Q : จุดประสงค์ของการศึกษานี้คือ?
A : ดูเหมือนว่าเรา (คนไทย) ในปัจจุบันรู้จักประเทศศรีลังกาในด้านนี้น้อยมาก หมายถึงประเทศศรีลังกาหลังได้รับเอกราชว่าเป็นประเทศที่เคยเกิดปัญหาความขัดแย้งทางด้านชาติพันธุ์และศาสนา ที่ผ่านมาเรารับรู้เรื่องของศรีลังกาผ่านการศึกษาภาษาไทย ซึ่งส่วนมากเน้นไปที่ประเทศอันเป็นต้นธารของพุทธศาสนานิกายเถรวาทเป็นหลัก และแทบไม่มีการศึกษาพัฒนาการและพลวัตทางประวัติศาสตร์ของศรีลังกาต่อมาอีกจนกระทั่งสงครามกลางเมืองศรีลังกาปะทุรุนแรงขึ้นมา สงครามกลางเมืองและการแทรกแซงจากนานาชาติได้ทำให้ความขัดแย้งอันยืดเยื้อนี้เป็นที่สนใจต่อชาวโลก รู้จักในฐานะสงครามกลางเมืองของทมิฬและสิงหล โลกวิชาการภาษาอังกฤษอาศัยความสนใจนี้เข้าถึงปัญหาทางวิชาการแล้วชี้ว่าพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาเถรวาทเป็นสาเหตุสำคัญด้านหนึ่งของความขัดแย้ง ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า “ศาสนา” คือต้นเหตุ หรือ “เครื่องมือ” ของการเมือง แต่มันมีสาเหตุที่ซับซ้อนที่ชี้ให้ถึงปัจจัยหลายๆ อย่างที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นความขัดแย้ง ทั้งอาณานิคม ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ แล้วศาสนาเข้าไปมีบทบาทหนึ่งในนั้น นี่เป็นจุดประสงค์หนึ่งที่การศึกษานี้ต้องการสื่อสารกับผู้อ่านทั้งในและนอกวงการวิชาการ
Q : ศรีลังกาหลังได้รับเอกราชเป็นเช่นไร?
A : การถ่ายโอนอำนาจค่อนข้างเป็นไปด้วยความราบรื่น กล่าวคือไม่มีการปะทะรุนแรงจนถึงขั้นสูญเสียเลือดเนื้อ เป็นเพราะว่าเจ้าอาณานิคมอังกฤษได้ส่งต่ออำนาจการปกครองให้กับกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับเจ้าอาณานิคมอยู่แล้ว
Q : คนกลุ่มนี้เป็นใคร?
A : เป็นตระกูลชนชั้นปกครองที่ทำงานกับรัฐบาลอาณานิคมอังกฤษมาตั้งแต่ก่อนได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1948
Q : จุดเปลี่ยนทางการเมืองของศรีลังกาเกิดขึ้นจากตรงไหน?
A : มีสองสาเหตุคือ จากเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และความเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้ายในศรีลังกากำลังขึ้นมาเป็นการเมืองกระแสหลัก เป็นการปลุกกระแสชนชั้นแรงงานและกลุ่มสนับสนุนต่างๆ ขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล ซึ่งโชคไม่ดีที่เกิดการใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ประท้วง กลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายนำโดยบุคคลสำคัญคือ นายกูนเนสินฮา เขาเคลื่อนไหวอยู่กับขบวนการแรงงานมากมาย จนกระทั่งตั้งพรรคแรงงานซีลอนขึ้น พรรคแรงงานซีลอนนี้เข้าไปมีบทบาทในสภาแห่งชาติ พรรคฯ นี้มีคานธีเป็นต้นแบบ ในช่วงแรกๆ นี้พวกเขาเคลื่อนไหวต่อต้านอาณานิคมอังกฤษ จนกระทั่งพุทธศาสนาเริ่มเข้ามามีบทบาทในการเมืองฝ่ายซ้าย ผมคิดว่านี่เป็นพลวัตทางการเมืองที่สำคัญของศรีลังกาคือการที่มีกลุ่มพระสงฆ์เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมือง
Q : พระสงฆ์ในศรีลังกาเข้ามามีบทบาททางการเมืองได้อย่างไร? และไม่ถูกต่อต้าน?

การต่อต้านองค์กรพุทธพลเสนา
A : เนื่องจากการเมืองของศรีลังกามีความพิเศษตรงที่ หลังได้รับเอกราชเป็นต้นมาศรีลังกายึดถือการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภามาตลอด แต่ถึงอย่างนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมที่เป็นปัญหาของคนส่วนใหญ่คือความยากจนยังไม่ถูกรับรู้และได้รับการแก้ไขในการเมืองระดับชาติ นักสังคมวิทยาอย่างทัมไบอาห์ (S. J. Tambiah) ที่ศึกษาสังคมวิทยาศาสนาพุทธทั้งในศรีลังกาและไทยเคยให้ความเห็นที่น่าสนใจไว้ว่า การบวชพระสงฆ์ในสังคมที่นับถือศาสนาพุทธเป็นบันไดเปลี่ยนแปลงชนชั้นทางสังคมได้ในระดับหนึ่ง คือบวชแล้วได้รับโอกาสในการศึกษาในเมืองหลวง ได้ใช้ชีวิตในสังคมเมืองหลวง คือมีโอกาสที่มากกว่าชาวนาชาวไร่ทั่วไป ในแง่นี้พระสงฆ์ในศรีลังกาซึ่งมีพื้นเพมาจากสังคมชนบทจึงใช้สถานะพิเศษนี้เป็นตัวเชื่อมให้กับพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายได้รับรู้ถึงปัญหาความยากจนในสังคมชนบท ดังที่ได้ยกตัวอย่างชื่อพระสงฆ์สองสามองค์ในบทความ ที่เป็นผู้เข้าไปเคลื่อนไหวกับกับคนจนในชนบทโดยตรง พวกท่านเป็นตัวกลางเชื่อมพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายกับประชาชนอีกที บวกกับแรงขับเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้พรรคแรงงานได้ฐานเสียงจากตรงนี้มาก คิดว่าจุดเชื่อมสำคัญตรงนี้ที่ประเด็นการต่อต้านพระสงฆ์ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ในศรีลังกา หรือถ้ามีก็อาจจะมีน้อยมาก
Q : ความขัดแย้งสิงหล-ทมิฬ เกิดขึ้นหลังจากศรีลังกาได้รับเอกราชเลยหรือไม่? และเกิดจากสาเหตุใด?
A : หลังได้รับเอกราช พรรคสหชาติที่เป็นพรรคสืบทอดอำนาจจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษยังมีสายสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มกระฎุมพีทมิฬ ซึ่งต่อมาพวกเขาตั้งสภาซีลอนทมิฬ (Ceylon Tamil Congress) ขึ้นมามีบทบาทในสภาแห่งชาติเหมือนกัน ช่วงเวลาที่สำคัญที่ทำให้แรงตึงเครียดของสิงหล-ทมิฬเกิดขึ้นคือช่วงปีพุทธชยันตีหรือปีกึ่งพุทธกาล

องค์กรเคลื่อนไหวพุทธพลเสนา
Q : ปีพุทธชยันตี หรือกึ่งพุทธกาล ค.ศ. 1956 มีความสำคัญอย่างไร อะไรเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเมืองศรีลังกาที่เกิดขึ้นในปีนี้?
A : ชาวพุทธนิกายเถรวาทถือคติร่วมกันว่า วาระนี้เป็นการเข้าสู่สถาวะเสื่อมลงของศาสนาพุทธ (ที่อื่นๆ รวมทั้งไทยก็เช่นกัน) ดังนั้นชาวพุทธศรีลังกาจึงใช้โอกาสแห่งวาระนี้ในการรื้อฟื้นมรดกของพุทธศาสนาเถรวาทขึ้นมาใหม่ ประเด็นสำคัญอันหนึ่งคือการพยายามทำให้มรดกของชาวสิงหลไม่ว่าจะเป็นภาษาสิงหล ศาสนาพุทธเถรวาท และวัฒนธรรมพุทธสิงหล ขึ้นมามีสถานะสำคัญเหนือกลุ่มอื่นๆ ในประเทศศรีลังกา นายบันดาราไนยเกได้ใช้พลังพุทธนี้ในการหาเสียงจนกระทั่งได้รับชัยชนะ หลังจากได้รับการเลือกตั้งแล้วรัฐบาลของเขาได้ออกกฎหมายที่เรียกว่า Sinhala Only Bill คือการออกกฎหมายใช้ภาษาสิงหลเป็นภาษาราชการ เป็นกฎหมายสำคัญที่ทำให้เกิดการประท้วงขึ้นหลายระลอก แน่นอนว่ากลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบเสียหายมากที่สุดคือชาวทมิฬที่ไม่รู้ภาษาสิงหล โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ที่มีชาวทมิฬอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ความขัดแย้งของสิงหลและทมิฬเริ่มต้นจากจุดนี้
Q : ก่อนหน้านี้พูดถึงกลุ่มชาวทมิฬในสภาแห่งชาติ พวกเขามีแนวทางในการเรียกร้องอย่างไร ต่อความไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นนี้?
A : ชาวทมิฬตั้งพรรคสหพันธรัฐ (Federal Party) พวกเขาเรียกร้องให้มีการลงนามในข้อตกลงบันดาราไนยเก-เชลวันนายากัม (Bandaranaike - Chelvanayagam Pact) เป็นข้อเรียกร้องให้ชาวทมิฬมีสิทธิ์ในการปกครองตนเอง และขอให้เกิดความเท่าเทียมกันของภาษาทมิฬเป็นภาษาราชการควบคู่ไปกับภาษาสิงหลในพื้นที่ที่มีชาวทมิฬอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น แต่ทว่าไม่เป็นผลสำเร็จ ที่มากไปกว่านั้นคือ พลังของพุทธศาสนาได้เริ่มเข้ามาเป็นแรงกดดันอันสำคัญหนึ่งที่ทำให้ข้อตกลงระหว่างสิงหล-ทมิฬนี้เป็นอันต้องล้มเหลวไป สถานการณ์การเรียกร้องของกลุ่มต่างๆ ยกระดับขึ้นไปเป็นความรุนแรงภายในเวลาอันสั้น

Q : พลังพุทธศาสนานี้ประกอบไปด้วยใครบ้าง?
A : พลังพุทธศาสนานี้ไม่ใช่มีแต่พระสงฆ์ฝ่ายเดียว ยังประกอบไปด้วยปัญญาชนฆราวาสที่ได้รับการศึกษาระดับสูง ตั้งสภาพุทธบริษัทแห่งซีลอนทั้งมวลขึ้นมาเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งต้องทำตามข้อเรียกร้องของพวกเขา พลังพุทธนี้ทรงอิทธิพลทั้งในระดับชาติอีกทั้งยังมีบทบาทข้ามชาติด้วย หลังได้รับเอกราชเป็นต้นมาพุทธศาสนาเถรวาทในศรีลังกาจึงค่อยๆ ปรับตัวจากพลวัตทางการเมืองนี้ จากเดิมที่เคยเคลื่อนไหวในแนวทางสังคมนิยมกับชนชั้นแรงงานในเมืองและชนบท กลายมาเป็นพลังที่ผลักออกและกีดกันความเป็นอื่นที่มิใช่พุทธให้ออกไปเป็นกลุ่มชายขอบของการเมืองระดับชาติ แน่นอนว่ากลุ่มที่ได้ผลกระทบเต็มที่เป็นอันดับแรกคือชนชาติทมิฬ
Q : ความโชคร้ายของชาวทมิฬถึงขั้นไหน?
A : ทมิฬไม่ใช่แค่กลายเป็นกลุ่มชายขอบของการเมืองระดับชาติ พวกเขายังถูกบดบังด้วยวิถีแห่งประวัติศาสตร์ของชนชาติสิงหล ทัมไบอาห์เป็นผู้เสนอไว้ว่าการรื้อฟื้นพุทธครั้งที่สองหลังได้รับเอกราชนี้ได้มีการรื้อฟื้นเอาคัมภีร์โบราณรวมทั้งตำนานของพุทธศาสนา แล้วทำให้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เพียงเท่านั้นยังถูกทำให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับความเป็นสิงหลด้วย ในคัมภีร์มหาวงศ์ และจุลวงศ์ ทมิฬมีฐานะเป็นชนชาติอื่นที่มารุกราน จนทำให้วีรกษัตริย์ของชนชาติสิงหลต้องเสด็จมาปราบออกไป พุทธศาสนาจึงตั้งมั่นในศรีลังกาได้นับแต่นั้นมา
Q : เรียกได้ว่าประกาศเป็นศัตรูกันเลยทีเดียว?
A : เรียกได้ว่าความเป็นพุทธสิงหลนี้เองที่ตัดสินใจดำเนินนโยบายทางการทหารแบบไม่อ่อนข้อต่อทมิฬในสหัสวรรษใหม่ของศรีลังกา จนกระทั่งกลุ่มพยัคฆ์ปลดปล่อยทมิฬอีแลมพ่ายแพ้ไปในปีค.ศ. 2009 นับเป็นสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุด และสร้างความเสียหายอย่างโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ

ขบวนการ JHU
Q : หลังสงครามกลางเมืองความเป็นพุทธสิงหลนี้ไม่ได้ลดลงไปเลย?
A : พลังพุทธสิงหลถือว่าการปราบปรามกลุ่มพยัคฆ์ปลดปล่อยทมิฬอีลัมได้เป็นชัยชนะครั้งสำคัญของพวกเขา ระหว่างการต่อสู้ปราบปรามกลุ่มพยัคฆ์ปลดปล่อยฯ พลังพุทธที่สำคัญได้แก่พระสงฆ์ ได้ให้การสนับสนุนนโยบายแข็งกร้าวของรัฐบาลศรีลังกาเสมอมา ในด้านของพวกท่านเองนั้นก็เกิดปรากฏการณ์สำคัญขึ้นเช่นกันคือการตั้งพรรคชาติกาเหละอุรุมายะ หรือ JHU แล้วส่งพระสงฆ์สองร้อยรูปเข้าลงสมัครรับเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2004 ถือว่าเป็นปรากฏการณ์แปลกใหม่และสำคัญมากต่อประวัติศาสตร์การเมืองของศรีลังกา
Q : จุดประสงค์เพื่อ?
A : พวกเขาต้องการสร้างธรรมรัฐ เขามีหลักการสิบสองข้อที่สรุปได้ใจความสั้นๆ ว่า ศรีลังกาต้องถูกปกครองด้วยหลักศาสนาพุทธ ปฏิเสธศาสนาอื่น และปฏิเสธการประณีประณอมกับกลุ่ม LTTE ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
Q : ไม่อยากจะนึกถึงผลเลย
A : ผลคือ พวกเขาชนะเลือกตั้ง ได้ถึง 9 ที่นั่งในสภา
Q : เมื่อมาถึงขั้นนี้ก็คงจะต้องถามว่า ต่อมาเป็นยังไง?
A : พรรค JHU นี้เองที่เป็นผู้ริเริ่มทำให้ความเป็นมุสลิมอยู่ตรงข้ามกับชาวพุทธ ทั้งจากกรณีเรื่องจัดสรรที่ดินให้ชาวมุสลิมไปอยู่เขตเดียวกับวัดพุทธโบราณ ต่อมาพระสงฆ์ในเมืองอนุราธปุระเป็นผู้นำกลุ่มไปทำลายสถานที่เคารพของชาวมุสลิม ยังมีพระสงฆ์ก่อม๊อบไปทำลายมัสยิด ความขัดแย้งนี้ยืดเยื้อจนกระทั่งล่าสุดมีการตั้งกลุ่มพุทธพลเสนา หรือ BBS ขึ้นในปี ค.ศ. 2012
Q : BBS มีผู้สนับสนุนมากขนาดไหน?
A : BBS คือความเคลื่อนไหวล่าสุด เป็นองค์กรที่แยกออกมาจาก JHU แม้จะมีความคิดเห็นที่ไม่เหมือนในบางประการ คือการไม่เห็นด้วยที่พระสงฆ์เล่นการเมือง แต่ก็มีจุดเชื่อมโยงเดียวกัน เป็นกลุ่มพุทธจัด งานที่สำรวจล่าสุดที่ศึกษาเกี่ยวกับประเด็นนี้คือ ค.ศ. 2016 นิรมาล รันจิต เทวะสิริ ได้ชี้ให้เห็นข้อสรุปว่า ปรากฏการณ์พุทธจัดที่เกิดขึ้นในศรีลังกาช่วงศควรรษที่ 21 ส่วนหนึ่งเป็นพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของความเป็นพุทธสิงหล ทั้ง JHU และ BBS สอง กลุ่มผู้สนับสนุนส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว ทั้งพระสงฆ์และฆราวาส และสามแนวทางแบบพุทธจัดนี้ กลายเป็นส่วนหนึ่งของความคิดพุทธสิงหลชาตินิยมไปแล้ว
Q : คำที่ดูเหมือนเป็นกุญแจสำคัญของบทสรุปคือ “พุทธจัด” ช่วยอธิบายขยายความ เพื่อไม่ให้เป็นการเข้าใจผิดว่าเป็นการเหมารวมว่าองค์กรพระสงฆ์ในศรีลังกามีลักษณะเช่นนี้ทั้งหมด?
A : พุทธจัด หรือ Extreme Buddhism เป็นคำที่ใช้ในการอธิบายเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่มีการสนับสนุนจากพระสงฆ์ เช่น การที่นายบันดาราไนยเกถูกพระสงฆ์จากองค์กรแนวร่วมของพระสงฆ์ลอบยิงเสียชีวิต และกลุ่มองค์กรของพระสงฆ์ที่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงกับชาวทมิฬและต่อมาชาวมุสลิม เป็นต้น
คำว่าพุทธจัดมิได้เป็นการอธิบายสภาวะการเมืองพุทธศาสนาทั้งหมดในศรีลังกาสมัยใหม่
___________________________________________________________________________________________________________________