ผู้เขียน ยสวัต ป้อมเย็น
“เราแก้ปัญหาไม่ได้ ถ้าเราไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร”
ประโยคข้างต้นนี้ ผมคิดว่าใคร ๆ ก็รู้และเห็นตรงกันว่าก่อนที่เราจะเริ่มแก้ปัญหาอะไรซักอย่าง เราต้องรู้ก่อนว่าปัญหาคืออะไร อยู่ที่ตรงไหน ขนาดของปัญหามีมากเท่าใด และต้นตอของปัญหาคืออะไร
โรคภัยไข้เจ็บก็เช่นกัน เป็นเวลาเนิ่นนานมากกว่าที่มนุษย์จะรู้ว่าหลาย ๆ โรคที่เกิดกับมนุษย์นั้นเกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจิ๋วที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อสืบเผ่าและขยายพันธุ์ของพวกมันให้คงอยู่ตลอดไป จากประวัติศาสตร์ของมนุษย์หลายแสนปีที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่มองไม่เห็น อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์อยู่แค่เพียงสามสิบถึงสี่สิบปีเท่านั้น มีคนจำนวนมากที่พยายามอธิบายว่าโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เกิดจากอะไร แต่เพราะไม่รู้ว่าต้นตอมาจากอะไร จึงไม่สามารถอธิบายมันได้ ส่งผลให้ทำอะไรกับมันไม่ได้มากไปกว่าบรรเทาอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
หนังสือ “เมื่อโลกติดเชื้อ ฉบับกระชับ” ที่แปลมาจาก Infectious Disease: A Very Short Introduction เขียนโดยมาร์ทา เวนย์ และเบนจามิน โบลเกอร์ แปลโดยปารุสก์ เกยุราพันธ์ คู่กับ อ.ป๋วย อุ่นใจ มีบรรณาธิการคือ อ.นำชัย ชีววิวรรธน์นั้น เป็นจุดตั้งต้นที่ดีมากจุดหนึ่งที่จะทำให้คนทั่วไป ที่ไม่ได้มีพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ สามารถทำความเข้าใจถึง “ปัญหา” โรคติดเชื้อที่มนุษยชาติกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งมีทั้งโรคที่วิวัฒนาการมาคู่กับมนุษย์อย่างยาวนาน โรคในสัตว์ที่ไม่ได้มีผลกระทบกับมนุษย์โดยตรง และโรคอุบัติใหม่ไม่เกินห้าสิบปีนี้ แต่ทั้งหมดสร้างความสูญเสียทั้ง สุขภาวะ เศรษฐกิจ และชีวิตอย่างมหาศาล
“โลกติดเชื้อ ฉบับกระชับ” เลือกนำเสนอการติดเชื้อที่คุกคามโลกของเราผ่านสี่โรคร้ายในมนุษย์ และโรคเชื้อราในสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ความน่าสนใจก็คือโรคที่ผู้เขียนเลือกมา โรคเหล่านี้สร้างความสูญเสียกับมนุษยชาติโดยรวมเป็นหลัก ได้แก่ไข้หวัดใหญ่ (influenza) เอชไอวี/เอดส์ (HIV/AIDS) อหิวาตกโรค (Cholerae) มาลาเรียหรือไข้จับสั่น (Malaria) และสุดท้ายคือเชื้อรา Bd (Batrachochytrium dendrobatidis) ที่ก่อโรคในสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
บทแรกจะเกริ่นนำเกี่ยวกับปัญหาโดยรวมของโรคติดเชื้อ โดยมองผ่านกระบวนการทางนิเวศวิทยาและวิวัฒนาการ ซึ่งแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้ว่าโรคติดเชื้อต่าง ๆ นั้นอยู่กับมนุษยชาติมายาวนานขนาดไหน และเราศึกษาโรคเหล่านี้อย่างไรแบบองค์รวม บทที่สองจะเริ่มอธิบายคอนเซ็ปต์ของ “ตัวกรอง” หรือ Filter ที่โรคและมนุษย์จะต้องผ่านเพื่อมาเจอกันและติดเชื้อได้ในที่สุด จากนั้นบทที่สองจึงอธิบายหลักการศึกษากระบวนการแพร่ระบาดด้วยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่าแบบจำลองแยกส่วน หรือ Compartmental Model ที่เรารู้จักกันในรูปแบบพื้นฐานที่สุดคือ SIR (Susceptible-Infected-Recovered) model รวมไปถึงหนึ่งในตัวเลขที่มีความสำคัญที่สุดในแบบจำลองนี้: ค่าอาร์หนอท - R0 หรือก็คือค่าอัตราการแพร่เชื้อพื้นฐาน (Basic Reproductive Number) ซึ่งอธิบายทั้งสองเรื่องนี้ได้ดีสำหรับผู้ที่ไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อน
SIR (Susceptible-Infected-Recovered) model
โรคแรกที่หนังสือนำเสนอคือไข้หวัดใหญ่อินฟลูเอนซา หรือฟลู ที่เกิดโดยการติดเชื้อไวรัส Influenza A/B ในมนุษย์นั่นเอง ที่ผู้เขียนเลือกนำเสนอโรคนี้ก่อนเป็นเพราะการประเมินว่าไข้หวัดใหญ่คร่าชีวิตมนุษย์ไปมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ในที่นี้ก็คือเหตุการณ์ระบาดใหญ่ของไข้หวัด (Great Influenza Pandemic 1918) นั่นเอง นักวิทยาศาสตร์ แพทย์ และเศรษฐี (บิล เกตส์) ต่างลงความเห็นตรงกันมานานแล้วว่าโรคระบาดใหญ่ครั้งต่อไปของมนุษยชาติน่าจะมาจากไข้หวัดใหญ่นี่แหละ แต่ COVID-19 ก็หักปากกาเซียนกันไปหมด ในบทนี้ผู้เขียนอธิบายถึงการกลายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่ว่าสามารถกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วได้อย่างไร และผลจากการกลายพันธุ์เหล่านั้นเองก็นำไปสู่คำอธิบายว่าทำไมเราถึงต้องฉีดวัดซีนไข้หวัดใหญ่กันรายปี และทำไมเราถึงสร้างวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ป้องกันเราได้ชั่วกาลนานยังไม่ได้เสียที จากนั้นก็อธิบายถึงโปรตีนสองชนิดที่เป็นเสมือนหนึ่งเสื้อผ้าของไวรัสที่มันสามารถสลัดทิ้งได้ราวกับฟาสต์แฟชั่นก็ไม่ปาน นั่นก็คือฮีแมกกลูตินินและนิวรามินิเดส (Heamagglutinin; HA และ Neuraminidase; NA) จุดนี้เองจึงเป็นที่มาของการเรียกสายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่ที่มีมากเสียจนจำกันไม่หวาดไหวนั่นเอง
ทหารจาก Fort Riley, Kansas ป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่สเปน เมื่อปี ค.ศ.1918 ที่หอผู้ป่วยที่ Camp Funston
โรคต่อมาก็คือ HIV/AIDS ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่ (Emerging Disease) เพราะว่าเพิ่งเกิดการระบาดได้ไม่นาน (ไม่เกิน 50 ปีนี้) แต่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วทั้งโลก ในบทนี้อธิบายถึงลักษณะเด่นบางประการที่ทำให้การรักษาผู้ป่วย HIV ให้หายขาดได้นั้นยากเย็นเข็ญใจเหลือเกิน จากนั้นจะอธิบายถึงการกลายพันธุ์แบบหนึ่งของมนุษย์ที่ทำให้บางคนนั้นสามารถ “ต้านทาน” การติดเชื้อ HIV ได้ และนำไปสู่การหายขาดจาก HIV ได้ราวปาฏิหารย์ (แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ มันเป็นเพราะวิทยาศาสตร์ต่างหากเล่า!!) รวมไปถึงเหตุผลที่ว่าทำไมการรักษาให้หายขาดแบบผู้ป่วยคนนั้นถึงยังคงยากที่จะทำให้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยเอดส์ทั่วโลก ในบทนี้อธิบายเครื่องมือการศึกษาเชื้อโรคอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือต้นไม้ไฟโลเจเนติก (Phylogenetic tree) ซึ่งเอาไว้อธิบายความเกี่ยวดองกันระหว่างเชื้อชนิดเดียวกันที่มาจากหลาย ๆ แหล่ง พูดเป็นภาษาคนทั่วไปก็คือเหมือนการ “นับญาติ” กันนั่นแหละ แต่ในระดับโมเลกุลดีเอ็นเอ (ส่วน HIV นั้นเป็นไวรัสที่ใช้ RNA เป็นสารพันธุกรรม เพราะงั้นก็เป็นการนับญาติในระดับอาร์เอ็นเอแทน)
ภาพสแกนของเซลล์ภายในร่างกายที่เผยให้เห็นการแตกตัวของไวรัส เอชไอวี
โรคถัดมาคืออหิวาตกโรค หรือก็คือการติดเชื้อ Vibrio cholera นั่นเอง โรคนี้ดูเผิน ๆ แล้วผู้อ่านอาจจะสงสัยว่ามันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ? ทำไมต้องเอามารวม? ความน่าสนใจของเชื้อตัวนี้คือเป็นเชื้อที่อยู่คู่มนุษยชาติมานาน และการระบาดของอหิวานี่แหละที่ทำให้เกิดแผนที่กลางกรุงลอนดอนโดยจอห์น สโนว์ ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งวิชาระบาดวิทยานั่นเอง อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ยังต้องศึกษาอหิวาตกโรคต่อไปก็คือ ในประเทศยากจนที่ระบบน้ำประปายังไม่แพร่หลาย โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกานั้น ยังมีการระบาดของอหิวาตกโรคอยู่ ที่สำคัญก็คือ แม้แต่ประเทศที่เจริญแล้ว แต่เมื่อเกิดภัยพิบัติ เช่น พายุรุนแรง น้ำท่วมใหญ่ แผ่นดินไหว อหิวาตกโรคก็ยังสามารถระบาดเป็นวงกว้างได้เช่นกัน ในบทนี้ยังพูดถึงวิธีการก่อโรคที่แตกต่างจากโรคติดเชื้อไวรัส คือผ่านการใช้สารพิษ (Toxin) ที่เชื้อนี้สร้างขึ้น และการกลายพันธุ์ในอีกรูปแบบหนึ่งที่แบคทีเรียก่อโรคนิยมใช้นั่นเอง
โรคสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ในหนังสือเล่มนี้คือโรคมาลาเรีย (หรือไข้จับสั่น) ที่เกิดจากการได้รับปรสิต (Parasite) ชื่อว่าพลาสโมเดียม (Plasmodium) ซึ่งพบได้ในเขตร้อนทุกทวีปทั่วโลก ซึ่งแต่ละพื้นที่จะมีสปีชีส์ที่เป็นเจ้าถิ่นแตกต่างกันออกไป ในบทนี้อธิบายถึงสปีชีส์หลักของมาลาเรียที่แตกต่างกันออกไป เช่น P. falciparum, P. vivax, และ P. knowlesi ซึ่งในประเทศไทยเองนั้นมีสองสปีชีส์แรกเป็นหลัก ส่วนสปีชีส์สุดท้ายนั้นมักพบในประเทศเพื่อนบ้านเรา คือมาเลเซีย แต่มีข่าวว่าในประเทศไทยนั้นในช่วงนี้เริ่มพบการระบาดของ P. knowlesi แล้วเช่นกัน ในบทนี้จะอธิบายถึงความซับซ้อนของวงจรชีวิตปรสิตที่ก่อโรคมาลาเรีย จากนั้นจะเล่าถึงความเกี่ยวพันกันระหว่างวิวัฒนาการของมนุษย์และโรคมาลาเรีย ซึ่งหลายคนอาจจะไม่รู้ว่ามาลาเรียนั้นเกี่ยวข้องอย่างไรกับวิวัฒนาการของมนุษย์ และนี่เป็นเพียงแค่หนึ่งตัวอย่างที่โรคติดเชื้อนั้นสามารถ “ดุน” ให้มนุษยชาติเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
การติดเชื้อสุดท้ายที้ผู้เขียนนำเสนอนั้นคือการติดเชื้อรา Bd ในสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกกบนั่นเอง หากดูผ่าน ๆ แล้วบทนี้ดูน่าสนใจน้อยที่สุด เพราะโรคเชื้อรานี้ไม่ก่อโรคในมนุษย์ ไม่ก่อโรคในสัตว์เศรษฐกิจที่มนุษย์เพาะเลี้ยงเอาไว้ด้วยซ้ำ แต่เมื่ออ่านในรายละเอียดแล้วจะค้นพบว่า นี่เป็นการติดเชื้อที่มนุษย์มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด แม้ว่าเชื้อรา Bd จะไม่ก่อโรคในคนโดยตรงและไม่สร้างผลกระทบกับสัตว์เศรษฐกิจ แต่มันสามารถสร้างความย่อยยับให้ระบบนิเวศที่มนุษย์และสัตว์ต่าง ๆ อาศัยอยู่ ลดจำนวนสปีชีส์ที่อยู่ในระบบนิเวศได้หลายทอด และสุดท้ายมันอาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถย้อนกลับหรือสร้างขึ้นมาใหม่ได้ตลอดกาลเลยทีเดียว ในบทนี้อธิบายถึงคอนเซ็ปต์ที่ใช้ศึกษาโรคระบาดในพืช คือสามเหลี่ยมของโรค (Disease Triangle) ว่าจำเป็นต้องมีสิ่งใดบ้างโรคถึงจะระบาดได้ จากนั้นจะถกว่าสมมติฐานใดที่สามารถอธิบายการระบาดของการติดเชื้อรา Bd ได้ดีกว่ากัน ระหว่างสมมติฐานเชื้อก่อโรคใหม่ (Novel Pathogen Hypothesis) หรือสมมติฐานเชื้อก่อโรคประจำถิ่น (Emerging Pathogen Hypothesis)
คางคกภูเขา กำลังเสี่ยงจะสูญพันธุ์เพราะเชื้อราบีดี
บทสุดท้ายจะเป็นการสรุปรวบยอด และคลายปมสงสัยว่า ทำไมบางโรคที่ควรอยู่ในเล่มนี้ถึงไม่อยู่? โรคติดเชื้อใหม่ ๆ ที่อาจจะสำคัญในอนาคตมีอะไรบ้าง? และแนวทางการรักษาใหม่ ๆ นอกเหนือจากการใช้ยาปฏิชีวนะมีอะไรบ้าง? และประเด็นย่อย ๆ ที่ชวนเรามองไปถึงอนาคตของโรคติดเชื้อและมนุษยชาติ
อย่างที่ได้กล่าวไปตอนต้นว่าผู้เขียนนั้นเลือกโรคที่นำมาอธิบายในหนังสือเล่มนี้ได้น่าสนใจทีเดียว โรคติดเชื้อในมนุษย์ที่นำมาอรรถาธิบายนั้น เกือบทั้งหมดพบได้ทั่วไปในประเทศกำลังพัฒนาในรูปแบบของโรคประจำถิ่น (Endemic diseases) นั่นหมายความว่าเรารู้จักโรคติดเชื้อเหล่านี้มาพอสมควรแล้ว ในประเทศพัฒนาแล้วแทบไม่เกิดการสูญเสียชีวิตจากโรคเหล่านี้ ค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาโรคเหล่านี้ค่อนข้างถูกด้วยซ้ำไป จึงเป็นสิ่งที่น่าตั้งคำถามว่า เหตุใดโรคเหล่านี้ถึงได้ไม่หมดไปจากโลกไปใบนี้เสียที? ทำไมถึงต้องรอคอยให้เศรษฐีใจบุญตั้งมูลนิธิขึ้นมาเพื่อนำเงินมาแจกจ่ายไปทั่วโลกเพื่อทำงานวิจัยวิทยาศาสตร์ ทั้งแบบพื้นฐานและแบบคลินิกเพื่อจะลดอัตราการเสียชีวิต และเพื่อหาวิธีการกำจัดให้โรคเหล่านี้หายไปตลอดกาล? ทำไมรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ไม่ทำเรื่องนี้กันเอง?
ผมคิดว่าคำถามสุดท้ายนั้นน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง คำตอบของผมนั้นคือ เพราะว่ารัฐบาลของประเทศที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อเหล่านี้ไม่ “ตระหนัก” ว่าโรคเหล่านี้สามารถถูกกำราบได้ และประชาชนสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้จากการที่ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลังกับโรคติดเชื้อเหล่านี้ทุกเมื่อเชื่อวัน ประเทศไทยนั้นเป็นหนึ่งในตัวอย่างของความล้มเหลวในการลงทุนเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้อยู่เป็นประจำทุกปี แม้ว่าการกำจัดโรคติดเชื้อเหล่านี้จะเป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่อย่างที่กล่าวเริ่มแรกของบทความ “ความไม่รู้” นั้นทำให้ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าคำตอบของปัญหาโรคระบาดนี้อยู่ที่ไหน ซ้ำร้าย คนจำนวนมากยังอาจจะเข้าใจว่าการจะเข้าใจและจัดการโรคติดเชื้อเหล่านี้ต้องการเพียงแค่บุคลากรทางด้านสาธารณสุขเท่านั้น หากเพียงแค่มีแพทย์ พยาบาลเพียงพอ เราน่าจะหลุดพ้นจากโรคเหล่านี้ หากได้อ่านหนังสือ “เมื่อโลกติดเชื้อ ฉบับกระชับ” เล่มนี้ ทุกคนน่าจะพออนุมานได้ว่าบุคลากรและนักวิจัยที่จำเป็นเพื่อให้เรารอดพ้นจากการติดเชื้อเหล่านี้มีตั้งแต่ นักคณิตศาสตร์ นักชีวสถิติ นักธรรมชาติวิทยา นักชีววิทยา วิศวกรชีวการแพทย์ รวมไปถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพกับนักวิจัยจากสาขาต่าง ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด ซึ่งน่าเศร้าเป็นอย่างยิ่งว่า ระดับผู้นำและผู้มีอำนาจของประเทศนี้ขาดความเข้าใจเรื่องนี้อย่างน่าใจหาย
“อนุทิน” มั่นใจไทยคุมไวรัสโคโรนาอยู่ ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก รับฟังข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข อย่าต่อคำกันไปเอง ส่วนตัวมองว่ามันก็คือโรคหวัดโรคนึง ขอให้ปฏิบัติตามกฎ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” (คำสัมภาษณ์ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 25 ม.ค.63)
สิ่งที่น่าเสียดายมากที่สุดเมื่อพูดถึงหนังสือเล่มนี้ก็คือ ผมคิดว่าถ้าระดับผู้นำ ผู้มีอำนาจของประเทศไทยได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก่อนที่จะเกิดการระบาดใหญ่ของ COVID-19 แล้วล่ะก็ สภาพบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยผู้ป่วยนอนรอความตาย ระบบสาธารณสุขของประเทศที่เกือบจะล่มสลายนั้นน่าจะไม่เกิดขึ้น ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อมีหนังสือที่พูดถึงโรคระบาดได้อย่างกระชับและครอบคลุมพอสมควรแบบ “เมื่อโลกติดเชื้อ ฉบับกระชับ” แล้ว อย่างน้อย ๆ คนในสังคมจะได้ตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้ได้สะดวก ง่าย และมากขึ้นจนนำสังคมไทยไปถึงจุดที่ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคติดเชื้อเหล่านี้ได้ในอนาคต ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |