ธนเชษฐ วิสัยจร
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
หนังสือเรื่อง “บงการอธิปไตย” เป็นการรวมคำนำ บทความวิจารณ์ ภาคผนวกที่เขียนและแปลโดยนักวิชาการชาวไทยและการแปลเนื้อหาจากหนังสือเรื่อง “External Intervention and State Formation – China, Indonesia, Thailand, 1892-1952” โดยสำนักพิมพ์ Cambridge University Press ของจา เอียน ชง (Ja Ian Chong) เห็นได้ชัดเจนว่าหนังสือบงการอธิปไตยในภาษาไทยเมื่อมีการแปลแล้ว ได้มีการปรุงรสเพิ่มเติมและตัดทอนเนื้อหาจากเนื้อหาดั้งเดิมที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ นับตั้งแต่การแปลชื่อเรื่องเองหากจะแปลให้ตรงตัวอาจจะแปลได้ว่า “การแทรกแซงจากภายนอกและการประกอบสร้างรัฐ ในจีน อินโดนีเซียและไทย จาก ค.ศ. 1892 ถึง 1952” แต่ชื่อ “บงการอธิปไตย” ที่ตั้งใหม่ก็มีเหตุผลในตัวของมันว่าเหตุใดคณะจัดทำจึงตัดสินใจละทิ้งความหมายเดิมของชงไป
เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปดูเทียบเคียงต้นฉบับกับฉบับแปลก็พบว่าในต้นฉบับภาษาอังกฤษมีทั้งหมด 9 บท แต่ในฉบับแปลภาษาไทยที่มีการแปลจากหนังสือของชง ได้ยกมาแต่บทที่มีความเกี่ยวข้องกับกรณีศึกษาของสยาม หากแต่ละกรณีศึกษาของจีนและอินโดนีเซียออกไป ซึ่งผู้แปลคือกลุ่มคณะทำงานที่เป็นนักวิชาการรุ่นใหม่ในไทย อาทิ ศิวพล ชมภูพันธุ์ เอกพลณัฐ ณัฐพัทธนันท์และคัททิยากร ศศิธรามาศ พร้อมกับบทนำเพิ่มเติมโดยชนินท์ทิรา ณ ถลางที่เขียนคำนำเป็นภาษาอังกฤษอันเกี่ยวข้องกับมุมมองของทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศว่าด้วยปัจจัยภายใน (domestic) และปัจจัยภายนอก (international) แต่แปลเป็นภาษาไทยโดยตรีเทพ ศรีสง่า ในขณะเดียวกันก็มีการเพิ่มเติมภาคผนวกโดยบทความของนักวิชาการที่ข้าพเจ้าเองถือว่าเป็นครูทางด้านประวัติศาสตร์อย่างฉลอง สุนทรวาณิชที่บรรยายถึงความสลับซับซ้อนและรายละเอียดทางการทูตเมื่อครั้งราชสำนักสยามต้องรับมือกับภัยคุกคามจากจักรวรรดิตะวันตกอาทิจักรวรรดิฝรั่งเศสทางทิศตะวันออกและอังกฤษทางทิศตะวันตก โดยพยายามดึงรัสเซียให้เข้ามามีบทบาทในการถ่วงดุลอำนาจในเวลานั้น กระบวนการดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเพียงข้ามคืนแต่อาศัยเวลาและกลเม็ดเด็ดพรายทางการทูตตลอดจนการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าต่าง ๆ ที่จนท้ายที่สุดสยามก็ถือได้ว่าน่าจะเป็นรัฐสมัยใหม่ในเวลานั้น (หากไม่ใช่ก็น่าจะใกล้เคียง) รวมถึงภาคผนวกที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษเรื่อง Path to Centralization and Development: Evidence from Siam โดย Christopher Peik และ Jessica Wechbanyongratana ซึ่งข้าพเจ้าเป็นผู้แปล
หนังสือเรื่องบงการอธิปไตยเล่มนี้ถือว่ามีคุณูปการในแง่ที่ว่าข้อเสนอของชงที่ต้องการให้ผลักดันวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในฐานะสาขาวิชา (International Relations as a discipline) ให้มีความเป็นสาขาวิชาของคนทั้งโลก (Global IR) โดยที่พยายามปลดเปลื้องพันธนาการจากฐานคติแนวคิดและประสบการณ์ของชาวตะวันตก กล่าวคือชงพยายามยกกรณีศึกษาประสบการณ์การประกอบสร้างรัฐที่ไม่ใช่ตะวันตกเช่น สยามซึ่งภายหลังกลายเป็นไทย จีนและอินโดนีเซีย จุดยืนของชง ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรยินดี และข้าพเจ้ามองว่าเป็นฐานคิดตั้งต้นก่อนที่จะผลักประเด็นความเป็น Global IR ให้มีความลึกซึ้งและเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งตรงกับจุดยืนทางวิชาการของข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง โดยข้าพเจ้าจะได้เสนอบทสนทนากับชง ซึ่งเน้นเฉพาะแต่กรณีศึกษาของสยามและการประกอบสร้างรัฐใกล้เคียงของสยามโดยอ้างตามบทแปลภาษาไทยดังจะได้กล่าวถึงในสามประเด็นต่อไปนี้
ประเด็นแรก ชงเสนอว่าการวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศควรตั้งอยู่บนฐานที่พิจารณาการแทรกแซงจากภายนอก (international) ที่ส่งผลต่อการเมืองภายใน (domestic) กล่าวคือ การปรากฎของภัยคุกคามของจักรวรรดิตะวันตกส่งผลต่อการเมืองภายในของสยาม ว่าต้องพยายามทำให้เป็นรัฐสมัยใหม่ ตลอดจนการรวมศูนย์ของรัฐ จริงอยู่วิธีคิดเช่นนี้มีคุณูปการในการศึกษาประวัติศาสตร์ก่อนที่สยามจะเป็นรัฐสมัยใหม่และค่อย ๆ แสดงบทบาทในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาศึกษา ทว่าหากจะผลักดันประเด็นให้มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น มุมมองที่ใช้พิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศโดยแยกพื้นที่ภายในออกจากภายนอกเช่นนี้ (dichotomous understanding of inside/outside) ย่อมตกอยู่ในกับดักเส้นเขตแดน (territorial trap) ดังที่นักภูมิศาสตร์การเมืองอย่าง John Agnew (1994) ได้เสนอไว้ นอกจากนี้นักวิชาการในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสายวิพากษ์อย่าง R.B.J. Walker (1993) ได้ทำให้การแยกพื้นที่ภายในกับภายรัฐนี้ที่เสมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาในปฏิบัติการเมืองระหว่างประเทศเป็นประเด็นปัญหา กล่าวคือมุมมองที่แยกพื้นที่ด้านใน กับด้านนอกรัฐออกจากกันอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดส่งผลให้ตัวแสดงทางการเมืองที่อยู่ในพื้นที่ชายแดน (border) หรือเส้นอาณาเขต (boundary) ที่แยกส่วนพื้นที่การใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐแต่ละรัฐที่อยู่ติดกันนั้นถูกปิดปาก หรือทำให้เงียบเสียงไป ในกรณีของสยาม การรวมศูนย์รัฐ (centralisation) ทำให้เสียงของตัวแสดงทางการเมืองทางตอนเหนือที่ติดกับจักรวรรดิอังกฤษ (Winichakul, 1994) หัวเมืองลาวฝั่งขวาที่ติดกับอินโดจีนของฝรั่งเศส อย่างกรณีการลุกขึ้นต่อต้านราชสำนักสยามของผู้คนในอุบลราชธานีที่สยามเรียกว่าผีบุญหรือหัวเมืองมลายูทางใต้ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบันนั้นเงียบเสียงลง ทั้งที่หากว่านักวิชาการด้านการเมืองระหว่างประเทศได้มีการทำวิจัย โดยให้ความสำคัญกับเสียงของตัวแสดงทางการเมืองเหล่านั้น ความเป็นวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ครอบคลุมทั้งโลก (Global IR) ก็จะมีความหลากหลายเข้มข้นมากขึ้น
ประเด็นที่สอง การศึกษายุทธวิธีการต่อสู้ของผู้นำทั้งในสยามของจา เอียนชง (รวมถึงในจีนที่ไม่ได้มีการแปลเป็นภาษาไทยทั้งหมด) จนอาจกล่าวได้ว่าสยามไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก สามารถหยิบยกขึ้นมาเพื่อค้นคว้าต่อในแง่ของเวลา การกล่าวถึงการเป็นสมัยใหม่ของสยาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนผ่านจากรัฐจารีตในรูปแบบจักรวาทิน ที่เส้นเขตแดนแบบเวสต์ฟาเลียไม่ได้มีความหมาย กล่าวคือไม่ได้มีความแตกต่าง แยกส่วน และผลักไสออกจากกันตามที่ John Ruggie (1998) อธิบายรัฐสมัยใหม่ไว้ ต้องยอมรับว่าผู้พูดเองมองอยู่เป็นนัยว่าการจัดการปกครองของสยาม ตามหลักตะวันตกอยู่ ในแง่นี้ข้าพเจ้าเสนอว่าผู้พูดกำลังติดกับดักเงื่อนไขของเวลา (temporal trap) กล่าวคือผู้พูดเชื่อว่าประวัติศาสตร์ของโลกดำเนินเป็นเส้นตรง (unidirectional historicism) รูปแบบการจัดการรัฐในแบบเวสต์ฟาเลียของชาวยุโรป ถูกหมายมั่นว่าเป็นหมายหมุดที่การใช้อำนาจอธิปไตยของชาวสยามจะต้องดำเนินไปให้ถึง หากแต่ในเวลานั้นชาวสยามยังล้าหลังจึงยังไม่มีการจัดการรัฐในแบบที่ควรจะเป็นคือแบบของชาวยุโรป เมื่อจักรวรรดิฝรั่งเศสทางทิศตะวันออกและจักรวรรดิอังกฤษทางทิศตะวันตกได้นำการจัดการพื้นที่และการปกครองในแบบยุโรปมาเริ่มใช้กับอาณานิคมของตน ดินแดนอาณานิคมจึงเริ่มเข้าใกล้หรือมีความเป็นรัฐแบบเวสต์ฟาเลีย สยามเองก็ต้องพัฒนาตนไปให้ถึงจุดนั้น แต่หากว่ามีการตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ในแง่เวลาดังที่ Kimberley Hutchings (2008) และ Dipesh Chakrabarty (2008) ว่าการที่รัฐในดินแดนแถบนี้ยังไม่เป็นรัฐเวสต์ฟาเลีย อาจไม่ได้หมายความว่าการจัดการปกครองในดินแดนแถบนี้ยังไม่พัฒนา หรือยังไม่มีความศิวิไลซ์ หากแต่ว่าวิธีการจัดการในดินแดนอื่นนอกพื้นที่ยุโรปมีความแตกต่างหลากหลายและความแตกต่างหลากหลายในแง่ของเวลา (temporal heterogeneity) นั้นน่าที่จะได้รับการใส่ใจ และหยิบยกขึ้นมาในการศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองในยุคอาณานิคม ซึ่งในแง่นี้ข้าพเจ้ามองว่างานเขียนของชงถือว่าเป็นการเปิดแผล ที่ผลักประเด็นการศึกษาในรูปแบบ Global IR ไว้ และสามารถนำไป “ขยี้” ต่อในงานวิจัยในอนาคต
ประเด็นที่สาม เมื่องานเขียนของชงได้เริ่มเปิดแผลความเป็น Global IR ไว้แล้วในงานของเขา ข้าพเจ้าอยากจะชี้ชวนให้มีการนำประเด็นที่หนึ่ง คือเรื่องความเป็นปัญหาของการแยกพื้นที่ภายในกับภายนอก (dichotomous understanding of inside/outside) ของรัฐสมัยใหม่ และประเด็นที่สอง คือความแตกต่างหลากหลายในแง่ของเวลา (temporal heterogeneity) มาคิดพิจารณาต่อว่าที่จริงแล้วการศึกษาการเมืองระหว่างประเทศของนักวิชาการอาจจะมองจากมุมมองของชนชั้นนำที่ถืออำนาจทางการเมืองอยู่เป็นหลัก ข้าพเจ้าจึงขอเสนอว่า หากว่าเรามองหรือรับฟังเสียงของผู้คนที่แตกต่างหลากหลายซึ่งได้รับผลกระทบจากกระบวนการล่าอาณานิคม มิติของความเป็นวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของคนทั้งโลก (Global IR) ก็จะมีความเข้มข้นแยบยลยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากเรามุ่งพิจารณาแต่การที่สยามต้องต่อสู้กับจักรวรรดิฝรั่งเศส หรือจักรวรรดิอังกฤษ จนทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษถูกวาดให้เป็นเสมือนหมาป่า (wolves) ที่พร้อมจะขย้ำแกะ (sheep) อย่างสยาม เราก็จะพลาดมุมมองที่ว่าสยามอาจจะเป็น หมาป่าที่เขี้ยวเล็บแหลมคมน้อยกว่า (lesser wolf) ซึ่งก็ไปขย้ำฉีกเนื้อแกะตัวอื่นอย่างอาณาจักรล้านช้างโบราณที่ปัจจุบันคือประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือแม้แต่กัมพูชาก็ได้ ดังที่กล่าวไปแล้วว่าถ้าหากเราเพิ่มเสียงของตัวแสดงซึ่งถูกทำให้เงียบเสียงไป เช่นตัวแสดงทางเมืองชายแดนที่อยู่ในพื้นที่ในระหว่างในอดีตมิติของความเป็นวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Global IR) ก็จะยิ่งเป็นของคนทุกคนมากยิ่งขึ้น
หนังสือเรื่อง “บงการอธิปไตย” ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีคือได้เปิดแผลที่ข้อเท้าของอิคิลลิส (achilles tendon) ข้าพเจ้าคนหนึ่งที่จะเข้าแหวกแผลตรงนั้น กล่าวคือจะไปรื้อค้น วิพากษ์วิจารณ์ประเด็นเรื่องมรดกทางการเมืองการปกครองในยุคอาณานิคมที่ได้ทิ้งรอยแผลไว้ หากมีผู้สนใจประเด็นคล้ายกันข้าพเจ้าก็มีความยินดียิ่งนัก
บรรณานุกรม
Agnew, J. (1994). The territorial trap: the geographical assumption of International Relations theory. Review of International Political Economy. [Online] 1(1), pp. 53-80. Available from https://www.tandfonline.com/doi/abs/10.1080/09692299408434268 [Accessed 30/1/2015]
Chakrabarty, D. (2008). Provincializing Europe: Postcolonial thought and historical difference. Princeton & Oxford: Princeton University Press.
Hutchings, K. (2008). Times and world politics: Thinking the present. Manchester: Manchester University Press.
Walker, R.B.J. (1993). Inside/outside: International relations as political theory. Newcastle Upon Tyne: Cambridge University Press.
Winichakul, T. (1994). Siam mapped: A history of the geo-body of a nation. Honolulu: University of Hawaii Press.
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |