โดย ธีรภัทร รื่นศิริ
ตอนที่ 1
ขอบคุณคุณรัฐพลที่เขียนบทวิจารณ์ มันช่วยให้ผม ผู้แปลหนังสือ เห็นจุดที่ชวนเข้าใจผิดของหนังสือได้กระจ่างชัดขึ้นครับ
บทความนี้จะไม่ใช่บทความแก้ต่างวูล์ฟ แต่จะเป็นบทความอธิบายความเข้าใจวูล์ฟของผมเพราะผมมั่นใจว่าการวิพากษ์วิจารณ์วูล์ฟของรัฐพลจะคลี่คลายไปทันทีหากรัฐพลและผมเข้าใจวูล์ฟตรงกัน หากรัฐพลคิดว่าแม้เข้าใจวูล์ฟแบบนี้ ข้อคิดของเธอก็ยังมีปัญหาอยู่ดี หรือเกิดปัญหาใหม่ต่อวูล์ฟ ผมก็ยินดีรับฟังอย่างยิ่งครับ
ประเด็นแรกคือคุณค่าที่เป็นอิสระหรือคุณค่าวัตถุวิสัย วูล์ฟใช้คำนี้เพื่อสื่อว่า มันคู่ควรกับการอุทิศชีวิต ไม่ว่าคนจะนิยมชมชอบ สังคมจะยกย่องเชิดชูหรือไม่ก็ตาม ลองดูตารางด้านล่าง
|
สังคมเห็นค่า |
สังคมไม่เห็นค่า |
คู่ควร |
1. คู่ควรและสังคมเห็นค่า |
2. คู่ควรแต่สังคมไม่เห็นค่า |
ไม่คู่ควร |
3. ไม่คู่ควรแต่สังคมเห็นค่า |
4. ไม่คู่ควรและสังคมไม่เห็นค่า |
ตามความคิดของวูล์ฟ สิ่งที่จะเพิ่มความหมายให้ชีวิตคือ สิ่งที่มีลักษณะ 1-2 เท่านั้น หรือถ้าพูดในทางกลับกัน มันไม่สำคัญว่าสังคมจะเห็นค่าสิ่งหนึ่งหรือไม่ ประเด็นคือตัวมันเองคู่ควรหรือไม่ เราสามารถจินตนาการสถานการณ์ที่สังคมไม่เห็นค่าต่อสิ่งที่เราทุ่มเทชีวิตให้ แต่ชีวิตของเราก็มีความหมายมากขึ้นจากการทำในสิ่งที่คู่ควรนั้นได้อยู่ดี ลองนึกภาพศิลปินที่พยายามท้าทายขนบจารีตได้อย่างยอดเยี่ยมแต่สังคมวงกว้างยังไม่เห็น (และอาจไม่มีวันเห็น) ค่าของการท้าทายของเขา แต่ถ้าการท้าทายนั้นคู่ควรจริงๆ มีศักยภาพที่จะทำให้สังคมชื่นชมได้อย่างเหมาะสมจริงๆ มันก็เพิ่มความหมายให้ชีวิตเขาได้แล้ว
รูปที่ 1. Vincent van Gogh จิตรกรชาวดัตช์ ที่ตลอดชีวิตการสร้างสรรค์งานศิลปะของเขาไม่ได้รับการยอมรับ อีกทั้งยังถูกดูหมิ่นดูแคลน และสามารถขายผลงานได้เพียงภาพเดียวเท่านั้น แต่ปัจจุบันเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะ ผลงานของเขามีราคาสูงมาก
วูล์ฟเริ่มต้นความคิดว่า สิ่งทื่เพิ่มความหมายให้ชีวิตต้องคู่ควรในตัวของมันเอง จากการที่เธอจริงจังกับคำแนะนำภูมิปัญญาชาวบ้านที่แพร่หลายในโลก นั่นคือ ชีวิตจะมีความหมายมากขึ้นเมื่อเราอุทิศมันให้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง เช่น สังคม ศาสนา ศิลปะ ฯลฯ แต่เธอชี้ว่า ประเด็นจริงๆ น่าจะไม่ใช่ความยิ่งใหญ่กว่า นี่น่าจะเป็นแค่ความคลุมเครือทางความคิดเฉยๆ ประเด็นจริงๆ คือ มันต้องเป็นสิ่งที่คู่ควรแม้ตัวเราเองจะไม่เข้าไปยกย่องเชิดชู ซึ่งต่างจากบางอย่างที่เราอาจจะเห็นแหละว่ามีคุณค่าแต่ไม่คู่ควรกับการอุทิศชีวิต อาทิ เธอยอมรับว่าการคัดลายมือวรรณคดีเอกของโลกที่ตีพิมพ์แพร่หลายอาจจะมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่เราคงต้องยอมรับว่ามันไม่คู่ควรต่อการอุทิศชีวิต หากคนที่เรารักอุทิศชีวิตเพื่อทำอะไรแบบนี้ เราคงกังวล เราคงอยากเข้าไปพูดคุยด้วย
เราจะเห็นได้ว่า คุณค่าที่เป็นอิสระนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นคุณค่าแปลกประหลาด อยู่เหนือกาลเวลา หรือความเป็นมนุษย์เลย กระทั่งเรื่องที่ฟังดูพื้นเพมากๆ อย่าง การทำความสะอาดหรือการทำอาหารก็สามารถมีคุณค่าที่เป็นอิสระได้
ประเด็นที่สอง คือ อาชีพและความหมายชีวิต ตัวอย่างที่คุณรัฐพลยกมาดูจะมีเค้าโครงความคิดว่า แง่คิดของวูล์ฟมีปัญหาเพราะถ้ามันถูกต้อง ชีวิตของคนที่ทำบางอาชีพจะต้องไม่มีความหมาย แต่ชีวิตของคนที่ทำอาชีพเหล่านี้ดูจะมีความหมาย
เหตุผลของคุณรัฐพลมีโครงสร้างที่หนักแน่น อย่างไรก็ดี ผมก็เข้าใจวูล์ฟต่างจากคุณรัฐพลอีกแล้ว
ตามความเข้าใจของผม วูล์ฟไม่เคยบอกเลยว่าชีวิตของคนผู้หนึ่งจะมีความหมายหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าอาชีพที่เขาทำนั้นมีคุณค่าที่เป็นอิสระหรือไม่ สมมติว่าคนผู้หนึ่งไม่ประกอบอาชีพอะไรเลย ชีวิตของเขาก็ยังมีความหมายได้ในสายตาของวูล์ฟ ขอเพียงเขามีความรัก ทำอะไรบางอย่างกับความรักนั้นได้ และรักในสิ่งที่คู่ควร คนผู้หนึ่งอาจจะเพิ่มความหมายให้ชีวิตจากการดูแลครอบครัว จากการไปเที่ยว จากการเล่นกีฬา ฯลฯ ก็ได้
รูปที่ 2. โจนาธาน ไฮดท์ ได้เขียนบทวิจารณ์แนวคิดของวูลฟ์ ในหนังสือ ‘ความหมายของชีวิต’ เขาได้ยกตัวอย่างผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีความหลงใหลในเรื่องม้า เธอเริ่มศึกษาประวัติศาสตร์ของม้าตั้งแต่เริ่มเรียนขี่มัน เธอถือว่าตัวเองเป็น ‘เพื่อนของม้า’ ไฮดท์คิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นตัวอย่างสมบูรณ์แบบของการผูกชีวิต เธอมีความสัมพันธ์กับการขี่ม้าที่เริ่มจากความสนใจธรรมดา และค่อยๆ ขยายตัวในช่วงเวลาหลายปีจนผูกเธอเข้ากับกิจกรรม ประเพณี และชุมชน เธอค้นพบยิ่งกว่าความสุข เธอได้ค้นพบความหมายของชีวิต โดยในบทตอบกลับ วูลฟ์ยอมรับว่าผู้หญิงที่มีความหลงใหลในเรื่องม้าคนนี้ มีชีวิตที่มีความหมาย เธอยังยกตัวอย่าง คนที่มีหลงใหลในการเล่นกีฬา การเล่นเกมส์อักษรไขว้ ว่าสามารถมีชีวิตที่มีความหมายได้
อย่าว่าแต่อาชีพที่คุณรัฐพลยกมาไม่ใช่อาชีพเหลวไหลไร้สาระแต่เป็นอาชีพที่ทำให้เรามีอารยธรรมด้วยซ้ำ การทำความสะอาด การทอดกล้วยแขก การชงกาแฟ ล้วนเป็นสิ่งที่คนที่ไม่เคยต้องไปยังที่นั่น ไม่เคยกินกล้วยแขก ไม่ดื่มกาแฟ ก็ยอมรับได้ว่ามีคุณค่าคู่ควรที่มนุษย์คนหนึ่งจะอุทิศชีวิตวันละหลายชั่วโมงเพื่อมัน
ประเด็นที่สาม วูล์ฟเน้นย้ำหลายต่อหลายครั้งว่า เราจำเป็นจะต้องตรวจทานกันและกัน ช่วยกันสอบถามทบทวน เรื่องความหมายชีวิต เรื่องคุณค่าที่เป็นอิสระ เรื่องความคู่ควรเพราะ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ดี แม้กระทั่งเจ้าของชีวิตเองก็ตาม
ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ความไม่มีใครรู้ดีนี่แหละเป็นเหตุผลสำคัญให้วูล์ฟเชื่อว่า คุณค่าที่เป็นอิสระมีความสำคัญต่อความหมายชีวิต เพราะถ้าคุณค่าที่เป็นอิสระไม่สำคัญ ปรากฏการณ์ตาสว่างแล้วรู้สึกว่าชีวิตที่ผ่านมาสูญเปล่าก็จะเป็นไปไม่ได้ แต่วูล์ฟชี้ว่ามันเป็นไปได้ เราอาจจะหลงรักอะไรบางอย่างหัวปักหัวปำจนกระทั่งมาตระหนักได้ว่า มันไม่คู่ควรกับความรักของเรา และทำให้ชีวิตที่ผ่านมาของเราสูญเปล่า ดังนั้นคุณค่าที่เป็นอิสระจึงสำคัญต่อความหมายชีวิต
ตอนที่ 2
ขอบคุณเบญจบรรพตที่ทำให้ผมคิดเรื่องหนังสือของวูล์ฟเล่มนี้ลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม
คำวิจารณ์แรกที่ผมอยากพูดถึง คือ ความไม่หนักแน่นของการอ้างว่า ถ้าคนผู้หนึ่งทำอะไรด้วยความยากลำบาก เขาทำเพื่อความรักไม่ใช่ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งเบญจบรรพตมองว่านั่นคือ การใช้เหตุผลของวูล์ฟว่า ทำไมเราควรแยกความหมายออกจากความสุขหรือจริยธรรม
ผมเห็นด้วยว่าการอ้างดังกล่าวไม่หนักแน่นอย่างที่เบญจบรรพตว่า บางทีเรานั่งทำงานหลังขดหลังแข็ง แต่ไม่ใช่เพราะเรารักงานนั้น เราทำเพราะเราต้องการเงินต่างหาก
แต่ผมไม่แน่ใจว่านั่นคือเหตุผลของวูล์ฟ
ผมเข้าใจว่าสิ่งที่วูล์ฟพยายามจะทำ คือ การอ้างว่าเราสามารถอธิบายการยอมลำบากได้สองวิธีคือ หนึ่ง บอกว่าคนยอมลำบากก็เพื่อผลประโยชน์หรือจริยธรรมเท่านั้น และสอง บอกว่าคนยอมลำบากเพื่อผลประโยชน์หรือจริยธรรมหรือความรัก แต่การอธิบายแบบแรกนั้นมีจุดอ่อน กล่าวคือ ถ้าคนผู้หนึ่งตระหนักว่าการทำอย่างอื่นจะสร้างผลประโยชน์ให้กับเธอมากกว่านี้หรือดีงามตามหลักจริยธรรมกว่านี้ แต่ยังเลือกที่จะทำมัน เราจะต้องสรุปว่าเธอไม่ทำตามเหตุผล แต่การอธิบายวิธีที่สองสามารถบอกได้ว่า เธอทำไปเพราะความรัก แทนที่เราจะต้องบอกว่า “คนที่ไปนั่งเยี่ยมไข้ญาติที่โคม่าน่ะทำอะไรที่ไม่มีเหตุมีผลเพราะไปนั่งก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร สู้เอาเวลาไปเที่ยวหรือไปทำการกุศลดีกว่า” เราสามารถเข้าใจคนที่นั่งเฝ้าญาติให้เหตุผลของความรักชนะเหตุผลของความสุขและเหตุผลของจริยธรรม
รูปที่ 3. การเฝ้าญาติที่อยู่ในสภาพผัก (vegetative state) ซึ่งเป็นภาวะที่สมองใหญ่ของผู้ป่วยได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ส่งผลให้สูญเสียการรับรู้และความเข้าใจ
คำถามที่ตามมาทันที คือ หรือว่าความรักนั้นเป็นส่วนหนึ่งของความสุขหรือจริยธรรมบางอย่าง? เราอาจจะชี้ได้ว่าความสุขที่คนเข้าใจกันมันแคบเกินไป การทำเพื่อความรักอันนำไปสู่ความหมายชีวิตก็เป็นส่วนหนึ่งของความสุข ซึ่งนั่นคืออีกข้อวิจารณ์ของเบญจบรรพต
ณ จุดนี้ ต้องระวังกันให้ดีว่า เราใช้คำว่าความสุขตรงกันหรือไม่เพราะคำนี้เป็นหนึ่งในคำที่คนประชันขันแข่งการใช้งานกันจนพูดสวนกันไปมา
วูล์ฟเองยอมรับชัดเจนว่า การตีความความหมายที่เธอกำลังพูดให้ไปอยู่ใต้ร่มเงาของความสุขไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่การทำแบบนั้นมีปัญหาอย่างน้อยสามข้อ
ข้อแรก ชวนเข้าใจผิดเพราะ เวลาเราอุทิศตนตามเหตุผลของความรัก เราไม่ได้กำลังพุ่งความสนใจไปที่ตัวเรากระทั่งสิ่งที่เรารัก เรากำลังพุ่งความสนใจไปยังความรักต่างหาก วูล์ฟยกตัวอย่างว่า เวลาเธออุทิศตนทำงานปรัชญา เธอไม่ได้สนใจเลยว่ามันดีที่สุดสำหรับเธอหรือไม่ เธอไม่ได้กำลังคิดว่าเธอทำเพื่อปรัชญาด้วยซ้ำ แต่เธอเห็นความดีงามบางอย่างในปรัชญาที่ทำให้เธออุทิศตัว (นี่เป็นเหตุผลให้การเอาความหมายไปอยู่ใต้ร่มเงาจริยธรรมก็น่าสงสัยเหมือนกัน)
ข้อสอง ประโยชน์สุขดูจะเป็นเรื่องความรู้สึกภายใน แต่ความหมายของวูล์ฟจะต้องมีองค์ประกอบภายนอก คนผู้หนึ่งสามารถรู้สึกภูมิใจเพราะเข้าใจผิดได้ แต่ไม่อาจเพิ่มความหมายชีวิตจากความเข้าใจผิดได้ (พิจารณา กรณีซิซิฟัสผู้ถูกดัดแปลงให้ภูมิใจกับงานที่ไม่น่าภูมิใจ เป็นตัวอย่าง)
รูปที่ 4. ซิซิฟัสผู้ถูกดัดแปลงให้ภูมิใจกับงานที่ไม่น่าภูมิใจ
ข้อสาม ถ้าความหมายเป็นเรื่องของผลประโยชน์สุขสวัสดิ์ เราจะเจออุปสรรคในการอธิบายปรากฏการณ์ที่ชีวิตคนมีความหมายมากขึ้นแม้การอุทิศตนของเขาจะล้มเหลวและร้องห่มร้องไห้กับความล้มเหลวนั้น การอธิบายว่า ความหมายไม่ได้ขึ้นอยู่กับประโยชน์สุขเพียงอย่างเดียวทำให้อธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ง่ายขึ้น
ผมขอเสริมว่า สมมติคนผู้หนึ่งอุทิศเวลาเป็นปีๆ ฝึกตีปิงปองเพื่อเป็นนักปิงปองมืออาชีพ แต่แพ้รอบคัดตัวระดับเขตย่อยยับ คำพูดใดของนักปิงปองคนนี้คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงกว่ากัน?
ก.การแข่งครั้งนี้ไม่ได้ให้ความสุขกับชีวิตฉันเลย
ข.การแข่งครั้งนี้ไม่ได้ให้ความหมายกับชีวิตฉันเลย
ผมคิดว่า ข. ดูจะคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงมากกว่า
แล้วถ้าเอาความหมายไปอยู่ใต้ร่มเงาของจริยธรรมล่ะ? ผมก็ว่ามีปัญหาอยู่ดี ถ้าไม่นับปัญหาข้อแรกที่มีร่วมกับการเอาความหมายไปอยู่ใต้ร่มเงาความสุข การเอาความหมายไปอยู่ใต้ร่มเงาจริยธรรมมีปัญหาอีกอย่างน้อยหนึ่งข้อ นั่นคือ มันไม่ชัดเจนว่า เราสามารถเพิ่มความหมายจากการทำสิ่งที่ต่ำช้าทางจริยธรรมได้หรือไม่ (ตัววูล์ฟเองคิดว่า ความหมายจะต้องไม่มาพร้อมกับความต่ำช้าทางจริยธรรม)
สมมติเรามีความเชื่อว่า การฆ่าคนผิดเสมอ สมมติว่าเรามีจุดยืนที่หนักข้อกว่าคนทั่วไป คือ เชื่อว่า ใครก็ตามที่ทำให้คนตายไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ สถานการณ์ใด มีเหตุผลใด ก็จะกลายเป็นคนชั่วช้าเลวทรามแบบไม่หลงเหลืออณูความดีอยู่เลย สมมติว่าคุณ ค. ฆ่าอาชญากรเสียสติที่กำลังจะระเบิดโลกด้วยอาวุธนิวเคลียร์ที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ เราก็ต้องมองว่าคุณ ค. เป็นคนต่ำช้าเลวทรามไร้ซึ่งความดีงามแน่ๆ แต่เราจำเป็นต้องมองว่า ชีวิตของเขาไม่มีความหมายหรือไม่? ดูเหมือนจะไม่จำเป็น เราอาจจะยกย่องว่า ชีวิตของเขาเป็นชีวิตที่มีความหมายที่สุดในประวัติศาสตร์โลกได้ด้วยซ้ำ
รูปที่ 5. หนึ่งในแผนการลอบสังหารฮิตเลอร์ที่มีการกล่าวถึงในวงการประวัติศาสตร์ คือ แผนการลอบสังหารที่เกิดขึ้นที่โรงเบียร์เบือร์เกอร์บร็อยเค็ลเลอร์ ซึ่งก่อการโดยช่างไม้ธรรมดาคนหนึ่งคือ เกออร์ค เอลเซอร์ (Georg Elser) โดยเขาวางแผนการลอบวางระเบิดที่โรงเบียร์แห่งนี้ในวันที่ 8 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1939 โดยฮิตเลอร์ได้เดินทางมาที่โรงเบียร์แห่งนี้ แต่ฮิตเลอร์กลับพูดปาฐกถาไวกว่าปกติและเดินทางกลับในเวลา 21.07 น. โดยเอลเซอร์ตั้งเวลาระเบิดไว้ที่ 21.20 น. เมื่อระเบิดทำงานฮิตเลอร์ได้เดินทางกลับเป็นที่เรียบร้อย แรงระเบิดทำให้เพดานถล่มลงมาเกือบฝังทุกคนในโรงเบียร์ มีผู้เสียชีวิต 8 คน บาดเจ็บ 62 คน ส่วนเอลเซอร์ถูกเจ้าหน้าที่จับได้ที่พรมแดนและส่งตัวไปที่ค่ายดาเชา
แน่นอนว่าจุดยืนทางจริยธรรมข้างต้นนั้นเป็นจุดยืนสุดโต่งเกินกว่าที่ใครจะคิด แต่ประเด็นคือ ถ้าเรามองว่าความหมายเป็นจริยธรรมประเภทหนึ่ง เราจะบอกว่าจุดยืนสุดโต่งนี้มีปัญหาสองข้อ หนึ่ง มันสุดโต่งในการตัดสินความดีงามของคนเกินไป ซึ่งคงไม่มีใครเถียง และสอง มันสับสนว่า ความหมายแยกออกจากจริยธรรม ซึ่งหลายคนคงไม่เห็นด้วย
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |