ไชยันต์ รัชชกูล
คณะรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
เป็นไปได้หรือ ที่การเขียนประวัติศาสตร์การก่อตัวของรัฐไทยในช่วง 1870s- 1910 หรือช่วงเวลาครองราชย์ของรัชกาลที่ ๕ จะเอ่ยถึงบทบาทของพระองค์น้อยมาก หรือกระทั่งไม่ปรากฏพระนาม “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ในดัชนีนามท้ายหนังสือเลย?
นโยบาย “การปฏิรูปการปกครอง” “การปกครองระบบเทศาภิบาล” “การรักษาเอกราชของสยามให้ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศตะวันตก” ซึ่งถือกันจนเสมือนเป็นสัจจะประวัติศาสตร์นั้น ไม่ได้มาจากพระปรีชาสามารถทางการปกครองและพระราชอัจฉริยะการดำเนินวิเทศโยบายของพระองค์หรือ?
ครั้นตรวจสอบพระราชกรณียกิจ โดยเฉพาะรายชื่อประเทศที่พระองค์เสด็จประพาสยุโรป ๒ ครั้ง ตั้งแต่อังกฤษ เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี เดนมาร์ก เชคโกสโลวาเกีย รวมถึงรัสเซีย มิพักต้องเอ่ยถึงประเทศในแถบเอเชีย เช่น อินเดีย ชวา สิงคโปร์ ฯลฯ ซึ่งเป็นการเสด็จแบบ ‘กรุ๊ปทัวร์’ มีข้าราชบริพารติดตามรับใช้นับสิบ นอกจากจะใช้เวลา และ ธนาทรัพย์ ไปไม่น้อยแล้ว ก็ชวนให้กังขาว่า จะเอาพระจิตพระใจจากไหนมาดำริเรื่องการก่อสร้างรัฐสมัยใหม่ ถ้าประเมินตาม “ดัชนีชี้วัดความสำเร็จ” (KPI) ที่ใช้กันตามองค์กร บริษัท หรือมหาวิทยาลัยนั้น การประเมินภาระงานของพระองค์น่าจะได้คะแนนสูงมากในการจัดการการท่องเที่ยว แต่จะสูงมากกว่าการบริหารรัฐกิจหรือไม่ ก็ต้องถามนักประวัติศาสตร์ทั้งยิ่งใหญ่และยิ่งน้อยทั้งหลายดู
การกล่าวเช่นนี้ ย่อมมีข้อโต้แย้งได้ว่า มีพระราชหัตถ์เลขา ที่อยู่ในรูปเป็นพระราชโองการ พระราชรับสั่งเป็นอักษร (เปรียบเทียบพอได้กับผู้บริหารเขียนบน Post it ติดไว้ท้ายหนังสือราชการ) อยู่ “มากมาย” โดยเฉพาะถึงสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ข้อโต้แย้งนี้มีน้ำหนักอยู่บ้าง แต่เมื่อเปรียบกับปริมาณตัวอักษรในพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้ว เป็นจดหมายส่วนตัวจากบุคคลถึงบุคคล ผู้อ่านจะไม่พบประเด็นใดที่พาดพิงถึงพระราชดำริเกี่ยวกับประศาสนโยบายเกี่ยวกับการบริหารประเทศเลย จึงชวนให้พิศวงว่า พระราชกรณียกิจของพระองค์ตลอดรัชสมัยนั้นมีลำดับไพรออร์ริตี้ เน้นหนักไปในเรื่องใด
จา เอียน ชง กับหนังสือที่เลือกแปลบางส่วนมาเป็น บงการอธิปไตยฯ
หนังสือ บงการอธิปไตย2 คงจัดเข้าข่ายเป็นประเภทที่ดัชนีนามไม่ปรากฎพระนามของพระองค์ กล่าวคือ เนื้อหาไม่ได้เป็นงานประวัติศาสตร์ในสกุล ‘บุรุษผู้ยิ่งใหญ่’ (Great-Man Theory) ที่ยกย่องบทบาทของผู้นำที่กำหนดการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ยิ่งกว่านั้น ยังไม่ได้ให้น้ำหนักกับพระบรมราโชบาย ตามแนวประวัติศาสตร์นิพนธ์ของ Collinwood ที่ให้ความสำคัญต่อความคิด ความประสงค์ของผู้ปกครองซึ่งถือว่าเป็นผู้บงการประวัติศาสตร์ อันเป็นแนวที่นิยมในประวัติศาสตร์สายหลักในประเทศไทย ในแง่นี้ หนังสือที่ศึกษาการก่อตัวของรัฐสมัยใหม่ของสยาม (โดยอิงเปรียบกับ จีนและอินโดนีเซีย) นับว่ามีคุณูปการต่อการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ไทย ในมุมมองที่ท้าทายการถกเถียง โดยเฉพาะกับ ประวัติศาสตร์นิพนธ์ที่สืบทอดมาจาก ‘สำนักสามย่าน’
ถึงกระนั้น คำถามก็ที่ตามมาก็คือ งานศึกษาของ จาง เอียน ชง มีด้านที่ชวนให้เราตื่นเต้น อะไรอีก? โดยเฉพาะ (I) ในเชิงแนวคิดทางทฤษฎี และ (II) การให้ความหมายแก่ข้อมูล?
(I) ในเชิงแนวคิดทางทฤษฎี จาง เอียน ชง อาศัยมุมมองจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ Internal Relations3 (IR) ซึ่งนำให้เขาแสดงว่า บนเวทีการเมืองระหว่างประเทศนั้นสำคัญมาก และสำคัญกว่าปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อการกำเนิดรัฐ
นักเรียน IR ต่างก็คุ้นเคยกับ สนธิสัญญาเวสต์ฟัลเลีย (Treaties of Westphalia) ปี 1648/9 ทั้งนี้เพราะเป็นจุดกำเนิดองค์กรที่เรียกกันว่า “รัฐ-ชาติ” (Nation-State)4 ความคิดที่แยกผู้คนที่ต่างชาติ ต่างภาษากันด้วยการขีดเส้นแบ่งทางภูมิศาสตร์ (ซึ่งต่อมาก็คือ พรมแดนของรัฐ) นั้น เป็นความคิดที่แปลกจนถึงขั้นพิลึก ในสมัยนั้นและก่อนหน้า เมื่อคำนึงถึงว่า ผู้คนรวมกลุ่มกันเป็น “พวกเดียวกัน” ไม่ได้มาจากมาตรการทางเชื้อชาติและภาษาเสมอไป แต่ยังควบคู่ไปกับมาตรการอื่นๆ เช่น มีความเชื่อ ความศรัทธาเหมือนๆกัน (นิกายทางศาสนา) หรือ สวามิภักดิ์ต่อผู้ปกครองตระกูลเดียวกัน (นับถือเจ้าราชวงศ์เดียวกัน) หรือกระทั่งเนื่องจาก ภูมิประเทศ ซึ่งเคยเป็นมาตรการที่รวมผู้คนต่างชาติ ต่างภาษาเข้าด้วยกันมาช้านาน
แล้วไฉน ความคิดเชิงนามธรรมที่ว่า เชื้อชาติเดียวกันสมควรอยู่ในรัฐเดียวกันถึงกลายมาเป็นหลักการที่ยอมรับกันทั่วไป? หรือ อีกคำถามหนึ่งที่เน้นปรากฎการณ์ที่กว้างออกไป ก็คือ ไฉน องค์กรการปกครองในรูปรัฐลักษณะนี้ ที่เรียกกันว่า ‘รัฐสมัยใหม่’ ซึ่งกำเนิดเดิมอยู่ที่ยุโรปตะวันตกตอนเหนือนี้ถึงได้ก่อตัวขยายขึ้นไปทั่วโลก?
สยามก็เช่นเดียวกับรัฐอื่นๆตั้งแต่ภาคพื้นเอเชียจนถึงเอเชียไมเนอร์ที่ก่อรูปเป็นรัฐสมัยใหม่ในช่วงเวลารอยต่อระหว่างช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 สำหรับสยาม เราก็มีคำถามว่า ไฉนถึงก่อตัวขึ้นมีเขตแดนปกครองเป็นรูปขวานขึ้นมาได้? จาง เอียน ชง ในฐานะนักวิชาการ IR ได้เสนอความเป็นมาของสยามในฐานะรัฐสมัยใหม่ขึ้นมาบนเวทีความคิดไว้ให้เราได้ถกเถียงกัน ข้อเสนอของเขา มี 2 ด้าน คือ ด้านที่มีการเสนอกันไว้แล้ว หรือด้านตาม และ ด้านที่เสนอใหม่ หรือด้านต่าง
ในด้านที่ตาม คือ แนวคิดว่าอิทธิพลของอังกฤษและฝรั่งเศสซึ่งขับเคี่ยวกันบนสมรภูมิการเมืองและการทหารนั้น ส่งผลต่อการกำหนดเส้นเขตแดนของรัฐสยามสมัยใหม่ด้วยสนธิสัญญานานาฉบับ ทั้งการกำหนดเขตแดนแม่น้ำโขง และ เขตแดนทางใต้ที่ขีดกั้นกับมาลายา รวมถึงด้านตะวันตก เทือกเขาตะนาวศรี งานศึกษาในแง่มุมนี้ มีนักประวัติศาสตร์ทั้งไทยและเทศ ได้จาระไนไว้อยู่ค่อนข้างแพร่หลายอยู่แล้ว
ในด้านที่ต่าง คือ บทบาทของอังกฤษกับฝรั่งเศสที่เข้าใจว่าเป็นอริกันนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระราชวิเทโศบายของร. ๕ หรือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ แต่อย่างไรไม่ แท้แล้วเป็นเรื่องของความเห็นที่ทั้งร่วมกันและขัดกัน ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสล้วนๆ ไม่ปรากฎหลักฐานใดๆ ที่แสดงว่าผู้ปกครองของสยามสามารถยืนอยู่กลางความขัดแย้งระหว่างเจ้าอาณานิคมทั้งสอง ถ้าจะให้เชื่อว่า ผู้ปกครองสยามมียุทธศาสตร์อันลุ่มลึก ถึงขนาดให้อังกฤษงัดข้อกับฝรั่งเศส แล้วไทยเดินหมากจนประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นมาได้ นักประวัติศาสตร์ที่สมนามความเป็นนักประวัติศาสตร์ ย่อมควรต้องแสดงข้อถกเถียงนี้ด้วยหลักฐานให้หนักแน่น มิใช่เพียง “เจ้าว่างามก็ต้องงามไปตามเจ้า ก็ใครเล่าจะไม่งามตามเสด็จ” ความที่ จาง เอียน ชง ไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์ไทยแถวสามย่าน หรือกระทั่งอิธากะ งานศึกษาของเขา จึงไม่ได้ขานไขให้น้ำหนักกับอัจฉริยะภาพในวิเทโศบายของกษัตริย์สยามแต่ประการใด
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับมหาเสนาบดีบิสมาร์ค
(II) การให้ความหมายแก่ข้อมูล ถึงแม้ว่า จาง เอียน ชงจะเป็นนักวิชาการทาง IR ที่ศึกษาประวัติศาสตร์การก่อตัวของรัฐสมัยใหม่ แต่แง่มุมที่ไม่ปรากฏในงานศึกษาเล่มนี้ คือ การทำความเข้าใจการเมืองภายในของอังกฤษและฝรั่งเศสเอง ซึ่งทำให้เขาให้ความสำคัญของกับ นโยบายต่างประเทศของทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสด้วยน้ำหนักเสมอพอกัน ในแง่นี้ ผู้วิจารณ์จึงใคร่ขออุทานว่า “ช้าก่อน ภราดร”
จะด้วยเพราะเหตุบังเอิญ (หรือฟ้าลิขิต?) ช่วงเวลาครองราชย์ของ ร. ๕ คือ 1870s - 1910 นั้น คือ ช่วงสมัย ‘สาธารณรัฐที่สาม’ ( The Third Republic) ของฝรั่งเศส อันเป็นช่วงระยะเวลาที่การเมืองในฝรั่งเศสนั้น พอกล่าวได้ว่า สุดแสนจะระส่ำระสายมากที่สุดช่วงหนึ่งยุคหลังนโปเลียน เนื่องจากทั้งแพ้สงครามปรัสเซีย และการลุกฮือของชนชั้นกรรมาชีพในปารีส (Paris Commune 1871) อีกทั้งยังแตกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย โดยเฉพาะความขัดแย้งเรื่องการออกแบบการปกครอง เช่น สมควรจะรื้อฟื้นระบบกษัตริย์ขึ้นใหม่หรือไม่ ถ้าควร ราชวงศ์ใดควรจะสืบทอดอำนาจเทวสิทธิ์นี้ ส่วนฝ่ายสาธารณะรัฐไม่ร่วมเถียงด้วยว่า ควรเป็นราชวงศ์ไหน แต่ควรให้ทุกราชวงศ์ปลาสนาการสิ้นไปทั้งหมด ก็จะยิ่งนำความศิวิไลซ์มาสู่ดินแดนที่มีชนิดของเนยแข็งมากกว่าแผ่นดินใดในโลก ฯลฯ ความไม่ลงรอยกันในเรื่องต่างๆนานา ทำให้รัฐนาวาฝรั่งเศส ขาด ฝรั่งเศสานุสสติ5
“ความบังเอิญ” นี้ เมื่อทาบกับอังกฤษ ก็ตรงกับรัชสมัยของพระนางวิคตอเรีย (1837-1901) ซึ่งถือได้ว่า เป็นยุคที่จักรวรรดิอังกฤษแผดกล้าไปทั่วหลายทวีป
สภาพการเมืองและสังคมในฝรั่งเศสและอังกฤษนี้ ถือได้ว่าเป็นความรู้ทั่วไปในประวัติศาสตร์ยุโรปเบื้องต้น เมื่อนำมาเกี่ยวข้องกับสยาม ก็สามารถเห็นได้ว่า ในแนวต่างประเทศนั้น อังกฤษมีพลังมากทั้งจากการเมืองภายใน และการทหารภายนอก ส่วนฝรั่งเศสนั้น ความยุ่งเหยิงภายในที่แต่ละฝ่ายและหลายเส้าขัดแย้งกันอย่างหนักข้อ ส่งผลให้พลังในแนวต่างประเทศนั้น ถูกปล่อยให้เป็นเรื่องของข้าราชการในแต่ละพื้นที่ดำเนินไป โดยไม่ได้รับนโยบายที่แน่ชัด โดยมิพักต้องกล่าวถึงแรงสนับสนุนจากปารีส
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ฝรั่งเศสอยู่ในฐานะเป็น “มวยรอง” อยู่หลายขุม สยามถูกกำหนด และกำกับโดยอังกฤษเป็นหลัก หรือเกือบทั้งหมดก็ว่าได้ ประเด็นที่พูดกันโดยขาดข้อมูลรองรับ เรื่องความขัดแย้งระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสนั้นเป็นภาพจินตนาการ ถ้าการศึกษาเรื่องความชิงดีชิงเด่นกันระหว่างสองประเทศนี้ในพิจารณากรณีในทวีปแอฟริกา ด้วยแล้ว ก็จะยิ่งเห็นถึง พลังของจักรวรรดิอังกฤษ ซึ่งฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เยอรมัน มาเทียบเคียงไม่ได้
ในขณะที่อังกฤษโอ่อวดถึงแสนยานุภาพว่าเป็น “จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน” ฝรั่งเศสกลับมีอาณานิคมอยู่จำกัด ที่เอ่ยถึงเป็นที่รู้จักก็อยู่บริเวณแอฟริกาเหนือและตะวันตก เช่น ตูนีเซีย ลิเบีย อัลจีเรีย และมาดากาสการ์ ส่วนในเอเชีย ก็อยู่ที่อินโดจีน กรณี ลาวและเขมรนั้น ฝรั่งเศสก็ไม่ได้เข้ามากำกับ ดำเนินการปกครองอย่างจริงจังแต่ประการใด ยิ่งสยามด้วยแล้ว ก็เกือบไม่เอ่ยถึงในประวัติศาสตร์อาณานิคมของฝรั่งเศสเลย
เราอาจจะตั้งคำถามง่ายๆ ซึ่งซ้ำและเสริมกับประเด็นที่กล่าวมาแล้วว่า ผู้ปกครองสยามมีกลเม็ด หรือ ข้อต่อรองอะไรหรือ ที่ถึงกับจะทำให้อังกฤษขัดแย้งกับฝรั่งเศสได้? ถ้าไม่มี สาธารณะชน คนไทยหัวอ่อน ว่านอนสอนง่ายกันขนาดไหนเชียวหรือ ความเชื่อนี้ถึงสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นอย่างไม่ขาดสาย งานที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะจัดเข้าประเภทเป็น Fiction หรือ Non-Fiction กันดี? ข้อถกเถียงในงานของจาง เอียน ชง จะเข้าประเภทใด? และที่สำคัญกว่า คือ จะช่วยอะไรเราบ้างในเรื่องนี้
ผู้วิจารณ์ ได้อ่านเฉพาะฉบับแปลภาษาไทย ซึ่งไม่ได้รวมกรณี จีน และอินโดนีเซีย ในต้นฉบับเต็ม แต่ก็อนุมานได้ว่า ทั้ง ๒ กรณีนั้น ฝรั่งเศสยิ่งเป็นคู่แข่งที่ไม่สมศักดิ์ศรีกับอังกฤษการศึกษาเปรียบเทียบของ จาง เอียน ชง นี้จึงสำคัญในแง่ที่จะช่วยให้เรามองกรณีสยามได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ถึงท่าเรือด่านศุลกากรกรุงโคเปนเฮเกนเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2440
บทขมวด: คุณค่าในงานของจาง เอียน ชง จึงส่องประกายหลายด้านด้วยกัน คือ
(ก) เป็นการศึกษาเปรียบเทียบ ที่งานประวัติศาสตร์ไทยมิได้จำกัดแนวอธิบายไว้เป็นเพียงว่าสยามเป็นกรณีเฉพาะ แต่กรณีประเทศอื่นก็สามารถส่องและเสริมความเข้าใจแก่กรณีของเราได้
(ข) แนวการศึกษาจากมุมมองของวิชา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ประสานกันเข้ากับประวัติศาสตร์ โดยเน้น ความเป็นมาของการก่อตัวของรัฐสมัยใหม่
(ค) ท้าทาย ชวนเชิญ การถกเถียง ทั้งทางข้อคิดทฤษฎีและข้อมูล ด้วยการลบล้างมายาคติ และความเชื่อที่ฝังลึกและกระจายอยู่ในความเข้าใจประวัติศาสตร์ไทย ทั้งฉบับสาธารณะและวิชาการ
ผู้วิจารณ์หวังว่า หนังสือ บงการอธิปไตย จะมีส่วนช่วยปลุกเร้าความพยายามในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย โดยเฉพาะเรื่องการก่อตัวของรัฐ ซึ่งค่ายหนึ่งเน้นปัจจัย อิทธิพลต่างๆ เช่นเศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ หรือ เรียกรวมๆว่า ‘Structural Forces’ ส่วนอีกค่ายหนึ่งเน้นการกระทำ ความคิดของมนุษย์ หรือ ‘Human Agency’ การยุทธหัตถีทางความคิดนี้ ย่อมจะตามมาด้วยค่าย “ปรองดอง-สมานฉันท์” ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้ว ก็คือ ฝ่ายเหยียบเรือสองแคม อันเป็นจุดยืนที่สร้างมิตร ประสานใจ ไร้คู่ค้าน ซึ่งเป็นที่นิยมของนักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งหลาย ไม่ว่า บงการอธิปไตย จะยืนอยู่มุมไหนก็ตาม ก็ย่อมยังช่วยให้เกิดคุณูปการสองสถาน คือ (ก) ประเมินบทบาทในการสร้างรัฐสยามของ “มหาบุรุษ” ผู้ขี่ม้า และ (ข) ตรวจสอบการกำเนิดของรัฐสยามสมัยใหม่ด้วยมุมมองที่มีส่วนต่างออกไปจากที่คุ้นเคยกันอยู่
อันจะเป็นการรื้อฟื้นให้การถกเถียงในเรื่องนี้ได้กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่
----------------------------------------------------------------------------------------
[1] ในเมื่อสมัยนั้นยังไม่มี คตง. (คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน) คอยตรวจสอบการใช้เงินของราชการ จึงคงต้องอาศัยนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ทำวิจัย บวกเลขค่าใช้จ่ายในแต่ละครั้ง แต่ละประเทศ ทั้งนี้เพราะไปกันเอง ไม่ใช่เป็นแขกรับเชิญ โดยเฉพาะเสด็จยุโรปครั้งที่ ๒ ดังนั้น ค่าเดินทาง ค่าที่พัก (ยกเว้นบางแห่ง และค่าอาหารบางมื้อ) ผู้ปกครองสยามต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด และไม่ได้มีการเจรจาความเมืองแต่ประการใด หรือถ้าจะใช้ศัพท์ที่ไม่ชวนให้แสลงใจกันไปมากกว่านี้ก็คือ เป็น “ทัศนะศึกษา” ส่วนที่ว่า “ได้ทรงเปิดเผยเชิดชูเกียรติยศของชาติสยามด้วย ... ได้ทรงชักนำเชื่อมพระราชสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าแผ่นดินแลประธานาธิบดีในนานาประเทศให้สนิทยิ่งขึ้น ผลแห่งสัมพันธไมตรีอันนี้ ย่อมชักนำความเจริญรุ่งเรืองของพระราชอาณาจักร ...” (ไกลบ้าน หน้า 147) นั้น นอกจากจะเป็นข้อความที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลกันแล้ว ชะรอยว่าจะเป็นอาศิรวาทคำฉันท์ในรูปร้อยแก้ว เสียมากกว่าข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
[2] จาง เอียน ชง (แปลโดย ธรรมชาติ ศรีอักษร และคณะ) อิลลูมิเนชั่นส์ เอดิชั่นส์ กรุงเทพฯ 2565
[3] คำแปลภาษาไทยที่ติดตลาดไปแล้ว คือ “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” ทั้งๆที่มีเนื้อหากินความกว้างไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายที่มีบทบาท (“Actors”) บนเวทีมากกว่า เพียง “ประเทศ”
[4] เป็นป้ายที่แสดง “ความเป็นจริง” ที่ผิดฝาผิดตัวโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้เพราะ จำนวนรัฐ 193 รัฐในโลกนี้ ส่วนมากจะไม่เข้าลักษณะที่เป็น “รัฐ-ชาติ” ในความหมายที่ว่า รัฐหนึ่งๆ นั้นประกอบขึ้นมาจาก 1 ชาติ (เชื้อชาติ) ไม่แม้กระทั่งรัฐที่มีพื้นที่ขนาดเล็กและประชากรน้อย (ประมาณ 6-7 ล้าน) อย่าง รัฐ เอลซัลวาดอร์ หรือ รัฐแกมเบีย (ประชากร 3-4 ล้าน) ประเทศที่อาจเข้าข่ายว่าเป็นรัฐที่ประกอบขึ้นมาจากชาติเดียวกัน หรือ “รัฐ-ชาติ” นั้น เป็นกรณียกเว้น กล่าวคือ อาจจะมีเพียง 2 รัฐเท่านั้น คือ ญี่ปุ่น กับเกาหลี ถึงกระนั้น ก็ถูกโต้เถียงได้ เมื่อพิจารณาถึง ชาวไอนุ (Ainu) ทางเหนือของประเทศ และ ชนพื้นเมืองในเกาะโอกินาวา
[5] มีงานศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสเกี่ยวกับปัญหา และความเป็นไปตั้งแต่ 1871-1914 อยู่มาก ส่วนเฉพาะสำหรับการทำความเข้าใจเบื้องต้น ก็เช่น Cecil Jenkins, A Brief History of France, Robinson, London, 2011, pp. 145-163. และ Roger Price, A Concise History of France, Cambridge University Press, 2005, pp. 221-240.
______________________________________
สั่งซื้อ >>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |