หากท่านกำลังหาหนังสือขนาดกำลังพอดีมือ พกไปไหนมาไหนได้สะดวกสบาย เปิดอ่านบนรถไฟฟ้า บนรถเมล์ได้พอดีมือ หากกำลังหาหนังสือเล่มนั้นอยู่ แนะนำลองหา เพลโต. (2564). โปรตากอรัส (อุกฤษฎ์ แพทย์น้อย (ผู้แปล). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ Illuminations Editions. ราคา 250 บาท) มาอ่านดู แล้วคุณจะพบคุณลักษณะเหล่านั้นอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ถึงจุดนี้ผมก็ขอพักการโฆษณาช่วงแรกไว้แค่นี้ก่อน ช่วงถัดมาจะขอเริ่มการโฆษณาแบบขายตรงเลย โดยตอบคำถามง่าย ๆ ที่ว่า ทำไมต้องซื้อเล่มนี้? หนังสือเล่มนี้มีอะไรที่จะให้ใครสักคนเสียเงิน 250 บาท มาซื้อ นั่นคือประเด็นของบทความชิ้นนี้เพื่อเชื้อเชิญให้ทุกคนมาซื้อ และเห็นคุณค่าของหนังสือเล่มนี้ว่ามูลค่า 250 บาทที่ท่านจะเสียไปนั้น ท่านจะได้รับอะไรกลับมา
หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า “โปรตากอรัส” (Protagoras) แต่จะพูดให้ตรงตัวกว่าอาจจะเรียกว่า “บทสนทนาของโปรตากอรัสกับโสเครตีสและผ่องเพื่อน” โดยได้รับการแปลเป็นภาษาไทยโดย อุกฤษฎ์ แพทย์น้อย อดีตอาจารย์ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย งานชิ้นนี้เป็นผลงานเขียนของนักปรัชญาตะวันตกผู้ยิ่งใหญ่นามว่า “เพลโต” (Plato) ผู้วางรากฐานให้กับความรู้และปรัชญาตะวันตกที่พัฒนาต่อมาเรื่อย ๆ จนเป็นอย่างที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน และมีนักปรัชญาคนหนึ่งเคยกล่าวว่าความรู้และปรัชญาตะวันตกทั้งหมดในปัจจุบันล้วนแล้วแต่เป็นเพียงแค่ “เชิงอรรถของเพลโต” เท่านั้น แม้คำกล่าวนี้อาจจะดูกล่าวเกินจริงไปบ้าง แต่คำกล่าวดังกล่าวก็พอจะสื่อว่าความคิดทางปรัชญาของเพลโตค่อนข้างครอบคลุมรากฐานทางปรัชญาสายต่าง ๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสุนทรียศาสตร์ ญาณวิทยา จริยศาสตร์ อภิปรัชญา ปรัชญาการเมือง และอื่น ๆ อีกมากมายตลอดชีวิตของเขา
โปรตากอรัส (Protagoras of Abdera)
โสเครตีส (Socrates)
สำหรับงาน “โปรตากอรัส” ถึอเป็นบทสนทนาที่น่าสนในอีกชิ้น ในแง่ที่ว่าเป็นบทสนทนาเดียวเลยก็ว่าได้ของเพลโตที่คู่สนทนาของโสเครตีสเป็นนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค ก็คือโปรตากอรัส[1] ซึ่งเป็นโซฟิสต์ (Sophist) คนสำคัญ น่าสนใจที่ว่าบนสนทนาส่วนใหญ่ของเพลโตนั้น มักจะให้โสเครตีสสนทนากับคนธรรมดาในเมือง แต่ก็ไม่ใช่นักปรัชญาที่มีสถานะหรือโด่งดังมาก ๆ อย่างโปรตากอรัส
สำหรับเนื้อหาโดยคร่าว ๆ ของบทสนทนาชิ้นนี้เริ่มจากการถกเถียงประเด็นเรื่อง “คุณธรรมสอนได้หรือไม่” โดยเริ่มจากข้อเสนอของโปรตากอรัสที่มาพร้อมกับการเล่าปกรณัมกรีกอย่างเรื่องโพรมีเทียส (Prometheus) และเอพิมีเทียส (Epimetheus) เพื่อสนับสนุนข้อเสนอของตน คำพูดขนาดยาวของโปรตากอรัสในส่วนนี้ในเวลาต่อมาถูกขนานนามว่าเป็น “ปาฐกถาที่ยิ่งใหญ่” (great speech) ซึ่งได้กลายเป็นประเด็นที่นักวิชาการนำมาวิเคราะห์และถกเถียงกันมากมายในปัจจุบัน
Prometheus กับ Epimetheus
ในส่วนถัดมาเป็นการแย้งของโสเครตีสด้วยเรื่องคุณสมบัติและความเป็นหนึ่งเดียวของคุณธรรม แต่ก็ยังไม่จบดีก็เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นในวงสนทนาจนเกือบจะไม่ได้สนทนากันต่อ แต่ก็ทำให้ประเด็นการสนทนาเปลี่ยนไปเป็นการวิเคราะห์กวีนิพนธ์ของซิมโมดิเดส (Simonides) โดยโสเครตีสเป็นผู้เริ่ม และดูเหมือนว่าโปรตากอรัสจะเป็นผู้ตามแทน แต่หลังจากนั้นโสเครตีสก็วิเคราะห์กวีนิพนธ์ชิ้นนี้เสร็จ ก็พาโปรตากอรัสกลับมาสนทนากันเรื่อง “คุณธรรมสอนได้หรือไม่” กันต่อจนจบลง
ทั้งหมดนี้คือเนื้อหาโดยภาพรวมของงาน “โปรตากอรัส” ชิ้นนี้ ถ้าเช่นนั้นทั้งหมดนี้ บทสนทนานี้กำลังบอกอะไรผู้อ่าน ฉะนั้นเพื่อที่จะช่วยให้คุณผู้อ่านพอที่จะอ่านงานชิ้นนี้ด้วยความสนุกสนาน ประเทืองปัญญา และนำไปสู่การความคิดในเชิงวิพากษ์ ผู้เขียนคิดว่าการอ่านงานชิ้นนี้น่าจะช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านได้ใคร่ครวญเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้บ้าง โดยเฉพาะในบ้านเมืองที่ผู้ใหญ่และผู้บริหารของประเทศที่ทั้งผู้เขียนและผู้อ่านอาศัยอยู่นั้น เอาแต่พูดเรื่อง ความดี คนดี มีศีลธรรม และคุณธรรม บทสนทนาชิ้นนี้น่าจะเป็นเสมือนผึ้งน้อยที่มาต่อยให้ผู้อ่านได้ตื่นจากภวังค์มนตราอันศักดิ์สิทธิ์ของคำพูดเหล่านั้นจากปากของชนชั้นนำ ผู้ปกครอง และผู้ใหญ่ทั้งหลายแหล่ที่เอาแต่พูด แต่ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความหมายของคำเหล่านั้นแม้แต่น้อย เพื่อนำพาผู้อ่านตั้งคำถามต่อคำพูดหล่านั้น จนถึงพฤติกรรมของผู้พูดว่าสอดรับกับสิ่งที่เขาพูดมากน้อยแค่นั้น ดังนั้นในส่วนถัดไปจึงเป็นข้อเสนอสำหรับผู้อ่านที่คิดจะอ่านงานชิ้นนี้เพื่อให้เห็นนัยยะบางอย่าง หรือมุมมองอีกแบบที่ช่วยให้ผู้อ่านได้อ่านหนังสือเล่มนี้ได้สนุกสนานเพลิดเพลิน และช่วยเพิ่มทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ให้มากขึ้นกว่าเดิมได้
ก่อนที่จะรู้วิธีการอ่านนั้น ผู้เขียนขอนำเสนอส่วนต่าง ๆ ของหนังสือเสียก่อน ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักด้วยกัน ได้แก่
1) บทนำ โดยผู้แปล ถือเป็นการเขียนงานในลักษณะของการเป็นมัคคุเทศก์นำทางพาผู้อ่านไปรู้จักเพลโตสักเล็กน้อยว่าเขาคือใคร และบริบทแวดล้อมและบริบทางประวัติศาสตร์ของงานชิ้นนี้เป็นอย่างไร รวมถึงเงานเขียนชิ้นนี้เป็นงานเขียนยุคไหนของเพลโต (สามารถแบ่งได้ 3 ยุค คือ ยุคต้น ยุคกลาง และยุคปลาย สามารถหาอ่านต่อได้ในบทนำของหนังสือเล่มนี้) โดยการเข้าใจว่างานชิ้นนี้เป็นงานเขียนยุคไหนของเพลโตจะช่วยทำให้เราเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของเพลโต หรือลักษณะโครงการ การวางโครงเรื่อง และการนำเสนอปรัชญาความคิดต่า ๆ ผ่านการสนทนาของตัวละคร โดยมีตัวละครอย่างโสเครตีส เป็นตัวเดินเรื่องหลัก ๆ ในทุก ๆ บทสนาทนาที่เพลโตเขียน นอกจากนี้ในบทนำยังพาไปสำรวจความคิดบางความคิดที่มีความเข้าใจที่แตกต่างกันระหว่างความคิดในสมัยกรีกโบราและในยุคปัจจุบัน บทนำจึงเป็นการช่วยให้ผู้อ่านมีความรู้เบื้องต้นเสียก่อนสักเล็กน้อย ก่อนที่จะเข้าไปอ่านตัวบทจริง เพราะความรู้เบื้องต้นเหล่านี้จะทำให้ผู้อ่านไม่งง หรือขัดจังหวะจุดสำคัญที่เพลโตกำลังพาผู้อ่านสัมผัสที่ละเล็กที่ละน้อย
2) ตัวบท “โปรตากอรัส” เป็นตัวบทแปลภาษาไทยที่มีความหนาในระดับหนึ่ง แต่แฝงไปด้วยบทสนทนาเชิงปรัชญา ซึ่งเชื่อมร้อยกับเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย
3) อรรถาธิบาย โดยผู้แปล สำหรับส่วนนี้จะต่างจากบทนำตรงที่จะมีลักษณะของการวิเคราะห์ตัวบทมากขึ้น ซึ่งต่างจากบทนำที่เน้นการอธิบายหรือเล่าให้ฟังเป็นสำคัญ สำหรับอรรถาธิบายก็เป็นเสมือนข้อเสนอทางวิชาการสำหรับตีความตัวบทดังกล่าว แต่เป็นข้อเสนอสำหรับการตีความงานชิ้นนี้ได้อย่างน่าสนใจยิ่ง และยังแสดงให้เห็นว่าผู้แปลมีการศึกษาบทสนทนาของเพลโตชิ้นอื่น ๆ อีกมากมาย
ฉะนั้นหากให้บอกวิธีการอ่านหนังสือเล่มนี้ว่าควรอ่านอย่างไร อาจมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ
1) อ่านตัวบทสนทนาไปเลย แต่การอ่านตัวบทไปเลยนั้น แนะนำสำหรับผู้คุ้นเคยบทสนทนาอื่น ๆ ของเพลโตมาบ้าง โดยเฉพาะบทสนทนาอย่าง ยูไธโฟร อโพโลจี ไครโต[2] คุ้นกับวิธีการของโสเครตีส (Socratic Method) และสนใจความคิดทางปรัชญาของโสเครติสและเพลโตแล้ว ก็ขอแนะนำให้ผู้อ่านท่านนั้นอ่านตัวบทก่อน แล้วอ่านบทนำ และอรรถาธิบาย ตามลำดับ เพื่อที่จะท่านจะได้อ่านตัวบทอย่างบริสุทธิ์ ไม่มีการเจือปนจากความเห็นของผู้แปลนัก
2) ไล่อ่านตามลำดับ โดยเริ่มจาก บทนำ ตัวบทโปรตากอรัส และจบลงด้วยอรรถาธิบาย ซึ่งสำหรับวิธีการอ่านแบบนี้ เป็นวิธีการสำหรับผู้เริ่มอ่านงานของเพลโต หรือไม่ได้สันทัดปรัชญาและวิธีของโสเครตีสมาก่อน แต่หรือต่อให้รู้ แต่อ่านไปได้นิดหน่อยและก็งง ๆ อยู่ ก็อาจย้อนกลับมาอ่านบทนำเสียก่อน จะช่วยให้เราเข้าใจ ตัวละคร บริบทแวดล้อมทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมของกรีกโบราณ หรือแม้แต่ความคิดบางอย่างที่แตกต่างจากความคิดในปัจจุบัน อย่างคำว่า “คุณธรรม” (virtue) ผู้แปลก็ได้อธิบายความเบื้องต้นอย่างคร่าว ๆ ในเรื่องพื้นฐานต่าง ๆ ที่ควรรู้ก่อนที่จะไปอ่านตัวบอย่างจริงจัง
“…สิ่งที่ยากอย่างแท้จริงไม่ใช่การเป็นคนดี แต่คือการบรรลุความเป็นคนดี ยากยิ่งนักที่จะก่อร่างสร้างความดีขึ้นมาอย่างมั่นคงดุจภูผาทั้งกายและจิต” (344a, หน้า 113)
“…ถึงแม้การบรรลุความเป็นคนดีนั้นยากอย่างแท้จริง แต่ก็ยังเป็นไปได้อย่างน้อยก็ชั่วระยะหนึ่ง แต่การธำรงไว้ซึ่งสภาพที่บรรลุถึงแล้วและเป็นคนดี…เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และอยู่เหนือวิสัยของมนุษย์ เทพเท่านั้นที่สามารถมีสิทธิพิเศษนี้ได้” (344c, หน้า 114)
“…ในทำนองเดียวกันคนดีในที่สุด อาจกลายเป็นคนเลวได้เมื่อเวลาผ่านไป…” (345b, หน้า 115)
“ดีย์: ใช้กับคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนดี แต่จริงๆไม่ใช่คนดี ส่วนมากใช้ในทางการเมือง และใช้กับสลิ่ม นกหวีด” (https://pojnanukrian.com/ดีย์, เน้นโดยผู้เขียน)
ผู้เขียนขอเสนอ 2 ประเด็นที่หนังสือ “โปรตากอรัส” ชิ้นนี้ช่วยทำให้ย้อนกลับมาอ่านสังคมไทยได้อย่างน่าสนใจยิ่ง
1) การสนทนาและมิตรสหาย ถ้าอ่านงานชิ้นนี้ทั้งหมด จะเห็นความคิดของโปรตากอรัสและโสเครตีสมีความแตกต่างกันอย่างมาก แต่กระนั้นทั้งสองก็ยังสนทนากันต่อไปจนจบ แม้ว่าระหว่างทางการสนทนาอาจไม่ราบรื่นนัก มีความคิดติดขัดกันบ้าง โปรตากอรัสไม่พอใจหรือโสเครตีสเองก็ไม่พอใจคำตอบหรือการแย้งที่เกิดขึ้น แต่กระนั้นก็สามารถคุยกันต่อไปได้ โดยไปคุยเรื่องอื่นก่อน หรือมิตรสหาย ณ ตอนนั้นช่วยกันพาพวกเขาทั้งสองกลับมาคุยกันต่อจนจบ เพราะความไม่พอใจและความไม่เห็นด้วยเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นในการสนทนา กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ใช้ความรุนแรงเพื่อบังคับให้อีกฝ่ายเห็นด้วยกับตน หรือกำจัดอีกฝ่ายออกไปจากสังคม แม้สุดท้ายในตอนจบก็สรุปไม่ได้อย่างชัดเจนว่าคุณธรรมสอนได้หรือไม่ คำถามที่เกิดขึ้นคือแล้วสังคมไทยที่กำลังเป็นเสมือนสังคมที่แตกแยกเป็นเสี่ยง ๆ จะสามารถสนทนากับคนที่เห็นต่างขั้วกันสุด ๆ ได้หรือไม่? งานชิ้นนี้กำลังชี้ให้เห็นแนวทางของการสนทนาที่เกิดขึ้นในสังคมประชาธิปไตยอย่างเอเธนส์ที่โสเครดีสมีชีวิตอยู่ และเราละอยากเห็นสังคมไทยเป็นเช่นไร?
2) คนดีและคนมีคุณธรรมคืออะไรกันแน่? แล้วคุณผู้อ่านละคิดเห็นอย่างไรกับคำถามที่ว่า “คุณธรรมสอนได้หรือไม่” ลองคิดจากเหตุของทั้งโปรตากอรัสและโสเครตีสดู แล้วมองย้อนกลับมาดูสังคมไทยของเราที่ต่างอ้างเรื่อง “คนดี” ว่าเป็นพื้นฐานของการเลือก “คนเก่ง” มาทำงาน แต่สังคมไทยเคยตั้งคำถาม ถกเถียง และสนทนากับผู้มีอำนาจทั้งหลายในบ้านเมืองที่พูดแต่เรื่อง “คนดี” “คนมีคุณธรรม” หรือไม่ คำพูดที่ถูกใช้อย่างสิ้นเปลืองจนความหมายของมันเปลี่ยนไปจนไม่มีอะไรเหลือ นอกจากเป็นคำพูดอันศักดิ์สิทธิ์ที่กลบปิดสยบการถกเถียงและต่อต้านจากผู้ไม่เห็นด้วย จนเราอาจต้องกลับมาคิดอย่างจริงจังว่าจริง ๆ แล้วคุณธรรมหรือความดีที่พวกเขาพูดถึงอยู่ทุกวัน “คืออะไร?” และพวกเขาเหล่านั้นมีสิทธิ์ที่จะสอนเรื่องพวกนี้ให้กับเราได้หรือไม่?
สุดท้ายนี้ดูเหมือนว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้คุณผู้อ่านมีการคิดเชิงวิพากษ์มากขึ้น ด้วยการ “ตั้งคำถาม” ด้วยการไม่เชื่อสิ่งที่เห็นหรือสิ่งที่ถูกพูดออกมาง่าย ๆ ของผู้มีอำนาจทั้งหลาย จงตรวจสอบ ตรวจสอบ ตรวจสอบ และตรวจสอบ จนกว่าจะได้คำตอบบางอย่างว่าในท้ายที่สุดแล้ว “คุณธรรมสอนได้หรือไม่” สังคมจะสอนคุณธรรมให้ประชาชนได้รึเปล่า? และคนดี (ย์) มีคุณธรรมละคืออะไรกันแน่?
[1] สำหรับ “โปรตากอรัส” คือนักปรัชญากรีกโบราณก่อนยุคโสเครตีส (Pre-Socratic Era) ที่มีตัวตนจริง ๆ ในประวัติศาตสตร์ มีชีวิตอยู่ในช่วง 490 ก่อนคริสต์กาล – 420 ก่อนคริสต์กาล และเป็นโซฟิสต์คนสำคัญ และตอนที่โปรตากอรัสตาย เพลโตน่าจะพึ่งอายุไม่ถึง 10 ขวบ
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |