Q1: ทำไมอ่านยากจัง?
A1: หนังสือปรัชญาดูเหมือนอ่านยาก แต่จริงๆแล้วไม่ได้ยากกว่าหนังสือสาขาอื่นหรอกครับ เพียงแต่เราคาดหวังกับตัวเองสูงมากเวลาอ่านปรัชญา ทุกคนรู้จัก e=mc2 แต่จริงๆ แล้ว นั่นคือผลสรุปของสมการการใช้เหตุผลที่ยืดยาดและเข้าใจยาก จริงไหมครับ? และเราไม่ได้คาดหวังให้ทุกคนเข้าใจสมการนั้นทั้งหมด อะไรคือผลสรุปของหนังสือเล่มนี้ อะไรคือ e=mc2 ของหนังสือเล่มนี้? มันคือ ความหมายชีวิต เป็นคุณค่าที่เราควรพูดคุยกันจริงจังในสังคม และเราพูดคุยถึงมันได้ในรูปแบบของชีวิตที่มีความหมาย ซึ่งก็คือชีวิตที่มีความรักในสิ่งที่คู่ควรและสามารถทำในสิ่งที่รักได้
Q2: อ่านไปทำไม?
A2: หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้าฉันไม่ได้จะเป็นนักปรัชญา ฉันจะอ่านหนังสือนี้ไปทำไม? อ่านเพราะเราเป็นพลเมือง เป็นพลังของเมือง เราใช้หนังสือเล่มนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการพูดคุยกันว่าความหมายชีวิตเป็นเรื่องที่รัฐควรส่งเสริมจริงหรือไม่ ส่งเสริมอย่างไร เนื้อหาที่เข้าใจยากนั้นช่วยให้เราตอบอะไรบางอย่างได้มากขึ้น อาทิ ชีวิตที่ล้มเหลวยังมีความหมายได้ไหม
Q3: แล้วถ้าอยากอ่านรู้เรื่องขึ้น มีเทคนิคการอ่านไหม?
A3: ถ้าผมแนะนำเองอาจจะฟังไม่น่าเชื่อถือ ผมขอยกคำแนะนำของเรอเน่ เดส์การ์ตส์ บิดาแห่งปรัชญาสมัยใหม่แล้วกัน เขาแนะนำไว้ว่า ให้ผู้อ่านอ่านผ่านๆ ไปเร็วๆ ทั้งเล่มราวกับมันเป็นนิยายอ่านเอาเพลินเล่มนึง อย่าไปทุ่มเทมุ่งความสนใจอะไรมาก แล้วก็อย่าไปหยุดพยายามทำความเข้าใจท่อนยากๆที่เจอ เป้าหมายควรจะเป็นแค่การทำความเข้าใจแบบผิวเผินทั่วไป หลังจากนั้น ถ้าผู้อ่านคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจที่จะตรวจสอบท้าทายหรือทำความเข้าใจเพิ่ม ค่อยอ่านอีกรอบเพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างการใช้เหตุผล แล้วตรงจุดไหนที่ยังเข้าใจไม่กระจ่างก็แค่โน้ตไว้แล้วอ่านต่อ อย่าไปหยุดตรงจุดเข้าใจยากนั้น ถ้ารู้สึกยังอยากได้อะไรจากหนังสือเล่มนี้อีก ค่อยอ่านซ้ำ และเชื่อได้เลยว่ารอบที่สามเนี่ยจะเข้าใจเกือบทั้งหมดอย่างกระจ่างชัด ผมเข้าใจนะครับว่ามันยาก ขัดกับนิสัยคนไทยเพราะเราถูกสอนให้บูชาตัวอักษรไว้บนหิ้ง ต้องอ่านอย่างละเมียดละไมช้าๆจนกว่าจะเข้าใจ แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่นักปรัชญาอ่านงานปรัชญา และนักปรัชญาก็ไม่ได้เขียนปรัชญาให้คุณอ่านแบบนั้น อย่าไปคิดว่าอ่านรอบเดียวแล้วฉันจะเข้าใจ อ่านผ่านๆไป ลองคุยกับเพื่อนที่อ่านด้วยกัน หรือทักมาคุยกับผมผ่านเพจผมเป็นคนจริงจังเกินไปสินะครับก็ได้
Q4: ความคู่ควร วัตถุวิสัย และการเที่ยวตัดสินชาวบ้าน
A4: ถ้าอ่านไม่จบ อาจจะเข้าใจผิดว่าวูล์ฟจะให้เราเที่ยวไปตัดสินแทนชาวบ้านว่าอะไรเป็นคุณค่าที่คู่ควร หรืออีกชื่อคือคุณค่าที่เป็นวัตถุวิสัย แต่วูล์ฟไม่ได้กำลังพูดแบบนั้น เธอเสนอว่า สิ่งที่จะเพิ่มความหมายให้ชีวิตคือสิ่งที่มีคุณค่าจริงๆไม่ใช่แค่เพราะคนคิดไปเองว่ามีค่า หรือเราอาจจะแบ่งประเภทคุณค่าได้เป็น 1.มีคุณค่าจริงๆและคนเห็นค่า 2.มีคุณค่าจริงๆแต่คนไม่เห็นค่า 3.ไม่มีคุณค่าแต่คนเห็นค่า 4.ไม่มีคุณค่าและคนไม่เห็นค่า สำหรับวูล์ฟ การที่คนจะเห็นค่าไหมไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอแค่เป็นแบบสองข้อแรกคือมีคุณค่าจริงๆก็พอ
Q5: ทำไมแค่ไม่สร้างความเดือดร้อนยังไม่พอ
A5: อาจจะพอก็ได้นะครับ วูล์ฟก็ไม่ได้บอกว่าไม่พอ วูล์ฟยกวลีนี้มาด้วยซ้ำ คำตอบเรื่องความหมายชีวิตที่ดีที่สุดอาจจะเป็นการไม่ต้องถามถึงมันเลยก็ได้ แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่พอ ถ้าคุณรู้สึกต้องถาม หนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือช่วยคิดช่วยตอบ เปรียบเหมือนหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือสอนเอาผักมาทำอาหารให้อร่อย มันอาจจะไม่จำเป็นสำหรับคุณก็ได้ คุณอาจจะโชคดีชอบกินผักอยู่แล้วก็ได้ แต่ถ้าใครอยากกินผักมากขึ้นแต่ทนรสทนกลิ่นมันไม่ไหว หนังสือสอนเอาผักมาทำอาหารก็ช่วยได้ เช่นกัน ใครรู้สึกอยากถามเรื่องความหมายชีวิต หนังสือเล่มนี้ก็ช่วยได้
Q6: ความหมายสำคัญกว่าความสุขใช่หรือไม่
A6: วูล์ฟพยายามจะบอกว่า สังคมเราละเลยที่จะพูดเรื่องความหมายกัน และเราไม่ควรละเลยที่จะพูดเรื่องความหมาย เธอไม่ได้อ้างว่าความหมายสำคัญกว่าความสุข เธอไม่ได้พูดเลยว่าคุณค่าต่างๆอะไรสูงต่ำกว่ากัน เธอไม่ได้บอกว่าเราควรพยายามทำให้ชีวิตมีความหมายมากขึ้น หรือการมีความหมายมากขึ้นเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ
Q7: ความเหลื่อมล้ำของสังคมมีผลต่อความหมายชีวิตอย่างไร?
A7: ทำไมคนไม่มีแพชชั่น (Passion) คนไม่มีแพชชั่นเพราะอยู่ในสังคมที่แคบ ตื่นเช้าไปเรียน แล้วก็เรียนพิเศษ หรือกลับมาช่วยงานบ้าน สังคมไม่มีสนามกีฬาเอ็กซ์ตรีม ไม่มีพิพิธภัณฑ์ใกล้บ้าน คนไม่มีโอกาสได้ลองทำสิ่งต่างๆ ก็เลยไม่มีโอกาสได้รัก ได้มีแพชชั่นในสิ่งหนึ่งๆ
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |