โดย ปัญญากร ดีสงบ[1]
ย้อนพินิจ : รัฐราชการไทยได้ตายไปแล้ว ?
แนวคิดรัฐราชการ (Bureaucratic Polity)[2] ที่นำเสนอโดย Fred W. Riggs นั้นได้อธิบายสภาวะการเมืองไทยภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ว่ามีลักษณะแบบ “รัฐราชการ” อันหมายความว่าในช่วงเวลาดังกล่าวตัวแสดงข้าราชการภายใต้บทบาทของคณะราษฎรได้มีบทบาทและอิทธิพลในทางการเมือง โดยเฉพาะในการกำหนดนโยบายเหนือกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม ในขณะที่ตัวแสดงนอกระบบราชการอย่างกลุ่มธุรกิจหรือกลุ่มทุนกลับมิได้มีบทบาทสำคัญใด ๆ เนื่องจากไร้พลังและอำนาจต่อรองทางการเมือง ด้วยเหตุนี้ ข้าราชการจากบทบาทดั้งเดิมที่เป็นเพียงกลไกในการนำนโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติให้บรรลุผล กลับกลายเป็นว่าข้าราชการได้มีบทบาทในการกำหนดนโยบาย โดยสามารถควบคุมทิศทางการเมืองภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เสียเอง
รูปที่ 1. หนังสือ Thailand: The Modernization of a Bureaucratic Polity เขียนโดย Fred W. Riggs
อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาต่อมา ภายหลังจากการเสียชีวิตของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และการขึ้นมาแทนที่ของจอมพลถนอม กิตติขจร จนท้ายสุดนำไปสู่การเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษาที่สามารถโค่นล้มรัฐบาลจอมพลถนอมได้สำเร็จ มันกลับเป็นภาพสะท้อนถึงการสั่นคลอนของรัฐราชการไทยที่มากขึ้น โดยได้มีความพยายามในการโต้เถียงแนวคิดรัฐราชการของ Riggs ผ่านงานของอเนก เหล่าธรรมทัศน์ เรื่อง Business and Politics in Thailand: New Patterns of Influence[3] ซึ่งเสนอว่าการมองสภาวะการเมืองไทยผ่านกรอบรัฐราชการแบบเดิมไม่อาจอธิบายได้อีกต่อไปนับตั้งแต่รัฐบาลเปรม ติณสูลานนท์ ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนของกลุ่มธุรกิจในคณะรัฐมนตรีไทยในช่วงรัฐบาลพลเอกเปรม ทั้ง 5 สมัยที่มีมากถึง 45.9% , 30.0% , 41.5% , 47.7% และ 47.7[4] ตามลำดับ หรือกระทั่งการเกิดขึ้นของสมาคมการค้าในอัตราที่เพิ่มมากถึงร้อยละ 87 ในช่วงปี 2528-2530 ซึ่งต่างจากในช่วงปี 2520-2521 ที่ไม่มีแนวโน้มในการเกิดขึ้นของสมาคมเหล่านี้เลย[5] ดังนั้น แนวคิดรัฐราชการจึงถูกเสมือนทำให้ตายลงไปเสียอย่างไรอย่างนั้น
รูปที่ 2. บทความของอเนก เหล่าธรรมทัศน์ ใน Asian Survey, Vol. 28, No. 4. (Apr.,1988)
กระนั้นก็ดี ข้อถกเถียงภายในหนังสือเล่มนี้ของชัชฎา ที่กล่าวถึงพลวัตรัฐราชการในเชิงเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลสฤษดิ์ และรัฐบาล คสช. กลับได้มีการโต้เถียงทั้งในแนวคิดของ Riggs และอเนกเสียทั้งสิ้น โดยชัชฎาได้เสนอว่า รัฐราชการนั้นเป็นตัวแสดงที่ไม่มีความหยุดนิ่ง สามารถเปลี่ยนแปลงและปรับเปลี่ยนสถานะของตนได้ตลอดเวลานับตั้งแต่กำเนิดขึ้นในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ทั้งนี้ เพื่อคงไว้ซึ่งผลประโยชน์ที่กลุ่มตนจะได้รับ ในขณะเดียวกัน ก็เพื่อรักษาไว้ซึ่งโครงสร้างทางการเมืองแบบดั้งเดิม รวมถึงบทบาทในการกำหนดนโยบาย[6] ส่งผลให้รัฐราชการเป็นตัวแสดงที่ซ้อนเร้นอยู่ในพัฒนาการทางการเมืองไทยทุก ๆ ยุคสมัยมาโดยตลอด แม้จะอยู่ในสภาวะที่มีรัฐบาลนั้นมาจากการเลือกตั้งก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ในสภาวะที่เกิดการรัฐประหารจึงเป็นภาพสะท้อนถึงการไม่เห็นพ้องต้องใจของกลุ่มข้าราชการที่ถูกลุกล้ำสถานะและผลประโยชน์ของตนที่ดำรงอยู่อย่างเห็นได้ชัด[7] ดังนั้น ข้อเสนอของ Riggs ที่มองรัฐราชการในฐานะระบบการเมืองที่ดูมีความหยุดนิ่ง ไม่เป็นพลวัต จึงไม่อาจอธิบายสภาวะการเมืองไทยที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องได้เท่าใดนัก โดยเฉพาะรัฐราชการยุค คสช. ภายในหนังสือเล่มนี้
ในขณะเดียวกัน ชัชฎาก็ได้มีความพยายามในการโต้เถียงข้อเสนอของอเนก ที่แม้ในแง่หนึ่งจะชี้ให้เห็นถึงการขึ้นมามีบทบาทของภาคธุรกิจหรือเอกชนในระดับคณะรัฐมนตรีในสัดส่วนที่สูงขึ้น ดังจะเห็นได้จากการเข้ามามีบทบาทของภาคธุรกิจผ่านคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ในสมัยรัฐบาลเปรม กระนั้นก็ดี ชัชฎากลับเสนอว่า แม้ภาคธุรกิจสามารถเข้ามามีบทบาทร่วมในกลไกรัฐในแนวโน้มที่สูงขึ้น แต่รัฐราชการกลับยังคงเป็นผู้ควบคุมบทบาทในเชิงนโยบายและผลประโยชน์ที่พวกตนจะได้รับดังเดิม ส่งผลให้ในเบื้องลึกรัฐราชการจึงเป็นผู้ที่ประสานผลประโยชน์และอำนาจได้อยู่ต่อไป[8] ด้วยเหตุนี้ ข้อเสนอของอเนกจึงเป็นความพยายามในการตอบโต้แนวรัฐราชการของ Riggs ที่ดูจะล้าสมัยในการอธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองไทยเป็นสำคัญ หากแต่ข้อเสนอของเอนกก็ไม่อาจชี้ให้เห็นถึงความพยายามในการประนีประนอมและการปรับตัวของตัวแสดงรัฐราชการที่มีต่อตัวแสดงนอกระบบราชการซึ่งได้อธิบายในหนังสือของชัชฎาเท่าที่ควร ดังนั้น หนังสือเล่มนี้จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐราชการไทยมิได้ลาหายตายจากไปจากการเมืองไทยร่วมสมัยอย่างยุค คสช. แต่อย่างใด หากแต่มีพลวัตในการปรับตัวร่วมกับตัวแสดงอื่น ๆ ที่เริ่มมีพลังและอำนาจต่อรองมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถานะและบทบาทของรัฐราชการอยู่อย่างต่อเนื่อง
ภาพรวมของหนังสือ ชัชฎาได้มีการแบ่งเนื้อหาออกเป็น 5 บท ดังนี้
ในบทแรก “ทำไมต้องศึกษารัฐราชการ” ชัชฎาได้พาผู้อ่านย้อนกลับไปทบทวนถึงข้อถกเถียงเกี่ยวแนวคิดรัฐราชการผ่านงานวิชาการชิ้นต่าง ๆ ซึ่งมักจะให้ความสำคัญไปกับการพยายามที่จะอธิบายถึงการมีบทบาทและการเสื่อมถอยของรัฐราชการผ่านนโยบายทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภายหลังจาก พ.ศ. 2516 เป็นต้นมา หรือกระทั่งการพยายามอธิบายถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐราชการกับสังคมว่ามีคุณลักษณะหรือรูปแบบอย่างไรเป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้ ชัชฎาจึงต้องการที่จะนำเสนอถึงความเปลี่ยนแปลง การปรับตัว รวมไปถึงปฏิสัมพันธ์ของรัฐราชการที่มีต่อตัวแสดงอื่น ๆ นอกระบบราชการ มากกว่าการมองรัฐราชการในลักษณะที่หยุดนิ่ง หรือมองการเข้ามามีบทบาทของตัวแสดงนอกระบบราชการที่ตัดขาดหรือไม่เกี่ยวข้องกับรัฐราชการแต่อย่างใด ซึ่งกรอบการศึกษาในหนังสือเล่มนี้ชัชฎาได้มีการนำแนวคิดรัฐราชการของ Riggs มาใช้ในการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบรัฐราชการใน 2 ยุคสมัย อันได้แก่ ยุคจอมพลสฤษดิ์ และยุค คสช. เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเหมือนและความแตกต่างของรัฐราชการใน 2 ช่วงเวลา และพัฒนาการของรัฐราชการในยุค คสช. ว่ามีการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัว เพื่อคงไว้ซึ่งความอยู่รอดของรัฐราชการนับตั้งแต่ยุคสฤษดิ์ไปมากน้อยเพียงใด
บทที่สอง “ภูมิทัศน์รัฐราชการไทย” ชัชฎาได้ชี้ให้เห็นถึงเส้นทางของพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของรัฐราชการไทยนับตั้งแต่ได้ถือกำเนิดขึ้นในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 มาจวบจนปัจจุบัน เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาพรวมของรัฐราชการไทยให้แก่ผู้อ่าน ก่อนที่ได้จะอธิบายถึงรัฐราชการในยุคสฤษดิ์และยุค คสช. ในเบื้องหน้าต่อไป ซึ่งชัชฎาได้แบ่งพัฒนาการรัฐราชการไทยออกเป็น 5 ช่วงเวลาด้วยกัน อันประกอบไปด้วย รัฐราชการแห่งรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รัฐราชการในระบอบจอมพลสฤษดิ์ รัฐราชการในระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ รัฐราชการในยุคธนกิจการเมือง รัฐราชการหลังรัฐธรรมนูญ 2540 จนมาสิ้นสุดที่รัฐราชการในยุค คสช. โดยในบทนี้จุดน่าสังเกตสำคัญในพัฒนาการภาพรวมของรัฐราชการไทย นั่นก็คือ เมื่อรัฐราชการในฐานะตัวแสดงหนึ่งทางการเมืองถูกลุกล้ำผลประโยชน์ของตน จึงได้นำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ณ ช่วงเวลานั้น ๆ อันเป็นภาพสะท้อนถึงการปรับตัวและประสานผลประโยชน์ของรัฐราชการในทุกชั่วขณะ แม้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงในบริบททางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมก็ตาม โดยยุทธศาสตร์ที่ตัวแสดงรัฐราชการในทุกยุคสมัยมีร่วมกันนั่นก็คือ “การรัฐประหาร” อันถือเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ช่วยรวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจเชิงนโยบายให้กลับมาสู่รัฐราชการอีกครั้ง ภายหลังจากที่ตัวแสดงภายนอกระบบราชการเริ่มขึ้นมามีอำนาจในการท้าทาย ขณะเดียวกัน ในบทนี้ก็ยังชี้ให้เห็นถึงการปรับตัวของรัฐราชการไทยที่มิได้ผสานเป็นหนึ่งเดียวเสมอไป หากแต่ในกลุ่มรัฐราชการก็ยังคงมีการแบ่งก๊กแบ่งเหล่าของกลุ่มผู้มีอำนาจปกครอง (Ruling clique) ที่เป็นภาพสะท้อนถึงการแย่งชิงอำนาจในการกำหนดนโยบายระหว่างรัฐราชการด้วยกันเองเสียด้วย
บทที่สาม “รัฐราชการในห้วงการปกครองของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” ชัชฎาได้มีการชี้ให้เห็นถึงคุณลักษณะสำคัญในการปรับตัวของรัฐราชการของจอมพลสฤษดิ์ผ่านการที่รัฐบาลสฤษดิ์ในนามคณะปฏิวัติได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับตัวแสดงทั้งภายในระบบราชการที่เป็นข้าราชประจำทั้งฝ่ายพลเรือนและทหาร รวมไปถึงเทคโนแครต ตัวแสดงภายนอกระบบราชการอย่างกลุ่มทุน ภาคธุรกิจ และภาคสังคม รวมไปถึงตัวแสดงจากภายนอกประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้สนับสนุนทั้งในแง่เงินทุน ทรัพยากรบุคคล และทรัพยากรความรู้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมไปถึงการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ โดยสฤษดิ์ได้ตั้งตนเองขึ้นมาในฐานะผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจสั่งการสูงสุดผ่านมาตรา 17 ในธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2502 ทั้งยังได้มีการมอบอำนาจให้แก่ข้าราชการประจำในการตัดสินใจทางการเมืองที่เหนือกว่าฝ่ายการเมือง ขณะเดียวกัน ก็ได้เปิดทางให้กลุ่มเทคโนแครตที่มีความรู้ความสามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษาการบริหารงานภายในประเทศ โดยกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนั่นก็คือ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ อย่างไรก็ดี แม้ภาคธุรกิจหรือกลุ่มทุนจะเข้ามามีบทบาทภายใต้รัฐราชการของสฤษดิ์มากขึ้น หากแต่กลุ่มคนเหล่านี้ก็มิได้มีบทบาทในเชิงนโยบายมากเท่าใด เนื่องจากกลุ่มทุนและภาคธุรกิจเพียงแต่เข้ามาให้การสนับสนุนรัฐราชการเพื่อที่ตนจะได้เข้าถึงผลประโยชน์ภาครัฐหรือได้รับความคุ้มครองจากภาครัฐเท่านั้น ในส่วนภาคสังคมก็มิได้มีบทบาทแต่อย่างใด อันเป็นผลพวงมาจากการรวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจไว้ที่สฤษดิ์ที่ไม่เปิดพื้นที่ทางการเมืองให้ภาคสังคมแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ แม้รัฐราชการในยุคสฤษดิ์ข้าราชการจะมิใช่ผู้เล่นแต่เพียงหนึ่งเดียว โดยมีการปรับตัวและประสานผลประโยชน์ร่วมกับตัวแสดงนอกระบบราชการ ในอันที่จะคงไว้ซึ่งสถานะของรัฐราชการต่อไป กระนั้นก็ดี ในบริบทรัฐราชการยุคสฤษดิ์ที่เป็นยุคแห่งการพัฒนาและการรักษาความมั่นคงท่ามกลางสภาวะสงครามเย็นที่มีสหรัฐฯ ให้การสนับสนุน ผนวกกับการรวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจของสฤษดิ์ จึงยังทำให้รัฐราชการในยุคสฤษดิ์มีความเข้มแข็งที่สูง ขณะที่ตัวแสดงนอกระบบราชการยังไม่มีอำนาจหรืออิทธิพลในการต่อรองที่มากเท่าใด
รูปที่ 3. จอมพลสฤษดิ์นั้นมีสหรัฐอเมริกาและกลุ่มเทคโนแครต
บทที่สี่ “รัฐราชการไทยในห้วงการปกครองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) (พ.ศ. 2557-2561)” ชัชฎาได้มีการชี้ให้เห็นว่าในรัฐราชการยุค คสช. นั้นมีลักษณะรวมศูนย์แบบแตกกระจาย หรือเรียกว่าสภาวะ “กรมาธิปไตย” ที่เป็นผลพวงมาจากการปรับตัวของรัฐราชการในยุคสฤษดิ์ ส่งผลให้รัฐราชการของยุค คสช. มีความอ่อนแอ ขาดความเป็นปึกแผ่น ทั้งยังไม่มีความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน แม้รัฐราชการ คสช. จะมีมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 เป็นเครื่องมือสำคัญในการควบรวมอำนาจแก่รัฐบาล คสช. ก็ตาม ขณะเดียวกัน จากที่แต่เดิมข้าราชการในยุคสฤษดิ์มักจะมีความรู้ความสามารถดังกลุ่มเทคโนแครตที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ หากแต่ในรัฐราชการยุค คสช. ข้าราชการกลับมีความรู้ความสามารถน้อย อันเนื่องมาจากบริบทในช่วงทศวรรษ 2530 ก่อนการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจจากการเข้ามาลงทุนจากต่างชาติ ประชาชนจึงมักหันไปประกอบอาชีพในภาคธุรกิจหรือเอกชนที่สูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม ข้าราชการกลับกลายเป็นอาชีพที่ไม่ได้รับความนิยม คนที่มีความรู้ความสามารถมีอัตราที่ลดลง ซึ่งข้าราชการเหล่านี้เมื่อเติบโตขึ้นในยุค คสช. จึงไม่อาจเป็นกลไกในการช่วยขับเคลื่อนประเทศได้เท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้ รัฐราชการยุค คสช. จึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง ปรับตัว และประสานผลประโยชน์ร่วมกับกลุ่มทุนใหญ่ทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมไปถึงภาคประชาสังคมบางกลุ่มในการให้เข้ามามีบทบาทในการบริหารราชการร่วมกับรัฐบาล คสช. ที่มากยิ่งขึ้น อาทิ โครงการประชารัฐ โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ฯลฯ ทั้งนี้ ก็เพื่อคงไว้ซึ่งการดำรงอยู่ของตัวแสดงรัฐราชการไทยดังเดิม
รูปที่ 4. ภาพสะท้อนรัฐราชการที่รวมศูนย์แบบแตกกระจายในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ในบทสุดท้าย “เปรียบเทียบรัฐราชการจอมพลสฤษดิ์และ คสช. ภาพรวมพลวัตรัฐราชการไทย” ชัชฎาได้มีการชี้ให้เห็นถึงจุดเหมือนและจุดที่แตกต่างของรัฐราชการไทยในยุคสฤษดิ์ และยุค คสช. โดยแม้รัฐราชการยุคสฤษดิ์และยุค คสช. จะมีเงื่อนไขบางประการที่เหมือนกัน นั่นก็คือ มีการเติบโตของระบบราชการที่พยายามให้บทบาทการบริหารประเทศอยู่ในเงื้อมมือของข้าราชการที่อยู่ในคณะรัฐมนตรีเป็นสำคัญ ทั้งยังมีความพยายามในการรวมศูนย์อำนาจของรัฐราชการผ่านกฎหมายพิเศษอย่างมาตรา 17 และมาตรา 44 อย่างไรก็ดี รัฐราชการทั้ง 2 ยุคนี้กลับมีความแตกต่างกันหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ประสิทธิภาพในการบริหารงานของรัฐราชการในยุค คสช. ที่ขาดความคล่องตัวมากกว่ารัฐราชการในยุคสฤษดิ์ ขณะเดียวกัน การใช้กฎหมายพิเศษอย่างมาตรา 44 ในยุค คสช. ก็ยังมีขอบเขตที่กว้างกว่าประเด็นทางการเมืองหรือความมั่นคง แต่ยังลุกลามไปยังประเด็นทางเศรษฐกิจและสังคมอีกด้วย นอกจากนั้น ภายใต้บริบทของรัฐราชการ คสช. ที่ตัวแสดงนอกระบบราชการเริ่มมีอำนาจและบทบาทในการต่อรองอำนาจกับรัฐราชการมากยิ่งขึ้น ผนวกกับความรู้ความสามารถของข้าราชการที่ด้อยกว่าในยุคสฤษดิ์ หรือกระทั่งการก้าวขึ้นมามีบทบาทของจีนที่สูงขึ้นในไทย ขณะที่บทบาทของสหรัฐฯ นั้นลดลงกว่าแต่เดิม จึงส่งผลให้รัฐราชการในยุค คสช. จำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่อเปิดรับการเข้ามามีบทบาทร่วมของตัวแสดงนอกระบบราชการมากกว่ายุคสฤษดิ์อย่างเห็นชัด ด้วยเหตุนี้ “ประยุทธ์จึงไม่ใช่สฤษดิ์” เนื่องจากความรุ่งเรืองของรัฐราชการไทยได้เริ่มเสื่อมถอยลงสมดั่งชื่อหนังสือเล่มนี้นั่นเอง
คุณูปการสำคัญในหนังสือเล่มนี้
เครือข่ายรัฐราชการ (Network Bureaucratic Polity) งานของชัชฎาช่วยเปลี่ยนความเข้าใจเดิม ๆ เกี่ยวกับแนวคิดรัฐราชการที่มักจะมองว่าข้าราชการประจำได้เข้ามามีบทบาททางการเมือง โดยปิดกั้นมิให้ตัวแสดงอื่น ๆ ได้เข้ามีมาบทบาทร่วม มาสู่การพยายามมองรัฐราชการในฐานะตัวแสดงหนึ่งทางการเมืองที่ก็ต่างมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับตัวแสดงอื่น ๆ เพื่อหาตำแหน่งแห่งที่ในการรักษาสถานะดั้งเดิม (Status quo) ซึ่งปรับเปลี่ยนไปตามบริบททางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ หากมองตามกรอบทฤษฎีทางเลือกที่มีเหตุผล (Rational choice) รัฐราชการก็ถือเป็นตัวแสดงทางการเมืองหนึ่งที่สามารถคาดคะแนผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับและสูญเสียไปเสียทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ ในสภาวะที่แม้รัฐราชการไม่อาจควบรวมอำนาจไว้ ณ กลุ่มตนแต่เพียงกลุ่มเดียวได้อีกต่อไป รัฐราชการก็มิได้ต้านทานหรือต่อต้านการเข้าไปร่วมประสานผลประโยชน์กับตัวแสดงอื่น ๆ แต่อย่างใด ตรงกันข้าม รัฐราชการยังมุ่งที่จะเข้าหาตัวแสดงอื่น ๆ เพื่อให้ตนยังคงมีอำนาจและบทบาทในทางการเมือง แม้อำนาจเหล่านั้นจะเสื่อมถอยลงบ้างก็ตาม ดังนั้น การมองตัวแสดงรัฐราชการในลักษณะเครือข่าย ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านไม่ถูกผู้เขียนชี้นำความคิดว่าตัวแสดงใดจะเป็นพระเอกในทางการเมือง จึงถือเป็นคุณูปการสำคัญในหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างมาก
รูปที่ 5. หนังสือ กว่าจะครองอำนาจนำ: การคลี่คลายขยายตัวของเครือข่ายในหลวง ภายใต้ปฏิสัมพันธ์ชนชั้นนำไทย ทศวรรษ 2490-2530 เขียนโดย อาสา คำภา
สืบเนื่องจากประเด็นข้างต้น คุณูปการสำคัญในการมองรัฐราชการในลักษณะเครือข่ายของชัชฎา จึงเป็นการเปิดมุมมองใหม่ในการอธิบายสภาวะทางการเมืองไทยในแวดวงวิชาการที่กว้างยิ่งขึ้น กล่าวคือ งานอีกกระแสหนึ่งอย่างงานของอาสา คำภา เรื่อง กว่าจะครองอำนาจนำ: การคลี่คลายขยายตัวของเครือข่ายในหลวง ภายใต้ปฏิสัมพันธ์ชนชั้นนำไทย ทศวรรษ 2490-2530[9] แม้จะมีจุดร่วมกับงานของชัชฎาในแง่ของการมองตัวแสดงทางการเมืองในลักษณะที่เป็นเครือข่าย รวมไปถึงการไม่ควบรวมอำนาจของตัวแสดงหนึ่ง ๆ ทางการเมือง หากแต่ในงานของอาสากลับมีการมองปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแสดงทางการเมืองที่จำกัดอยู่ที่ชนชั้นนำอย่างพระมหากษัตริย์ ข้าราชการสายวัง ข้าราชการทหาร ตุลาการ ฯลฯ เป็นสำคัญ ในขณะที่งานของชัชฎากลับพยายามชี้ให้เห็นถึงเครือข่ายของตัวแสดงทางการเมืองที่หลากหลายระดับทั้งข้าราชการ นักการเมือง กลุ่มทุน ภาคธุรกิจ ตัวแสดงภายนอก หรือกระทั่งตัวแสดงระดับล่างอย่างภาคประชาสังคมในบางกลุ่ม ซึ่งก็ต่างมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน อันชี้ให้เห็นถึงการปรับตัวของรัฐราชการไทยให้สามารถดำรงอยู่ในบริบทการเมืองไทยร่วมสมัยเสียทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ งานชิ้นนี้ของชัชฎาจึงมีคุณูปการสำคัญซึ่งช่วยในการอธิบายสภาวะการเมืองไทยในระดับที่กว้างขว้างและหลากหลายแง่มุม มากกว่าการมุ่งอธิบายผ่านตัวแสดงทางการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นสำคัญ ซึ่งอาจทำให้การอธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองไทยจำกัดอยู่ในวงแคบ และเกิดอคติในการอธิบาย
เชิงอรรถ
[1] นิสิตระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 3 คณะสังคมศาสตร์ ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
[2] Fred W. Riggs, Thailand: The Modernization of a Bureaucratic Polity, (Honolulu: East-West Center Press, 1966).
[3] Anek Laothamatas, Business and Politics in Thailand: New Patterns of Influence, Asian Survey, Vol. 28, No. 4. (Apr., 1988), pp. 451-470.
[7]เพิ่งอ้าง, น. 297.
[8] เพิ่งอ้าง, น. 285.
[9] อาสา คำภา, กว่าจะครองอำนาจนำ: การคลี่คลายขยายตัวของเครือข่ายในหลวง ภายใต้ปฏิสัมพันธ์ชนชั้นนำไทย ทศวรรษ 2490-2530, (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2564).
____________________________________________________
เอกสารอ้างอิง
ชัชฎา กำลังแพทย์. ประยุทธ์ไม่ใช่สฤษดิ์ พลวัตรัฐราชการไทยจากยุครุ่งเรืองสู่ยุคเสื่อมถอย. (กรุงเทพฯ: Illumination Editions, 2564).
อาสา คำภา. กว่าจะครองอำนาจนำ: การคลี่คลายขยายตัวของเครือข่ายในหลวง ภายใต้ปฏิสัมพันธ์ชนชั้นนำไทย ทศวรรษ 2490-2530. (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2564).
Anek Laothamatas. Business and Politics in Thailand: New Patterns of Influence. Asian Survey, Vol. 28, No. 4. (Apr., 1988), pp. 451-470.
Fred W. Riggs. Thailand: The Modernization of a Bureaucratic Polity. (Honolulu: East-West Center Press, 1966).
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |