆ นี้ ว่าอย่างไรกันแน่ และเป็นการเชื้อเชิญให้ผู้อ่าน มีบทสนทนากับกรอบทฤษฎีอย่างน่าสนใจ บทความที่สามเป็นงานของ ภาคิน นิมมานนรวงศ์ ว่าด้วยเรื่องของ ธรรมชาติของวัยเด็กกับการจำแนกช่วงวัยในยุคปฏิรูปการปกครอง ที่เน้นไปเรื่องของการเปลี่ยนแปลงแนวคิดว่าด้วยเรื่องเด็กและเยาวชนในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ซึ่งมีการถกเถียงและเปลี่ยนแปลงแนวคิด รวมถึงเส้นแบ่งในการจัดช่วงอายุของเด็กและเยาวชน ภาคินเสนอว่ากระบวนการจัดแบ่งเด็กมาพร้อมกับสองสิ่งที่พร้อมกัน คือเรื่องของการศึกษาและการเข้ามาของแนวคิดทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ของโลกตะวันตก ผลที่นำมาคือการแบ่งแยกเด็ดขาดระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ รวมไปถึงเป็นการเปิดช่องว่างให้รัฐเข้ามามีบทบาทกับครอบครัวด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ภาคินเสนอว่าการจัดแบ่ง (categorization) เด็กภายใต้ปทัสถานของสมัยใหม่ ทำให้เกิดช่องว่างบางอย่าง และเด็กกลายเป็นทางเข้า (entry point) สำหรับรัฐนั่นเอง งานของภาคินเป็นงานที่มีความละเอียดสูง และมีเกร็ดทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจจำนวนมาก รวมไปถึงการชี้ให้เห็นถึงบทบาทของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่มีส่วนในการเสนอวาทกรรม (discourse) เพื่อจัดแบ่งเด็กเป็นช่วงอายุต่างๆ และพยายามระบุว่าเด็กแต่ละช่วงอายุควรทำอะไรบ้าง แต่ในเวลาเดียวกันก็สร้างความท้าทายในการจัดระบบภายใต้แนวคิด (mentality) แบบดั้งเดิมของสังคมไทยด้วย สำคัญที่สุดคือแนวคิดในการแยกเรื่องของเด็กและผู้ใหญ่ออกจากกัน ที่ในท้ายที่สุดแล้วกลายเป็นเรื่องของการจัดลำดับและความเข้าใจในโลกของเด็กและผู้ใหญ่ที่แตกต่างกัน ไล่ตั้งแต่การใช้โทษคุมขังที่แตกต่างกันไปจนถึงการเสนอเรื่องของ “โรงเรียนดัดสันดาน” ที่ในท้ายที่สุดแล้ว ก็มีความเกี่ยวพันกับระบบการลงโทษและให้คุณค่าของตัวรัฐเอง ความที่รัฐเป็นเป้าหมายของการศึกษาหลักของหนังสือเล่มนี้ ก็อาจทำให้ผู้อ่านเกิดคำถามได้ว่า แล้วตกลงสิ่งที่ธเนศเสนอ พยายามจะเสนอสิ่งใด สำหรับเก่งกิจ กิตติเรียงลาภ สิ่งที่ธเนศเสนอเป็นการเสนอมาจากฐานอาณาธิปัตย์ (anarchism) โดยเขาชี้ให้เห็นในบทความ “รัฐ กูเกลียดมึง!” (จาก) Pierre Clastres และ James C. Scott (ถึงธเนศ วงศ์ยานนาวา) ว่าอันที่จริงแล้ว ธเนศ ใช้ฐานคิดแบบนักมานุษยวิทยาที่ตั้งคำถามกับแนวทางการกำเนิดของรัฐสมัยใหม่ และสภาวะก่อนการมีรัฐ (pre-state condition หรือ natural condition) ซึ่งเป็นฐานคำอธิบายที่สำคัญของปรัชญาการเมืองสายสัญญาประชาคม (contractarian) ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักคิดฝั่งรัฐศาสตร์แบบดุษฎี ผ่านงานเขียนของ Pierre Clastres และ James C. Scott เก่งกิจพยายามชี้ให้เห็นว่า ฐานคิดของธเนศมีลักษณะของการปฎิเสธความคิดเรื่องรัฐผ่านงานเขียนของนักวิชาการทั้งสอง และเป็นการตั้งคำถามโดยตรงกับฐานคิดของปรัชญาการเมืองเกี่ยวกับเรื่องของการมีรัฐ เก่งกิจพยายามชี้ให้เห็นว่างานของธเนศมีกลิ่นอายแบบ Clastres และ Scott ซ่อนอยู่ รวมถึงผ่านทางคำแนะนำของธเนศเองที่แนะนำหนังสือของนักวิชาการทั้งสองคนให้เก่งกิจรู้จัก บทความชิ้นนี้แม้ในสายตาของผู้เขียนอาจจะยังมีปัญหาตรงที่ว่าไม่ได้แตะกับตัวงานของธเนศโดยตรงแบบที่เก่งกิจพยายามจะนำเสนอ แต่อย่างน้อยที่สุดเก่งกิจพยายามตั้งคำถามด้วยการมองว่า อันที่จริงแล้วการศึกษารัฐศาสตร์ อันเป็นศาสตร์ที่ธเนศสังกัดอยู่ตลอดชีวิตการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ใจกว้างพอที่จะมีบทสนทนากับศาสตร์อื่นที่ตั้งคำถามกับวัตถุที่เป็นแกนหลักของการศึกษาของสาขาวิชาตัวเองหรือไม่ แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมว่า การตั้งคำถามนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับในหมู่นักมานุษยวิทยาอย่างเดียว สำหรับนักปรัชญาการเมือง คำถามที่ว่าทำไมถึงต้องมีรัฐถูกท้าทายและตั้งคำถามอยู่เสมอ อย่างน้อยที่สุดก็ในงานเขียนของ Robert Nozick ที่ชื่อ Anarchy, State, Utopia และ John Hospers ที่ชื่อ The Libertarian Manifesto ดังนั้นแล้วการตั้งคำถามเกี่ยวกับรัฐจึงไม่ถูกจำกัดอยู่แต่เฉพาะในวงของมานุษยวิทยาแบบเดียว ดังเช่นที่เก่งกิจพยายามสื่อสาร แต่นั่นก็ไม่ได้ลดทอนคุณค่าหรือสาระของบทความของเก่งกิจแต่ประการใด โดยภาพรวมแล้ว บทความที่ถูกนำเสนอในนี้ แม้จะมีส่วนรายละเอียดที่เห็นต่าง เห็นเสริม หรือชี้ให้เห็นถึงร่องรอยของนักคิดต่างๆ ที่ส่งผลกับบทความแกนหลักของธเนศหรือแม้แต่ตัวผู้เขียน แต่บทความเหล่านี้ไม่ได้ละเลยการสนทนาทางวิชาการแม้แต่น้อย ดังจะปรากฏให้เห็นชัดเจนในส่วนของพิพัฒน์ ที่บรรจงมีบทสนทนากับทั้งภาคินและเก่งกิจในส่วน บทขยายความก่อนบทตอบกลับของธเนศ วงศ์ยานนาวา ที่สะท้อนทั้งความเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยการใช้เหตุผลต่างๆ สนับสนุนและคัดค้านกับจุดยืนที่แตกต่างกัน ก่อนที่เจ้าของบทความแกนหลักของหนังสือเล่มนี้จะมาเขียนตอบ หลังจากนั้นธเนศ ได้เขียน ‘บทตอบ’ กลับ พิพัฒน์ ภาคิน และเก่งกิจ ซึ่งมีความยาวถึง 60 หน้า! (ในขณะที่บทความเดิมคือ ‘การสอดส่องดูแลเด็กกับครอบครัวจินตกรรมในประเทศไทยฯ’ มีความยาวเพียง 38 หน้า) ธเนศยังได้เขียน ‘คำนำ’ ใหม่ให้กับบทความ‘การสอดส่องดูแลเด็กกับครอบครัวจินตกรรมฯ’ จำนวน 12 หน้า ซึ่งถ้านับเนื้อหาทั้งหมดที่ธเนศเขียนในหนังสือเล่มนี้ ก็จะเป็น 110 หน้า! ซึ่งส่วนที่เขียนขึ้นใหม่นี้ นอกจากจะเป็นการอธิบายเนื้อหาในบทความเดิมที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายในหลายแง่มุมแล้ว ยังมีการโต้เถียง เห็นด้วย รวมทั้งเปิดการสนทนากับพิพัฒน์ ภาคิน และเก่งกิจ ได้อย่างสลับซับซ้อน จนเกินกว่าที่เราจะสรุปออกมาสั้นๆได้ สารบัญของหนังสือ https://www.yumpu.com/xx/document/read/62145895/- งานเสวนาหนังสือ 1 https://youtu.be/IDSyukCmf9w งานเสวนาหนังสือ 2 https://youtu.be/ubPg29oI6iI บทความเนื่องในงานเสวนาของประชาไท https://prachatai.com/journal/2019/01/80662 Booktalk https://youtu.be/Ghae8Jlk2iI เชิญชมวีดีโอ 1 https://youtu.be/yEnTnJYeu6s บทรีวิวหนังสือ https://www.yumpu.com/xx/document/read/62396752/- เชิญชมวีดีโอ 2 https://youtu.be/a-CotHxo6I0 เชิญชมวีดีโอ 3 https://youtu.be/7PLGW-MeCwg ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |
**กรุณาเลือกช่องทางติดต่อตามข้อสงสัยของคุณ ในกรณีที่คุณไม่สามารถติดต่อเจ้าของร้านได้ สามารถติดต่อมายังทีมงาน LnwPay แล้วเราจะช่วยเหลือคุณจนถึงที่สุด
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 21 ต.ค. 2568 |