โดย เบญจ์บรรพต โพธิ์เกตุ
เฮนรี่ ซิชวิค (Henry Sidgwick) เสนอว่า เมื่อเราพยายามตอบคำถามว่าเราควรมีชีวิตเช่นไร เรามีสองจุดยืนที่สามารถใช้เป็นฐานเพื่อหาคำตอบได้ จุดยืนแรกคือจุดยืนของจักรวาล ซึ่งพิจารณาความเป็นอยู่ของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน จุดที่สองคือจุดยืนที่มีตัวเราเป็นศูนย์กลาง ซึ่งคิดถึงความเป็นอยู่ของตัวเราเองเป็นสำคัญ ซิชวิคมองว่าทั้งสองจุดยืนสมเหตุสมผลทั้งคู่และไม่อาจถูกลดทอนไปเป็นแค่ส่วนหนึ่งของอีกจุดยืนได้ นี่ทำให้บางครั้งเราไม่สามารถมีคำตอบหนึ่งเดียวว่าเราควรมีชีวิตเช่นไร เพราะเส้นทางชีวิตอันตามมาจากสองจุดนี้อาจแยกออกเป็นคนละเส้นกัน และเราไม่สามารถตัดสินได้จริงๆ ว่าอันไหนคือเส้นทางที่ถูกต้อง เหตุผลบางครั้งทิ้งให้เราต้องเลือกระหว่างการคิดถึงตัวเองก่อนหรือคิดถึงทุกคนอย่างเท่ากัน โดยไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ดูเหมือนเราต้องทำขัดแย้งกับสิ่งที่เราควรทำในฐานะคนที่มีเหตุผล (Sidgewick, 2013, pp. 496 - 509, หรือดู Frankena, 1974 สำหรับสรุปแบบง่ายๆ)
เฮนรี่ ซิชวิค
ปัญหาทวินิยมของซิชวิคนี้ ทำให้การพูดคุยเกี่ยวกับเหตุผลของการกระทำถูกกรอบภายใต้การแบ่งเหตุผลออกเป็น เหตุผลเพื่อความสุขของตัวเรา กับ เหตุผลทางศีลธรรม เมื่อเราพยายามเข้าใจว่าเราควรมีชีวิตเช่นไร บ่อยครั้งการหาคำตอบจะเป็นเรื่องของการหาสมดุลระหว่างเหตุผลสองประเภทนี้ เรามุ่งเป้าอยู่กับคำถามเช่น เราควรให้นํ้าหนักกับความสุขของปัจเจกแค่ไหนต่อหน้าข้อเรียกร้องของศีลธรรม หรือข้อเรียกร้องของศีลธรรมมีนํ้าหนักในตัวเองได้หรือไม่ถ้ามันไม่ได้ถูกรองรับไว้ด้วยความสุขของปัจเจกที่ถูกเรียกร้อง แล้วกรณีที่พวกมันขัดแย้งกันล่ะ เราควรประนีประนอมยังไง หรือเราต้องยอมว่ามันเป็นทางเลือกที่เหตุผลเงียบงันอย่างที่ซิชวิคว่า
ซูซาน วูล์ฟ (Susan Wolf) มองว่า กรอบของการทำความเข้าใจอันแบ่งเหตุผลของการกระทำออกเป็นสองนี้คับแคบเกินไป เธอชี้ว่า มีเหตุผลอยู่ประเภทหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะไม่อาจวางตัวอย่างพอดีไม่ว่าจะในค่ายของความสุขของตัวเราหรือศีลธรรม เหตุผลประเภทนี้ คือ เหตุผลเพื่อความหมายในชีวิต เราอาจมีเหตุผลที่ดีให้ทำบางอย่าง ไม่ใช่แค่เพราะมันส่งเสริมความสุขของตัวเราหรือเพราะศีลธรรมเรียกร้อง แต่เพราะการทำเช่นนั้นสำคัญต่อการเกื้อกูลให้ชีวิตของเรามีความหมาย
ซูซาน วูล์ฟ และหนังสือของเธอ
วูล์ฟมองว่า กิจกรรมอันเกื้อกูลความหมายในชีวิต คือ กิจกรรมอันสอดคล้องอยู่กับสิ่งที่เรารัก การรักบางสิ่งคือการมีสภาวะทางอารมณ์ที่ซับซ้อนต่อสิ่งนั้นอันส่งผลให้การทำกิจกรรมต่างๆ ที่สอดคล้องกับสิ่งนั้นเกี่ยวพันอย่างสำคัญกับการได้รู้สึกเติมเต็มในชีวิต แต่ไม่ใช่ทุกกิจกรรมอันตามมาจากความรักจะเกื้อกูลความหมายในชีวิต มันต้องเป็นกิจกรรมอันตามมาจากความรักต่อสิ่งที่คู่ควรกับความรักด้วย และสิ่งหนึ่งจะคู่ควรกับความรักได้ ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่า คุณค่านี้จะต้องไม่ได้มาจากแค่เพราะเราเลือกให้คุณค่ามัน แต่มันมีคุณค่าโดยความเป็นเอกเทศจากตัวเรา เพราะเหตุนี้ วูล์ฟจึงสรุปแนวคิดของเธอออกมาเป็นสโลแกนว่า “ความหมายในชีวิตเกิดเมื่อความเสน่หาแบบอัตวิสัยพานพบกับเสน่ห์อันเป็นภววิสัย” (วูล์ฟ 2565, หน้า 28-29)
วูล์ฟยืนกรานว่า เราไม่สามารถลดทอนเหตุผลเพื่อความหมายในชีวิตไปเป็นแค่ประเภทย่อยของเหตุผลเพื่อความสุขของตัวเรา เธอดูเหมือนจะให้เหตุผลสนับสนุนหลักๆ ไว้สองข้อ ข้อแรก เธอชี้ว่า กิจกรรมอันตามมาจากเหตุผลเพื่อความสุขของตัวเรา คือ กิจกรรมที่ดีต่อตัวเรา อย่างไรก็ตามมันแปลกที่จะกล่าวเช่นนั้นกับกิจกรรมที่มาจากเหตุผลเพื่อความหมายในชีวิต ยกตัวอย่างเช่น แม่คนหนึ่งรักลูกของเธอ เพราะเหตุนี้ เธอนั่งทำชุดแฟนซีให้ลูกสำหรับวันฮัลโลวีนอยู่ทั้งคืน แน่นอนว่า ลูกของเธอเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าและคู่ควรกับความรัก ดังนั้น การที่เธอต้องมาอดหลับอดนอนเพื่อทำชุดแฟนซีให้ลูกของเธอจึง เป็นการกระทำที่เกื้อกูลความหมายในชีวิตของเธอ อย่างไรก็ดี วูล์ฟมองว่า มันแปลกหากเราจะกล่าวว่า การต้องมาลำบากของแม่เพื่อลูกเช่นนี้ เป็นกิจกรรมที่ดีกับตัวของแม่เอง (วูลฟ์, 2565, หน้า 6)
แม่กับลูกในชุดแฟนซีสำหรับวันฮัลโลวีน
อย่างไรก็ตาม มันแปลกไหม หากผม (ผู้เขียน) จะกล่าวว่า การที่คนคนหนึ่งนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เพื่อทำตารางเอกเซลให้กับเจ้านายจนปวดหลังปวดไหล่ เป็นกิจกรรมที่ดีกับตัวเขาเอง? เนื่องจากกิจกรรมเช่นนี้ก็เป็นอาชีพของหลายคน และพวกเขาทำอาชีพนี้ก็เพื่อหาเงินมาหล่อเลี้ยงความสุขในชีวิต ดังนั้น เหตุผลที่สนับสนุนการทำกิจกรรมนี้สำหรับพวกเขาก็ไม่ใช่อื่นใดนอกจากเหตุผลเพื่อความสุขของพวกเขาเอง ความแปลกในการกล่าวว่า กิจกรรมที่เราทำเพื่อความรักเป็นกิจกรรมที่ดีกับเราน่าจะไม่ใช่ข้อสนับสนุนที่ดีพอสำหรับการบอกว่า เหตุผลที่สนับสนุนกิจกรรมนี้ต้องไม่ใช่เหตุผลเพื่อความสุขของเรา มันดูมีหลายกรณีที่ฟังดูแปลกหากจะกล่าวเช่นนั้น เพราะยังคงชัดเจนว่า เหตุผลสนับสนุน คือ เหตุผลเพื่อความสุขของเรา
ข้อสนับสนุนที่น่าสนใจกว่าคือข้อที่สองซึ่งวูล์ฟนำเสนอขึ้นในช่วงท้ายของหนังสือ วูล์ฟชี้ว่า เมื่อศีลธรรมเรียกร้องให้เราเสียสละสิ่งที่สำคัญกับความหมายในชีวิตของเรา สิ่งที่เราต้องเสียสละดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ความสุขของตัวเรา เหตุผลที่ต่อต้านการเสียสละในที่นี้ ไม่ใช่แค่เหตุผลเพื่อความสุขของตัวเรา แต่มีบางอย่างมากกว่านั้นด้วย วูล์ฟดูเหมือนจะมองว่า บางอย่างมากกว่านั้นในที่นี้ คือการที่เรามีเหตุผลเพื่อความหมายในชีวิตของเราซึ่งต่อต้านการเสียสละนั้นอยู่อีกขั้นหนึ่งด้วย (วูล์ฟ, 2565, หน้า 58 - 67)
เราสามารถตอบกลับข้อสนับสนุนของวูล์ฟได้สองทาง ทางแรก เราสามารถชี้ว่า กิจกรรมซึ่งเกื้อกูลความหมายในชีวิตของเราโดยปกติมีผลกับความสุขของตัวเรามากกว่ากิจกรรมอื่นๆ แน่นอนว่า การทำกิจกรรมที่มีความหมายบ่อยครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความสำเร็จจากการได้ทำพวกมัน ก็มาพร้อมความรู้สึกเติมเต็มที่พิเศษกว่าจากกิจกรรมอื่นๆ นอกจากนั้นกิจกรรมที่มีความหมายยังแสดงออกถึงความผูกพันระหว่างตัวเรากับสิ่งที่มีคุณค่า การได้เห็นตัวเราเองเช่นนี้อนุญาตให้เราเกิดความภูมิใจและพอใจกับตัวเรา และความรู้สึกเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของความสุขในชีวิตคน ดังนั้น สิ่งที่เราเสียสละในกรณีที่ความหมายในชีวิตเข้ามาเกี่ยวโดยปกติจึงมากกว่าในกรณีที่ไม่มีความหมายในชีวิตเข้ามาเกี่ยว บางอย่างมากกว่านั้นในที่นี้อาจเป็นแค่ความสุขที่ต้องเสียไปมากกว่า
ทางที่สอง เราสามารถชี้ว่า ถูกต้องเลย เรามีเหตุผลสนับสนุนการทำสิ่งที่สำคัญกับความหมายในชีวิตของเรา มากกว่าแค่เหตุผลเพื่อความสุขของตัวเรา กิจกรรมที่เกื้อกูลความหมายในชีวิตไม่ได้เป็นแค่กิจกรรมที่ดีกับตัวเรา แต่ยังสอดคล้องกับคุณค่าอันเป็นเอกเทศจากตัวเรา กิจกรรมอันส่งเสริม รักษา เกื้อกูล คุณค่าอันเป็นภววิสัยเช่นนี้ย่อมดีไม่ใช่แค่กับตัวเรา แต่ยังดีในทางศีลธรรม เมื่อศีลธรรมเรียกร้องให้เราทำสิ่งที่ขัดกับความหมายในชีวิต เหตุผลที่ขัดแย้งกับข้อเรียกร้องนี้ย่อมไม่ใช่แค่เหตุผลเพื่อความสุขของตัวเรา แต่ยังมีความขัดแย้งภายในเหตุผลทางศีลธรรมเองอีกด้วย
George Bailey ตัวเอกในภาพยนตร์ It's a Wonderful Life (1946) ตอนสิ้นหวังกับชีวิต
หากประเด็นของวูล์ฟคือแค่ ปัจเจกดูจะเสียสละมากกว่าในกรณีที่ความหมายในชีวิตเข้ามาเกี่ยว คำตอบในทางแรกก็พอจะอธิบายจุดนี้ได้แล้ว หรือหากประเด็นคือ ปัจเจกดูเหมือนจะเสียสละบางอย่างที่มากกว่าแค่ความสุข คำตอบในทางที่สองก็ดูเหมือนจะอธิบายจุดนี้ได้ โดยไม่ต้องอ้างถึงการมีอยู่ของเหตุผลประเภทใหม่ขึ้นมา
ยังมีเหตุผลอะไรไหมให้เรายอมรับในการมีอยู่ของเหตุผลประเภทที่สามของวูล์ฟนี้? สมมติว่าไม่มีและจริงๆ เหตุผลเพื่อความหมายในชีวิตสามารถลดทอนไปเป็นเหตุผลเพื่อความสุขของตัวเราเองและเหตุผลทางศีลธรรมได้ นี่แปลว่าคำเชื้อเชิญของวูล์ฟให้เราหันมาสนใจและคิดถึงความหมายในชีวิตในฐานะประเด็นสำคัญสำหรับการพิจารณาว่าเราควรมีชีวิตเช่นไรหมดความน่าดึงดูดไปไหม? ผมคิดว่าไม่ เราไม่จำเป็นต้องคิดว่า เหตุผลเพื่อความหมายในชีวิตแยกออกจากความสุขและศีลธรรมเพื่อจะเห็นว่าการพูดถึงมันสำคัญ ความสุขและศีลธรรมเป็นเรื่องสำคัญแต่คลุมเครือ หากความหมายในชีวิตประกอบขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของสองสิ่งนี้ ความเข้าใจของเราต่อความหมายในชีวิตก็น่าจะช่วยให้เราเข้าใจสองสิ่งอันคลุมเครือได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากความหมายในชีวิตเป็นส่วนสำคัญของความสุข นี่ก็หมายความว่า ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่สภาวะภายในของปัจเจกเท่านั้น หากแต่ขึ้นอยู่กับการมีความสัมพันธ์อันดีกับคุณค่าอันเป็นภววิสัยด้วย นี่แปลว่า สังคมที่ผู้คนแค่รื่นรมย์อยู่กับมายาคติและการหลอกลวงของผู้มีอำนาจโดยขาดการได้สัมผัสกับสิ่งที่มีคุณค่าจริงๆ ก็จะเป็นคล้ายกับสังคมที่ผู้คนล้วนแต่ป่วยไข้ การมีความสุขระดับหนึ่งอาจจะยังเป็นไปได้ แต่ส่วนสำคัญหนึ่งของความสุขโดยสมบูรณ์ในชีวิตก็ดูเหมือนจะหลุดรอดไปจากผู้คน ถึงแม้เหตุผลเพื่อความหมายในชีวิตจะไม่ได้โดดออกมานอกสองประเภทดั้งเดิม การเรียนรู้เกี่ยวกับเหตุผลนี้ก็ยังอาจสำคัญ และหนังสือของวูล์ฟนี้ก็ยังมีคุณค่าต่อทุกคนที่สนใจคำถามทางคุณค่าเกี่ยวกับการมีชีวิต
อย่างไรก็ดี ผมคิดว่ามันยังเป็นไปได้ที่เหตุผลเพื่อความหมายในชีวิตจะไม่อาจลดทอนไปเป็นเหตุผลประเภทอื่น วูล์ฟนำเสนอว่า ความหมายในชีวิตอาจมีความสำคัญในฐานะบางอย่างที่รองรับความสำคัญของศีลธรรม (หรือแม้แต่ความสุข) ต่อตัวเรา เหตุผลเพื่อความหมายในชีวิตดูเหมือนจะมีบทบาทที่พิเศษ การได้มีชีวิตตามเหตุผลประเภทนี้มีความสำคัญต่อการเห็นเหตุผลที่จะใส่ใจในศีลธรรม หรือแม้แต่ความสุขของเราตั้งแต่แรก (วูล์ฟ, 2565, หน้า 61) หากจะให้พูดง่ายๆ ก็คือ การได้มีชีวิตตามความหมายในชีวิตของเรา ดูเหมือนจะเป็นเหตุผลสำคัญสำหรับการใส่ใจในความสุขหรือศีลธรรม หากข้อสังเกตนี้เป็นจริง นี่ก็อาจเป็นข้อสนับสนุนถึงความโดดเด่นของเหตุผลประเภทนี้จากประเภทอื่นๆ
ผมคิดว่าแนวคิดของวูล์ฟในจุดนี้ มีศักยภาพที่จะทำให้เราเข้าใจได้ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับธรรมชาติของเหตุผลอันกำหนดว่าเราควรมีชีวิตเช่นไร ถึงท้ายที่สุดเหตุผลเพื่อความหมายในชีวิตจะสามารถลดทอนมาอยู่ใต้ค่ายของเหตุผลเพื่อความสุขของเรา (หรือเหตุผลทางศีลธรรม) มันก็จะยังอาจช่วยให้เราเข้าใจความสำคัญของความสุข (หรือศีลธรรม) ต่อชีวิตของเราได้อย่างโดดเด่นยิ่งขึ้น ความหมายในชีวิตเป็นประเด็นที่ยังเต็มไปด้วยทรัพยากรทางปัญญาให้เราขุดค้นอีกมากมาย และหนังสือเล่มนี้ของวูล์ฟก็คงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีไม่แพ้ที่อื่นใด
อ้างอิง
Frankena, William K. (1974). Sidgwick and the Dualism of Practical Reason. The Monist 58 (3):449-467.
Sidgwick, Henry (1962/2016). The Methods of Ethics. Springer.
วูล์ฟ, ซูซาน (2565). ความหมายของชีวิต (รื่นศิริ, ธีรภัทร, แปล). กรุงเทพ: อิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์.
_____________________________
สั่งซื้อ >>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |