ในบทความเรื่อง “ประวัติศาสตร์ของแนวคิดโลกวิสัยในสังคมไทย : อดีต ปัจจุบัน และอนาคต” ผู้เขียนได้พูดถึงเนื้อหาบางส่วนของหนังสือเล่มนี้ (คำว่า “หนังสือเล่มนี้” ในตลอดบทความนี้ หมายถึงหนังสือ “ฮาเบอร์มาสกับสังคมแบบหลังฆราวาส”) ไว้อย่างย่อ ๆ แต่ก็ได้วิจารณ์ไว้ในบทความดังกล่าวว่าหนังสือเล่มนี้ปัญหาอยู่ค่อนข้างมาก ด้วยศัพท์แสงที่อ่านยาก และการแปลความด้วยภาษาที่ค่อนข้างแข็ง และรุ่มร่าม ทำให้เนื้อหาค่อนข้างเข้าใจยาก [1] ทว่าภายใต้ความยากในการอ่านที่ต้องการพื้นความรู้ทางด้านปรัชญาและสังคมวิทยานั้น หนังสือเล่มนี้กลับมีประเด็นที่ชวนขบคิดเกี่ยวกับสังคมไทยหลายประเด็นด้วยกัน และหนังสือเล่มดังกล่าวก็มีอิทธิพลทางความคิดต่อนักคิดโลกวิสัยในไทยด้วยเช่นเดียวกัน เช่นในกรณีของสุรพศ ทวีศักดิ์ ที่ในหนังสือเรื่อง “จากพุทธศาสนาแห่งรัฐสู่พุทธศาสนาที่เป็นอิสระจากรัฐ” ซึ่งตีพิมพ์ก่อนหนังสือเล่มนี้ สุรพศกล่าวถึงฮาเบอร์มาสเฉพาะแนวคิดเรื่องพื้นที่สาธารณะและแนวคิดด้านจริยศาสตร์ของเขาเท่านั้น [2] แต่ทว่าหนังสือของสุรพศอีกเล่มหนึ่งคือ“เปรียบเทียบการปฏิรูปศาสนา คริสต์-พุทธ และสังคมโลกวิสัย” ซึ่งตีพิมพ์หลังจากหนังสือเล่มนี้แล้ว ได้มีการอ้างอิงหนังสือเล่มนี้ในหลายส่วน เช่นการมีส่วนร่วมของศาสนาในกระบวนการประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ และการให้ความหมายคำว่า “Secular” ก็อ้างอิงจากคำอธิบายของธเนศ วงศ์ยานนาวา ในหนังสือเล่มนี้ [3]
หากเราอ่านหนังสือเล่มนี้โดยละเอียด เราจะพบว่าสิ่งที่ฮาเบอร์มาสต้องการจะทำนั้นคือการหาที่จัดวาง “ศาสนา” ในปริมณฑลสาธารณะ ว่าจะจัดวางอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุด ข้อนี้ผู้เขียนจึงอยากชวนย้อนมองบทบาทของ “ศาสนา” ใน “ปริมณฑลสาธารณะ” ของสังคมไทย ว่าในอดีตและปัจจุบันนั้นมีสภาพเป็นอย่างไร สิ่งที่ฮาเบอร์มาสคิดนั้นสามารถตอบโจทย์สังคมของเราได้หรือไม่ และบริบททางสังคมที่ปรากฏอยู่มีความเหมือนหรือแตกต่างจากสิ่งที่ฮาเบอร์มาสคิดอย่างไร
แต่ก่อนที่จะทำความเข้าใจเรื่องบทบาทของ “ศาสนา” ในปริมณฑลสาธารณะนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจวิวัฒนาการของสิ่งที่เรียกว่า “ปริมณฑลสาธารณะ” ในสังคมไทยก่อน โดยในบทความนี้ คำว่า “ปริมณฑลสาธารณะ” หมายถึงการทำกิจกรรมหรือการแลกเปลี่ยน-ถกเถียง ที่สังคมกระทำร่วมกันอย่างเป็นสาธารณะ ตามความคิดของฮาเบอร์มาส ซึ่งประกอบด้วยความเป็นสาธารณะ ความโปร่งใส และความเปิดเผย องค์ประกอบดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้แม้ในพื้นที่ส่วนบุคคล ในขณะที่ “พื้นที่สาธารณะ” จะหมายถึง “พื้นที่กายภาพ” ที่เป็นสาธารณสมบัติ เช่นสวนสาธารณะ หรือจตุรัสกลางเมือง เป็นต้น
ธเนศ วงศ์ยานนาวา ได้อธิบายไว้ในบทความเรื่อง “ฮาเบอร์มาส : ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือและศาสนา” ในหนังสือเล่มนี้ ว่าแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ ซึ่งเชื่อมโยงกันอย่างสำคัญกับการและเปลี่ยน-ถกเถียง ในปริมณฑลสาธารณะนั้นเกิดขึ้นจากการหาทางออกของวิวาทะกันระหว่างนักคิดสายชุมชนนิยม (Communitarianism) กับนักคิดสายเสรีภาพนิยม (Libertarianism) โดยฝ่ายฝ่ายชุมชนนิยมได้วิจารณ์ฝ่ายเสรีภาพนิยมว่าปัจเจกชนไม่สามารถที่จะดำรงตนอยู่คนเดียวโดยปราศจาก “ราก” ทางสังคมได้ และประชาธิปไตยไม่ได้เกิดจากการที่คนมีสถานะเป็นปัจเจก แต่มาจากการมีสาธารณกิจร่วมกัน ในขณะที่ฝ่ายเสรีภาพนิยมก็ได้วิจารณ์ฝ่ายชุมชนนิยมว่าแนวทางแบบชุมชนนิยมนั้นจะนำไปสู่ความเป็นทรราชย์ เพราะชุมชนแบบดั้งเดิมนั้นต้องการเอกภาพ และไม่เปิดรับต่อความหลากหลาย ดังนั้น การสร้างปริมณฑลสาธารณะขึ้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยนำจุดแข็งของทั้งสองแนวคิดมาเชื่อมโยงกัน และคงไว้ซึ่งคุณค่าของการประกอบสาธารณกิจร่วมกันและคุณค่าเรื่องการเปิดรับความคิดเห็นที่หลากหลายของปัจเจกชน [4]
ในหนังสือเรื่อง “The Structural Transformation of the Public Sphere : An Inquiry Into a Category of Bourgeois Society” ฮาเบอร์มาสได้อธิบายว่าชนชั้นกลางในสังคมตะวันตก ยุคศตวรรษที่ 18 สามารถพัฒนาวัฒนธรรมและทักษะการแลกเปลี่ยน-ถกเถียงในปริมณฑลสาธารณะจนกลายเป็นลักษณะที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ในตะวันตก โดยพื้นที่สาธารณะเช่นร้านกาแฟและหนังสือพิมพ์ล้วนแต่เป็นที่ฝึกฝนของกิจกรรมการวิจารณ์อย่างมีเหตุผล ทว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอุดมคติ เขายังชี้ให้เห็นถึงการกีดกันด้านเพศและทรัพย์สินของชนชั้นกระฎุมพี และการเสี่อมโทรมลงของปริมณฑลสาธารณะจนกลายเป็นเพียงการแสดงที่ว่างเปล่าของระบอบประชาธิปไตยจอมปลอมในศตวรรษที่ 20 [5] ในสังคมไทยนั้น เราก็อาจเห็นมุมที่เหมือนหรือแตกต่างจากสิ่งที่ฮาเบอร์มาสนำเสนอได้ไม่มากก็น้อย
ตามความเข้าใจของผู้เขียนบทความนี้ (ขอย้ำว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น) สังคมไทยได้ก่อรูปขึ้นจากชุมชนขนาดเล็กที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่กายภาพต่าง ๆ โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญคืออยู่ในพื้นที่เดียวกัน มีวิถีการผลิตร่วมกัน มีวัฒนธรรมร่วมกัน และมีอัตลักษณ์ร่วมกัน ซึ่งผู้เขียนจะขอเรียกชุมชนในลักษณะดังกล่าวว่า “ชุมชนแบบดั้งเดิม” ในชุมชนแบบดังกล่าวนั้น ปฏิเสธได้ยากว่าศาสนามีบทบาทนำในวิถีชีวิตของคนในชุมชน โดยเป็นทั้งวัฒนธรรม อัตลักษณ์ และขนบธรรมเนียมประเพณีอันเป็นส่วนหนึ่งของวิถีการผลิต
โดยตามคำอธิบายข้างต้นของธเนศ วงศ์ยานนาวา ชุมชนแบบดั้งเดิมนั้นต้องการเอกภาพ และไม่ได้เปิดรับต่อความแตกต่างหลากหลาย หรือความคิดเห็นส่วนบุคคล ประกอบกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยที่ไม่เอื้อต่อการถกเถียง และไม่ได้มีหลักคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพ ทำให้ในชุมชนแบบดั้งเดิมไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่า “ปริมณฑลสาธารณะ” อยู่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการแลกเปลี่ยน-ถกเถียงอยู่เลย ยังคงมีบ้างในบางวัฒนธรรมเช่นในกรณีของร้านน้ำชาในภาคใต้ แต่การแลกเปลี่ยน-ถกเถียงดังกล่าวก็ไม่ได้ยกระดับไปสู่ความเป็นสาธารณะ
ต่อมา เมื่อสังคมไทยพัฒนาไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ ก่อเกิดสังคมเมืองขึ้น ผู้คนในชุมชนท้องถิ่นต่างพากันอพยพเข้ามาหางานทำในเมือง และ “ชุมชนแบบดั้งเดิม” ก็ลดลง บ้างก็ปรับสภาพไปตามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทว่าแตกต่างจากในสังคมตะวันตกที่การก่อเกิดขึ้นและขยายตัวของสังคมเมืองนั้นช่วยให้ปริมณฑลสาธารณะเกิดขึ้นหรือขยายตัวขึ้นตามไปด้วย ในสังคมไทยนั้นการขยายตัวของสังคมเมืองยิ่งทำให้ปริมณฑลสาธารณะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ซ้ำร้ายยังทำลายวิถีของการแลกเปลี่ยน-ถกเถียง ที่มีอยู่ในชุมชนแบบดั้งเดิมอีกด้วย
ในขณะที่ชุมชนแบบดั้งเดิมค่อย ๆ ล้มหายตายจากไปเมื่อผู้คนเข้ามาหางานทำในเมืองแล้ว ชีวิตส่วนใหญ่ของพวกเขาล้วนอุทิศให้กับเศรษฐกิจในการทำงานเพื่อหาเงิน จนไม่มีเวลาเหลือให้กับความสัมพันธ์ทางสังคมใด ๆ มิพักจะต้องพูดถึงการถกเถียงสาธารณะ และการออกแบบพื้นที่สาธารณะในเมืองเองก็ไม่ได้รองรับให้เกิดปริมณฑลสาธารณะขึ้น เช่นสวนสาธารณะก็ถูกออกแบบมาเป็นสถานที่ออกกำลังกายแบบต่างคนต่างทำ มากกว่าเป็นพื้นที่ที่เหมาะกับการใช้งานร่วมกัน นี่ยังไม่ต้องพูดถึงห้องสมุด หรือพิพิธภัณฑ์ ที่นอกจากจะมีจำนวนที่น้อยยิ่งกว่าน้อยแล้ว ยังไม่ได้มีรูปแบบที่เหมาะกับการรองรับปริมณฑลสาธารณะอีก (และหากใครที่ดูการถ่ายทอดสดการอภิปรายในรัฐสภา ก็จะรู้ว่านั่นเป็นการต่างคนต่างพูดมากกว่าที่จะเป็นการแลกเปลี่ยน-ถกเถียง) และยิ่งในสภาพของโรคระบาดโควิท-19 การพบปะพูดคุยกันยิ่งเหลือน้อยกว่าน้อย ปริมณฑลสาธารณะอาจเหลือแต่เพียงการจัด Workshop ราคาแพงของชนชั้นกลางในเมือง ที่เต็มไปด้วยการกีดกันเช่นเดียวกับในตะวันตกยุคศตวรรษที่ 18
และแม้ว่าโลกอินเตอร์เน็ตจะเข้ามาช่วยในการที่ทำให้ปัจเจกชนมีโอกาสในการแสดงความคิดเห็นออกสู่สาธารณะ แต่ก็เป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่ได้มีโอกาสในการพัฒนาความคิดผ่านการแลกเปลี่ยน-ถกเถียง ตามแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ และโลกออนไลน์มักจะทำให้เราพบกับคนที่มีความเห็นตรงกันหรือคล้าย ๆ กัน มากกว่าจะนำไปสู่การเคารพความหลากหลายและความแตกต่างทางความคิด [6]
ที่มาภาพ: diggitmagazine.com
หลาย ๆ คนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจคิดว่าเมื่อวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมชุมชนอ่อนแอลงหรือสลายตัวไป แล้วศาสนาจะลดอิทธิพลลงตามไปด้วย ขอบอกเลยครับว่าคุณคิดผิด เพราะในขณะที่สังคมไทยกำลังพัฒนาความเป็นสมัยใหม่ขึ้นนั้น ก็ได้เกิดการปฏิรูปทางศาสนาที่รวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางขึ้น ทำให้ศาสนานั้นมีบทบาทที่ผูกติดกับศูนย์กลางอำนาจอย่างแยกไม่ออก แม้ว่าศาสนาจะลดบทบาทลงในวิถีชีวิตของชุมชนหรือผู้คนทั่วไปในสังคม แต่ศาสนากลายเป็นส่วนหนึ่งของ “รัฐเหนือรัฐ” ที่มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธาณะต่าง ๆ อย่างมหาศาล การต่อต้านนโยบายการุณยฆาตสัตว์จรจัด หรือการห้ามขายสุราในวันสำคัญทางศาสนาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของกรณีดังกล่าว และในปัจจุบันนี้เราก็เสียงบประมาณไปกับการ “ทำนุบำรุงพุทธศาสนา” ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนไว้เป็นจำนวนมาก ทำให้สิ่งที่เรียกว่า “รัฐที่เป็นกลางทางศาสนา” นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่เลยในสังคมไทย แม้ว่าเราอาจเห็นแนวโน้มของศาสนาที่ลดอิทธิพลลงในวิถีชีวิตของคนทั่วไปในสังคมก็ตาม [7] เช่นที่โรงเรียนของผู้เขียน เมื่อครูถามเพื่อนในชั้นเรียนว่ามีใครที่นับถือศาสนาบ้าง ปรากฏว่ามีคนที่ยกมือและไม่ยกมือแบ่งเป็นครึ่ง-ครึ่ง ซึ่งเราไม่อาจเห็นหรือแม้แต่คาดคิดถึงปรากฏการณ์นี้ได้เลยในระยะเวลา 20 ปีก่อน แต่แม้กระนั้นในปัจจุบัน ความคิดแบบพุทธก็ยังคงมีอิทธิพลอย่างสูงในกรอบมโนทัศน์ของผู้คนในสังคมไทย [8]
ในขณะที่ฮาเบอร์มาสคิดเรื่อง “สังคมแบบหลังฆราวาส” ขึ้นในบริบทของเยอรมนีในยุคที่มีรัฐที่เป็นกลางทางศาสนา มีพื้นที่สาธารณะที่กว้างขวางและศาสนาแยกขาดจากพื้นที่สาธารณะ มีพลเมืองที่ไม่นับถือศาสนาเป็นคนส่วนใหญ่ และมีการอพยพเข้ามาของพลเมืองฝ่ายศาสนาที่ลี้ภัยสงครามมาจากที่อื่น ๆ นำไปสู่การถกเถียงระหว่างนักคิดสายฆราวาสนิยมกับนักคิดสายพหุวัฒนธรรมนิยม ซึ่งเราจะพบว่าบริบทดังกล่าวนั้นช่างห่างไกลกับบริบทของสังคมไทยที่เราเป็นอยู่ ณ ตอนนี้เสียเหลือเกิน
ดังนั้น การนำเอาแนวคิดของฮาเบอร์มาสมานำเสนอแก่สังคมไทยจึงนำไปสู่ปัญหาจำนวนมาก ดังที่เฮเลน เจมส์ ได้กล่าวไว้ในบทความเรื่อง “รัฐฆราวาสและความรุนแรงในรัฐพุทธ : กรณีของไทยและเมียนมาร์” ว่าการอธิบายเรื่อง “สังคมแบบหลังฆราวาส” ให้ผู้คนที่อยู่ในไทยและเมียนมาร์เข้าใจนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก [9] เนื่องจากในสังคมไทยนั้นทั้งไม่มีปริมณฑลสาธารณะ ไม่มีรัฐที่เป็นกลางทางศาสนา และพลเมืองที่ไม่นับถือศาสนายังเป็นกลุ่มคนที่น้อยมาก ๆ ในสังคม
อีกสิ่งหนึ่งที่เราควรจะเรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้คือสังคมไทยจะหาทางออกจากสภาพที่เป็นอยู่นี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าการสร้างรัฐที่เป็นกลางทางศาสนาสำคัญมาก ๆ ในสังคมไทย แต่ผู้เขียนจะไม่อภิปรายถึงประเด็นดังกล่าวเนื่องจากมีผู้อภิปรายถึงประเด็นนี้ค่อนข้างมากแล้ว สำหรับผู้เขียน จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องสร้างพื้นที่สาธารณะขึ้นมาเพื่อรองรับปริมณฑลสาธารณะ และหน่วยงานภาครัฐควรเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยน -ถกเถียงในปริมณฑลสาธารณะขึ้นด้วยซ้ำ โดยถ้าคิดไปไกลที่สุดคือการที่ทำให้ข้อสรุปของการถกเถียงดังกล่าวนำไปสู่ผลทางนโยบายตามแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ ที่ไม่ได้มองว่าพลเมืองมีแนวคิดที่สำเร็จรูป-ตายตัว แต่ค่อย ๆ ก่อรูปแนวคิดขึ้นในกระบวนการถกเถียง-แลกเปลี่ยนในปริมณฑลสาธารณะ [10] แต่หากมองจากสภาพในปัจจุบันแล้วย่อมเป็นไปได้ยาก พื้นที่สาธารณะบางพื้นที่ (เช่นสถานีรถไฟหัวลำโพง) ยังถูกกีดกันไม่ให้คนบางกลุ่ม (เช่น กลุ่มคนไร้บ้าน) เข้าถึง และสภาพทางเศรษฐกิจที่ทำให้คนไม่มีเวลาว่างในการมาถกเถียงในปริมณฑลสาธารณะ เป็นต้น
ในหนังสือเล่มนี้ ฮาเบอร์มาสกล่าวว่าทั้งกลุ่มพลเมืองที่เป็น Secular ในฐานะผู้ถืออำนาจรัฐ กับพลเมืองฝ่ายศาสนาที่อพยพเข้ามานั้นจำเป็นต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกันผ่านการแปลภาษาของศาสนาไปสู่ภาษาแบบ Secular เพื่อนำไปสู่ผลทางนโยบาย ส่วนตัวผู้เขียนมองว่าแม้สังคมไทยจะมีบริบทที่แตกต่างไปอย่างมากดังกล่าวข้างต้น แต่กระบวนการเรียนรู้-แลกเปลี่ยน ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่ควรจะเกิดขึ้นในสังคมไทย โดยอาจเริ่มต้นจากในพื้นที่ปลอดภัยก่อน ก่อนจะขยายตัวไปยังพื้นที่สาธารณะ โดยการนำเอาเรื่องศาสนา (หรือเรื่องอื่น ๆ ที่มีความละเอียดอ่อน) มาเข้าสู่กระบวนการพูดคุย-แลกเปลี่ยนสาธารณะนั้น ย่อมจะมีผลในการสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างความแตกต่างหลากหลาย ตลอดจนลดการกลั่นแกล้งกัน และช่วยให้แต่ละฝ่ายมีความอดกลั้น (Toleration) ต่อกันและกันให้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้มีพื้นที่ในการวิพากษ์วิจารณ์พุทธศาสนาอย่างตรงไปตรงมามากขึ้น ซึ่งสังคมไทยขาดสิ่งนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งอาจไม่ได้จำเป็นต้องใช้การแปลภาษาอะไรมาก เนื่องจากไม่ได้ต้องเข้าสู่กระบวนการออกแบบนโยบาย เพียงแต่ให้ใช้ภาษาที่พลเมืองที่นับถือความเชื่ออื่นหรือแนวคิดอื่นเข้าใจตรงกันได้ก็เพียงพอแล้ว
สุดท้ายนี้ แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นหนังสือวิชาการที่เต็มไปด้วยศัพท์แสง แนวคิด และสำนวนที่อ่านยาก แต่ด้วยคุณค่าของแนวคิดที่สามารถนำมาย้อนมอง วิพากษ์ และคิดต่อเกี่ยวกับสังคมไทย หนังสือเล่มนี้นับว่าเป็นหนังสือที่ควรค่าแก่การอ่านเป็นอย่างยิ่งครับ
[1] ธีรภพ เต็งประวัติ . (2564) . ประวัติศาสตร์ของแนวคิดโลกวิสัยในสังคมไทย : อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
[2] สุรพศ ทวีศักดิ์ . (2560) . จากพุทธศาสนาแห่งรัฐสู่พุทธศาสนาที่เป็นอิสระจากรัฐ . กรุงเทพฯ ; สยามปริทัศน์ หน้า 162-163,171
[3] สุรพศ ทวีศักดิ์ .(2564) . เปรียบเทียบการปฏิรูปศาสนาคริสต์-พุทธ และสังคมโลกวิสัย . กรุงเทพฯ ; สยามปริทัศน์ หน้า 243,264-267
[4] พิพัฒน์ พสุธารชาติ (บรรณาธิการ) . (2562) . ฮาเบอร์มาสกับสังคมแบบหลังฆราวาส . กรุงเทพฯ ; Illuminations Editions . หน้า 167-169
[5] พิพัฒน์ พสุธารชาติ (บรรณาธิการ) . (2562) . อ้างแล้ว . หน้า 113
[6] เอซิโอ มานซินี่ . (2562) . การเมืองแห่งชีวิตประจำวัน . แปลจาก Politics of The Everyday โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ . นนทบุรี ; อินี่ เครือข่ายนวัตกรรมสากล
[7] การที่สังคมส่วนล่างมีความเป็นฆราวาสมากขึ้น ในขณะที่ศาสนาเข้าไปมีบทบาทใน “รัฐเหนือรัฐ” มาจากคำอธิบายใน Thomas Larsson . (2019) . Secularisation, secularism, and the Thai state .in Pavin Chachavalpongpun (Editor) . ROUTLEDGE HANDBOOK OF CONTEMPORARY THAILAND . New York ; Routledge . Page 278-290
[8] ดูคำอธิบายเรื่องอิทธิพลของพุทธศาสนาต่อกรอบมโนทัศน์ของผู้คนใน ธงชัย วินิจจะกูล . (2560) . เมื่อสยามพลิกผัน : ว่าด้วยกรอบมโนทัศน์พื้นฐานของสยามยุคสมัยใหม่ . นนทบุรี ; ฟ้าเดียวกัน
[9] เฮเลน เจมส์ . (2562) . รัฐฆราวาสและความรุนแรงในรัฐพุทธ : กรณีของไทยและเมียนมา . แปลจาก Secularism and Violence in the Buddhist State , Paper for the Parliament of the World’s Religions โดย ลลิตา หาญวงษ์ . ใน ปรีดี หงษ์สต้น และ อัมพร หมาดเด็น (บรรณาธิการ) . ศาสนากับความรุนแรง . กรุงเทพฯ ; Illuminations Editions . หน้า 308-329
หน้าที่เข้าชม | 199,076 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,347 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |