ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 สยามได้ดำเนินนโยบาย “ชาตินิยมสุดโต่ง” (hyper nationalism) ที่มุ่งเน้นชาติในแบบ “ชาติพันธุ์เป็นใหญ่” (dominant ethnic) ซึ่งถือกันว่าชาติพันธุ์เป็นสิ่งเดียวกับความเป็นชาติอย่างไม่อาจแยกขาดจากกันได้ [1] และได้เปลี่ยนชื่อประเทศมาเป็น “ไทย” ใน ค.ศ.1945 จอมพล ป.พิบูลสงคราม หรือในยุคชาตินิยมล้นเกิน (ที่หลายคนเรียกว่า “ยุคคลั่งชาติ”) ที่ได้ปลุกระดมผู้คนออกมาเดินขบวนทวงคืนดินแดนจากฝรั่งเศสภายใต้คำขวัญ “สองฝั่งโขงเป็นของเรา” และ “มณฑลบูรพานี่ก็เป็นของเรา” ใน ค.ศ.1939 [2] ซึ่งการทวงคืนดินแดนนี้เป็นหนึ่งในข้อโจมตีและข้ออ้างที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครองว่า รัชกาลที่ 7 มัวแต่พยายามฟื้นฟูสถานะของชนชั้นสูงที่กำลังเสื่อมลง โดยไม่พยายามจะแก้ไขปัญหาที่สำคัญของชาติคือในเรื่อง “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” หรือ “การทวงคืนดินแดนที่เสียไปจากอาณานิคมตะวันตก” [3]
ภายใต้บริบทเช่นนี้ เรื่องราวการ “เสียดินแดน” จึงถูกเขียนขึ้นและถูกสถาปนาให้กลายเป็นความทรงจำร่วมของชาติไทย จนนำไปสู่สงครามกับฝรั่งเศสซึ่งทำให้ไทย “ทวงคืน” 1. ดินแดนหลวงพระบางฝั่งขวาและดินแดนจำปาศักดิ์ ตรงข้ามปากเซ ดินแดนศรีโสภณและพระตะบองจดฝั่งทะเลสาบ แต่เสียมราบและนครวัดนั้นยังคงเป็นของฝรั่งเศส 2. ดินแดนในกัมพูชาหรือเส้นขีดโค้งจากนครวัดลงไปถึงแม่น้ำโขงตอนใต้จนถึงสตรึงเตรงคืนมาเป็นของไทยภายใต้การช่วยเหลือของญี่ปุ่น[4] อย่างไรก็ตาม เมื่อญี่ปุ่นตกเป็นผู้แพ้สงคราม ไทยจึงต้องคืนดินแดนเหล่านี้กลับไปอีกครั้งเมื่อจบสงครามโลกครั้งที่ 2
เรื่องราวการเสียดินแดนถูกปรับเปลี่ยนอีกครั้งจากการรัฐประหาร ค.ศ.1947 โดยอำนาจได้ถูกดึงกลับมาในกลุ่มกษัตริย์นิยม [5] เรื่องราวการเสียดินแดนได้ถูกสานต่อเพียงแต่ได้แก้ไขและผูกโยงเรื่องราวการเสียดินแดนเข้ากับสถาบันกษัตริย์ จากที่คณะราษฎรได้โจมตีรัชกาลที่ 7 ว่าไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของ “ชาติ” (ในการพยายามยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตหรือทวงคืนดินแดน) กลายมาเป็นว่า สถาบันกษัตริย์เป็นผู้รักษาเอกราชของชาติไทยไว้มาตลอด โดยรัชกาลที่ 5 ได้รักษาเอกราชของชาติไทยจากอาณานิคมตะวันตก โดยท่านได้โดยยอมเสียแขนขาเพื่อรักษาหัวใจ (เอกราช) ของชาติไว้ กล่าวคือ เรื่องราวการเสียดินแดนที่ถูกปลูกฝังโดยคณะราษฎรได้ถูกรับช่วงต่อโดยฝ่ายอนุรักษ์นิยมเพียงแต่ได้เพิ่มเรื่องราวและบทบาทการรักษาเอกราชของกษัตริย์เข้าไปไว้ด้วย
ต่อมาเมื่อประเทศไทยเข้าสู่บริบทของสงครามเย็น (Cold War) สหรัฐฯ ได้ทำโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) ในไทยผ่านสำนักข่าวสารอเมริกาหรือ “ยูซิส” (USIS: United States Information Service) และ หน่วยข่าวกรองกลาง หรือ “ซีไอเอ” (CIA: Central Intelligence Agency) ผ่านแผนปฏิบัติการ [6] เพื่อทำสงครามจิตวิทยา (Psychological Warfare) ต่อต้านคอมมิวนิสต์ (communism) ที่กำลังลุกคืบอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (NSC: National Security Council) ได้อนุมัติแผนยุทธศาสตร์สงครามจิตวิทยาในไทย (U.S. Psychological Strategy based on Thailand) ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “PSB D-23” ในปี ค.ศ.1954 แผนดังกล่าวระบุให้ใช้ประเด็นการคุกคามสถาบันกษัตริย์โดยคอมมิวนิสต์เป็นหัวใจของปฏิบัติการสงครามจิตวิทยาในไทย [7] โดยใช้งบประมาณถึง 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ผ่านการใช้สิ่งพิมพ์และภาพยนตร์ทำให้คนไทยเห็นภาพว่าคอมมิวนิสต์คุกคามสถาบันกษัตริย์ จารีตประเพณี และเอกราชที่ไทยมีมาอย่างยาวนาน [8]
การดำเนินการของสหรัฐฯ กระแส “คลั่งชาติ” ที่ถูกปลุกเร้าโดยคณะราษฎร และการนิยาม “ชาติ” แบบใหม่โดยฝ่ายอนุรักษ์ ได้สร้างกระแสการเมืองที่รุนแรงที่ผสมปนเประหว่าง “ชาตินิยม” และ “กษัตริย์นิยม” อย่างสุดโต่ง หรือที่ในเวลาต่อมาที่ ธงชัย วินิจจะกูล เรียกว่า อุดมการณ์แบบ “ราชาชาตินิยม” (royal nationalism) อันสื่อถึงการที่ได้ผนวกสถาบันกษัตริย์เข้ากับอุดมการณ์ชาตินิยม [9] ภายใต้อุดมการณ์เช่นนี้ เรื่องราวของกษัตริย์ได้ถูกเขียนขึ้นใหม่ให้ผูกพันเข้ากับชาติและการรักษาเอกราชในมิติต่าง ๆ กล่าวคือ เรื่องราวการเสียดินแดน ชาติไทย สถาบันกษัตริย์ การรักษาเอกราช ได้ผูกพันกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จน ธนภาษ เดชาวุฒิกุล ตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะเป็นสาเหตุที่ ธงชัยได้เอาแนวคิดชาตินิยม (แบบคณะราษฎร) และแนวคิดกษัตริย์นิยม (แบบกรมพระยาดำรงฯ) ที่เคยถูกมองว่าแตกต่างกันมาผูกรวมกันแล้ววิพากษ์ไปทีเดียวภายใต้คำว่า “ราชาชาตินิยม”
งานวิชาการจำนวนมากทั้งในภาษาไทยและอังกฤษถูกผลิตเพื่อตอกย้ำและยืนยันเรื่องเล่า (narrative) ชุดนี้ โดยในโลกวิชาการภาษาอังกฤษมองว่า 1. สยามมีความพิเศษเพราะไม่เคยตกเป็นอาณานิคม 2. สยามเป็นรัฐชาติแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 3. ราชวงศ์จักรีได้สร้างความทันสมัยและสร้างชาติขึ้น และ 4. ความสำเร็จเหล่านี้เกิดจากพื้นฐานของสังคมไทยและการมีผู้นำที่รักบ้านเกิดเมืองนอน (patriotic leaders) [10]
จุดเปลี่ยนที่สำคัญเริ่มจากบทความ “ศึกษารัฐไทย วิพากษ์ไทยศึกษา” (Studies of the Thai State: The State of Thai Studies) ของแอนเดอร์สัน ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1979 โดยเบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน ได้ทำการทบทวนวรรณกรรม “ไทยศึกษา” ในโลกภาษาอังกฤษ แอนเดอร์สันได้ตั้งคำถามและตอบโต้มุมมองในไทยคดีศึกษา (Thai Studies) ว่าในบางแง่มุมแล้ว 1. สยามเป็นอาณานิคมทางอ้อม 2. สยามเกือบจะเป็นประเทศสุดท้ายในภูมิภาคที่เป็นรัฐชาติอิสระ 3. การสร้างความทันสมัยของราชวงศ์จักรีเป็นแบบระบอบอาณานิคม และ 4. ความสำเร็จหรือล้มเหลวของสยาม เป็นผลจากการสร้างความสงบ (pacification) ของจักรวรรดินิยมยุโรปไม่ใช่ผู้นำ [11] ข้อสังเกตของแอนเดอร์สันได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อวงการไทยคดีศึกษาในโลกภาษาอังกฤษ และนักศึกษาชาวไทยในต่างประเทศจำนวนมากที่จะกลายมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในเวลาต่อมา
เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน
ในการศึกษาเรื่อง “ดินแดน” ของสยาม วิทยานิพนธ์ปริญญาเอก “Siam Mapped : A History of the Geo-Body of Siam” ของธงชัย วินิจจะกูล ที่มหาวิทยาลัยซิดนีย์ (University of Sydney) ค.ศ.1994 ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนที่สำคัญต่อการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ไทยอย่างมาก โดยวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ได้รับรางวัล แฮรี เจ. เบนดา ใน ค.ศ.1995 (Harry J. Benda Prize in Southeast Asian Studies) จากสมาคมเอเชียศึกษาหรือ Association for Asian Studies (AAS) ก่อนจะได้รับการแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น เกาหลี และจีน ตามลำดับ และได้รางวัล Grand Prize of Asia Pacific Book Award ใน ค.ศ.2005 จากสภาวิจัยเอเชีย ประเทศญี่ปุ่น และรับการแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ “กำเนิดสยามจากแผนที่: ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ” ใน ค.ศ.2013
หนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องดินแดนและรัฐชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรอบโครง (framework) ของ SM ได้ถูกนำมาใช้และตีความเรื่องดินแดนในประเทศต่าง ๆ เช่นงาน Creating Laos: The Making of a Lao Space Between Indochina and Siam (สร้างลาว: การสร้างพื้นที่ลาวระหว่างอิโดจีนและสยาม) ของ โซเร็น อิวาร์สสัน (Søren Ivarsson) [12] หรือ “Introduction to Mapping Vietnameseness” (แนะนำสู่การทำแผนที่ความเป็นเวียดนาม) ของ Hue-Tam Ho Tai [13] ที่ได้ใช้กรอบโครงของ SM ในการวิเคราะห์ชาติลาวและชาติเวียดนามว่าเกิดจาก “ดินแดน” ไม่ต่างจากชาติไทยที่ธงชัยได้วิเคราะห์ใน SM และงาน “Creating the “Thai”: The Emergence of Indigenous Nationalism in Non-Colonial Siam, 1850–1980” (สร้างไทย: การเกิดขึ้นของลัทธิชาตินิยมพื้นเมืองในสยามที่ไม่ใช่อาณานิคม) ของ เดวิด สเตร็คฟัสส์ (David Streckfuss) ที่ศึกษาการสร้างชาติไทยภายใต้วาทกรรมเรื่องเชื้อชาติ [14] เป็นต้น
SM ไม่ได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนทั่วไปเท่าใดนัก แต่กลับกลายเป็นหนังสือเล่มที่สำคัญที่สุดเล่มหนึ่งในวงวิชาการไทย อาจารย์จำนวนมากได้ใช้แนวคิดของ SM ในเรื่องชาติไทยและการไม่เสียดินแดนในการสอนนักศึกษาเพื่อให้หลุดพ้นจากการครอบงำของประวัติศาสตร์แบบ “ราชาชาตินิยม” โดยธงชัยได้เสนอบทความเรื่อง “เสียดินแดน” เป็นประวัติศาสตร์หลอกไพร่ไปตายแทน (เพราะ “ไทย” ไม่เคยเสียดินแดน)” [15] ก่อนที่จะมีการตีพิมพ์ SM ฉบับภาษาไทย ซึ่งส่งผลทำให้ข้อเสนอ SM ถูกลดความซับซ้อน (simplify) เป็นเพียงว่า สยามไม่เคยเสียดินแดน เพราะดินแดนของสยามก่อน “เสียดินแดน” นั้น ไม่มีจริง และเรื่องราวการเสียดินแดนของชาติไทยยังเป็นเพียงโครงเรื่อง (plot) หรือ วาทกรรม (discourse) เท่านั้น ประวัติศาสตร์เสียดินแดนจึงเป็น “ประวัติศาสตร์หลอกไพร่ไปตายแทน”
ข้อเสนอของ SM และบทวิจารณ์ของแอนเดอร์สัน ได้เปิดให้เกิดแนวทางการศึกษาที่สำคัญต่อไทยคดีศึกษาคือ แนวทาง “หลังอาณานิคม” (post-colonial) [16] ในเบื้องต้นแนวทางหลังอาณานิคมถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้อธิบายสภาวะที่เกิดขึ้นกับประเทศอาณานิคมและเจ้าอาณานิคมโดยเฉพาะกรณีของอาณานิคมอังกฤษ ซึ่งกลายเป็นแนวทางการศึกษาที่สำคัญในวงวิชาการภาษาอังกฤษอย่างมาก แต่จากการที่ประเทศไทยไม่เคยเป็นอาณานิคม (ตามแนวทางการศึกษาเก่า) โดยหลักการแล้วประเทศไทยจึงยากที่จะปรับใช้แนวทางหลังอาณานิคมในการศึกษาได้
อย่างไรก็ดี มุมมองของแอนเดอร์สันที่ว่า สยามเป็นอาณานิคมทางอ้อมและข้อเสนอใน SM ที่มองว่าไทยได้พ่ายแพ้ต่อภูมิศาสตร์แบบใหม่ หรือตกอยู่ภายใต้อิทธิพลความคิดของชาวตะวันตก ได้เปิดทางให้เกิดคำอธิบายเรื่องสยามใหม่ในแบบกึ่งอาณานิคมต่าง ๆ เช่น “อาณานิคมภายใน” (internal colonialism) “กึ่งอาณานิคม” (semi-colony) “อัตตาณานิคม” (auto-colonialism) “อาณานิคมอำพราง” (crypto-colonialism) “จักรวรรดินิยมทางวัฒนธรรม” (cultural imperialism) “จักรวรรดินิยมไม่เป็นทางการ” (informal empire) หรือ “การปกครองโดยอ้อม” (indirect rule) [17] เพื่อยืนยันว่าสยามก็เป็นอาณานิคมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และเปิดทางให้ไทยคดีศึกษาสามารถนำแนวทางหลังอาณานิคมเข้ามาปรับใช้ได้
หนังสือ "บงการอธิปไตย: การแทรกแซงจากจักรวรรดินิยมตะวันตกกับการก่อรูปของรัฐสยาม" โดย จา เอียน ชง ได้รับการตีพิมพ์ปี ค.ศ.2014 และได้รับรางวัลหนังสือยอดเยี่ยม หมวด International Security Studies Section จาก International Studies Association ใน ค.ศ.2015 ชงได้ศึกษาปัญหาเรื่องสถานะของรัฐต่าง ๆ ในยุคอาณานิคม อันเป็นหน่วยการปกครอง (polity) ต่าง ๆ ที่อยู่นอกระบบของรัฐต้นแบบในยุโรปที่ต้องปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับรัฐอธิปไตยสมัยใหม่ (modern sovereign state) ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ว่าสามารถทำได้หรือไม่อย่างไร [18]
ชงได้ยกกรณีศึกษา 3 ประเทศ คือ จีน อินโดนีเซีย และสยาม ในฐานะที่เป็นรัฐโบราณที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและแตกต่างกัน ได้แก่ การที่จีนเป็นรัฐจักรวรรดิแบบศักดินา อินโดนีเซียก็เป็นรัฐที่อยู่ภายใต้การปกครองของระบอบอาณานิคม ส่วนสยามเองก็เป็นรัฐเจ้าประเทศราชเหนือดินแดนต่าง ๆ ซึ่งชงมองว่ารัฐทั้ง 3 แบบนี้ ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อ 1. การรวมศูนย์อำนาจทางการเมือง (political centralisation) 2. บูรณภาพแห่่งดินแดน (territorial exclusivity) และ 3. อำนาจอิสระในการดำเนินกิจการกับภายนอก (external autonomy) อันเป็นลักษณะที่สำคัญของรัฐอธิปไตย (sovereign statehood)
ชงมองว่าการเปลี่ยนตัวการที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงรัฐโบราณเหล่านั้นให้ปรับตัวสู่การเป็นรัฐสมัยใหม่เกิดจากปัจจัยภายนอกหรือการที่มหาอำนาจต่าง ๆ ต่างแย่งกันเข้าถึงหน่วยการปกครองบริเวณชายขอบต่าง ๆ และกีดกันมหาอำนาจอื่นออกไป อย่างไรก็ดี ในความเห็นของชงในกลางศตวรรษที่ 20 ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการเข้าครอบครองดินแดนหนึ่ง ๆ ได้เพิ่มสูงขึ้น มหาอำนาจต่าง ๆ จึงเลือกจะใช้วิธีการกีดกันคู่แข่งของตนภายใต้การสนับสนุนให้ตัวแสดงท้องถิ่นเรียกร้องเอกราชขึ้นแทนเพื่อเป็นการทำให้คู่แข่งของตนต้องหลุดพ้นไปจากการครอบครองดินแดนนั้น ๆ [19]
สำหรับกรณีสยาม ชงมองว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสของมหาอำนาจนั้นเริ่มสูงตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 (ซึ่งจะต่างจากรัฐอื่นที่จะเริ่มสูงช่วงกลางศตวรรษที่ 20) สถานการณ์ของสยามจึงเข้าสู่สภาวะที่มหาอำนาจสนับสนุนให้สยามเป็นรัฐอธิปไตยเพื่อกีดกันคู่แข่งก่อนหลาย ๆ ที่บนโลก ชงเริ่มศึกษาสยามใน ค.ศ.1893 ภายหลังเหตุการณ์วิกฤติปากน้ำ ร.ศ.112 (ไม่ใช่ก่อนหน้า) ที่สถานะของสยามเริ่มมั่นคงจากการแข่งขันระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสก่อนหน้าจนมาถึงจุดวิกฤติ กล่าวคือชงเริ่มศึกษาสยามเมื่อสยามเริ่มมีสถานะเป็น “กันชน” (buffer) เพื่อดูพัฒนาการของสยามที่จะกลายเป็นรัฐอธิปไตยต่อจากนี้ [20]
ชงมองว่าสยามค่อย ๆ ก้าวสู่ความเป็นเป็นรัฐอธิปไตย ตั้งแต่ ค.ศ.1893 (รัชกาลที่ 5) – ค.ศ.1952 (รัชกาลที่ 9) ซึ่งเป็นผลกระทบโดยรวมจากความพยายามของมหาอำนาจในการรับประกันการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ตามนโยบายแทรกแซง (interventionist claim) ให้ขยายกว้างออกไป สิ่งนี้ทำให้สยามค่อย ๆ สามารถขยายเกณฑ์รัฐอธิปไตยในเรื่องการรวมศูนย์อำนาจได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว [21]
โดยสรุปแล้ว หนังสือ "บงการอธิปไตย” พยายามนำเสนอ “ขบวนการทำให้เป็นรัฐอธิปไตย” ของพื้นที่รัฐชายขอบในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ผ่านการเลือกกรณีศึกษารัฐก่อนสมัยใหม่ 3 ลักษณะคือ จีน อินโดนีเซีย และไทย เพื่อพิจารณาขบวนการเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นรัฐอธิปไตยที่กลายเป็นแบบแผนพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (international) ในปัจจุบัน
หากมองอย่างผิวเผิน เราจะพบว่าข้อเสนอเช่นนี้ของชงในบริบทไทยคดีศึกษานับว่า ดูเหมือนจะย้อนกลับไปยุคสงครามเย็นที่มองว่าไทยเป็นรัฐเอกราชรัฐเดียวในภูมิภาค หรือแนวคิดที่ว่าไทยเป็นรัฐชาติแห่งแรก ๆ ของภูมิภาค (ก่อนบทความของแอนเดอร์สัน) ทำให้คุณูปการของหนังสือเล่มนี้ถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย กล่าวคือ โดนโจมตีจากนักวิชาการสายวิพากษ์ว่าล้าหลัง ติดกับดัก และมิได้พิจารณาถึงสภาวะกึ่งอาณานิคมต่าง ๆ ของสยามเลย
อย่างไรก็ดี ผู้เขียนกลับเห็นว่า คุณูปการที่สำคัญของงานชง ไม่ใช่เป็นข้อเสนอว่าสยามจะเป็นรัฐอธิปไตยหรือไม่ หรือนำเสนอว่าเหตุใดสยามจึงไม่ตกเป็นอาณานิคม (เพราะแท้จริงแล้วปีที่ชงเริ่มศึกษาสยามคือ ค.ศ.1893 ที่สยามพึ่งรอดพ้นจากวิกฤติที่สำคัญที่สุดมาอย่างหวุดหวิด) แต่เป็นการสร้างเกณฑ์หรือแบบจำลองที่ชัดเจนในการนิยามสถานะของรัฐชายขอบหนึ่ง ๆ ในยุคอาณานิคมว่า เราควรใช้เกณฑ์ใดในการพิจารณาสถานะของรัฐนั้น ๆ มิใช่สรุปตามอำเภอใจโดยปราศจากหลักเกณฑ์ตามแต่ที่นักวิชาการแต่ละคนจะตั้งขึ้น เช่น การระบุว่าสยามเป็น “อัตตาณานิคม” และ “อาณานิคมอำพราง” เราแทบไม่อาจเข้าใจความหมายได้อย่างแท้จริงเลยว่า หากสยามมีสถานะเป็นอาณานิคมอำพรางนั้นหมายความว่าอย่างไร
หากเราพิจารณาข้อเสนอของชงก็จะพบว่า ชงเองก็มองว่าสยามเป็นพื้นที่ที่มหาอำนาจได้เข้ามาแทรกแซงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์อย่างลึกซึ้ง แต่เราจะเรียกสถานะเช่นนี้ว่าอะไร? สิ่งนี้ทำให้จุดเด่นของงานชิ้นนี้จึงเป็นการชวนทุกคนกลับมาคุยแล้วสร้างหลักเกณฑ์การพิจารณารัฐที่ชัดเจนก่อนจะด่วนสรุปว่ารัฐนั้นมีสถานะแบบไหนภายใต้ความคลุมเครือในวงวิชาการที่ผ่านมา กล่าวคือ ชงพยายามจะสร้างโมเดลการพิจารณาสถานะของรัฐหนึ่ง ๆ ให้ชัดเจน ซึ่งเราก็สามารถโต้แย้งหรือปรับเปลี่ยนโมเดลนั้นได้ ว่าเหมาะสมหรือไม่ เกณฑ์ใดที่ควรเพิ่มหรือลดในการพิจารณาความเป็นรัฐอธิปไตย
การวิพากษ์วิจารณ์ว่างานชิ้นนี้มีข้อเสนอที่ล้าหลัง จากการเสนอว่าสยามเป็นรัฐเอกราช หรือการมองว่าชงยังติดอยู่ในกับดักเรื่องรัฐ จึงเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่ผิดฝาผิดตัวและไม่ใช่ข้อเสนอหลักของงานชิ้นนี้ โดยเฉพาะจุดยืนในการทำงานของชงที่เป็นงานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ใช่งานประวัติศาสตร์ ข้อเสนอของงานชงหรือการสร้างหลักเกณฑ์ที่มีลักษณะทั่วไป ไม่ใช่การเสนอว่าสยามเป็นรัฐเอกราชจริงไหม? หรือสยามรอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมได้อย่างไร? หนังสือเล่มนี้จึงนับว่ามีคุณูปการอย่างสูงในการทำความเข้าใจสยามอีกมุมที่คนไทยอาจไม่คุ้นเคยมาก่อน และในฐานะงานวิชาการอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ได้เน้นเพียงการตอบคำถามหรือเพียงแค่เสนออะไรที่น่าตื่นเต้น แต่เป็นการสร้างเครื่องมือในการศึกษาที่สำคัญให้สามารถปรับใช้กับกรณีศึกษาอื่น ๆ ได้ต่อไป
[1] อ่านเพิ่มเติมใน Anthony D. Smith, “Ethnic Cores and Dominant Ethnies,” in Rethinking Ethnicity: Majority Groups and Dominant Minorities, Eric P. Kaufmann (London: Routledge, 2004), 15-26.
[2] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ลัทธิชาตินิยมไทย/สยามกับกัมพูชาฯ, 69
[3] วิจิตรวาทการ (วิจิตร วิจิตรวาทการ), หลวง, รวมปาฐกฎา, พิมพ์ครั้งที่ 4 (กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2518), 243-264
[4] อนุสัญญากรุงโตกิโอ ค.ศ.1941 มีสาระสำคัญ คือ 1.ให้ประเทศไทยได้รับคืนดินแดนทั้งหมดที่เสียให้ฝรั่งเศสตามหนังสือสัญญา ค.ศ.1907 และ ค.ศ.1907 โดยบริเวณมณทลบูรพาฝรั่งเศสจะคืนพระตะบองและศรีโสภณให้จนถึงทะเลสาบ แต่เสียมราฐและนครวัดยังเป็นของฝรั่งเศสอยู่ 2.ให้ถือร่องน้ำลึกเป็นเส้นเขตแดนในแม่น้ำโขง แต่เกาะโขงยังเป็นของอาณาเขตอินโดจีนฝรั่งเศส เกาะโคนตกเป็นของไทย ส่วนดินแดนเล็ก ๆ บนฝั่งขวาของแม่น้ำตรงข้ามกับสะตรึงเตรง ซึ่งแต่เดิมสงวนไว้ให้ฝรั่งเศสนั้น ฝรั่งเศสยกให้ไทย
[5] ฐนพงศ์ ลือขจรชัย. ปลดแอกชาติ จากศักดินา-(ราชา)ชาตินิยม, บทที่ 4 การทวงคืน “ชาติ” และ “กษัตริย์ประชาธิปไตย”
[6] ณัฐพล ใจจริง, ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ, 289-314
[7] The Under Secretary of State (Smith) to the Ambassador in Thailand (Donovan), 25 January 1954, in Foreign Relations of the United States} 1952-1954 vol. 12, pp 704-705 อ้างถึงใน ณัฐพล ใจจริง, ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ, 315
[8] The charge in Thailand (persons) to Department of State, 8 December 1953, in Foreign Relations of United State} 1952-1954 vol.12 , p 699-700 อ้างถึงใน เรื่องเดียวกัน, น. 315
[10] เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน, “ศึกษารัฐไทย วิพากษ์ไทยศึกษา”, แปลโดย ดาริน อินทร์เหมือน, ใน เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน, ศึกษารัฐไทย ย้อนสภาวะไทยศึกษา, (กรุงเทพฯ: ฟ้าเดียวกัน, 2558). น.11
[11] เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน, “ศึกษารัฐไทย วิพากษ์ไทยศึกษา”, แปลโดย ดาริน อินทร์เหมือน, ใน เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน, ศึกษารัฐไทย ย้อนสภาวะไทยศึกษา, (กรุงเทพฯ: ฟ้าเดียวกัน, 2558). น.13
[12] Ivarsson, Søren. Creating Laos: The Making of a Lao Space Between Indochina and Siam, 1860-1945. Copenhagen, Denmark: NIAS Press, 2008.
[13] Cross-Currents: East Asian History and Culture Review, Volume 5, Number2, November 2016, pp. 453-459
[14] Streckfuss, David. “Creating the “Thai”: The Emergence of Indigenous Nationalism in Non-Colonial Siam, 1850–1980”. Master of Art thesis, Department of History, University of Wisconsin–Madison, 1987.
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |