เป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อยเมื่อมีการแปลความรู้ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในภาษาอื่นมาสู่ภาษาที่คุ้นเคยมากกว่า การสำเร็จลงของหนังสือแปลเล่มใหม่หนึ่งเล่มย่อมเปรียบได้กับการที่สังคมนั้นได้รับ ‘ตัวแทน’ หรือ ‘ส่วนใดส่วนหนึ่ง’ หรือ ‘ชุด’ หรือ ‘กลุ่ม’ ของ ‘ความรู้’ เพิ่มเติมขึ้นมาใหม่อีกจำนวนหนึ่ง และเมื่อหนังสือนั้นได้รับการเผยแพร่ออกไปก็เท่ากับว่า ‘ส่วนของความรู้’ ที่เพิ่มเติมขึ้นมาใหม่นั้นมีโอกาสได้ออกเดินทางขยายขอบเขตหรือพรมแดนออกไป
ในยุคสมัยที่เราได้ยินการกล่าวคำว่า ‘วาทกรรม’ กันจนเกร่อ ตามพื้นที่ทางสังคมต่างๆ ทั่วไปในสังคมไทย การตีพิมพ์หนังสือที่มีคำดังกล่าวอยู่ในชื่อเรื่องอย่าง ระเบียบของวาทกรรม โดยสำนักพิมพ์ อิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์จึงน่าจะยังถือว่า ‘ร่วมสมัย’ ได้อยู่ แม้ว่าคำนี้จะถูกใช้ในภาษาไทยมาอย่างยาวนานแล้ว (อย่างน้อยๆ ก็ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980) และต้นฉบับของบทแปลนี้จะมาจากการบรรยายเมื่อ ค.ศ. 1970 หรือกว่าห้าทศวรรษมาแล้วก็ตาม
หนังสือ ระเบียบของวาทกรรม ไม่เพียงแต่เป็นบทแปลคำบรรยายชิ้นสำคัญของนักปรัชญา ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญา ประวัติศาสตร์สังคม และประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ชาวฝรั่งเศสอย่างมิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) เท่านั้น แต่ยังบรรจุด้วย ‘บทนำ’ ที่อาจารย์ฐานิดา บุญวรรโณ ผู้แปลบทบรรยายดังกล่าวจากภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาไทย (ต่อไปนี้จะเรียกว่า ‘ผู้แปล’) นำเสนอวิธีการจัดวางบทบรรยายนี้ลงไปใน ‘ชุดผลงาน’ ตลอดชีวิตการทำงานของฟูโกต์ ตลอดจนอภิปรายความสัมพันธ์ระหว่างฟูโกต์กับนักวิชาการอีกสองท่านที่เขาถือว่าเป็นผู้มีความสำคัญต่อความคิดและชีวิตการทำงานของตนเอง นั่นคือ จอร์จ กองกิลแยม (Georges Canguilhem) และ ฌอง อิปโปลิท (Jean Hyppolite) และไม่เพียงเท่านั้น ผู้แปลยังได้เพิ่มเติมเชิงอรรถขยายความในหลายส่วนหลายตอนของบทแปลอีกด้วย
เนื้อหาใน ‘บทนำ’ ค่อยๆ แจกแจงให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมว่าด้วยชุดผลงานตลอดชีวิตการทำงานของฟูโกต์ ก่อนที่จะบรรยายลงไปในแต่ละประเด็น ทั้งที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงจุดเน้นความสนใจในงานเขียนแต่ละยุคของฟูโกต์ ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานทางปรัชญาและประวัติศาสตร์ของเขา (อะไรและอย่างไรคือวิธีการที่เรียกว่า ‘โบราณคดี’ และ ‘วงศาวิทยา’ ในความหมายของฟูโกต์ เป็นต้น)[i] และที่สำคัญคือการระบุเงื่อนไข สาเหตุ หรือ อิทธิพลต่างๆ ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและวิธีวิทยาในการทำงานของฟูโกต์
สำหรับประเด็นว่าด้วยคำว่า ‘วาทกรรม’ เป็นการเฉพาะ ผู้แปลอภิปรายความหมายแวดล้อมไว้ใน ‘บทนำ’ ในหลายส่วนหลายตอน เช่น
วาทกรรมจึงคือถ้อยแถลงทั้งหลายที่ยกขึ้นมาจากการก่อรูปเชิงวาทกรรมแบบเดียวกัน วาทกรรมสามารถกล่าวซ้ำๆ ได้ไม่สิ้นสุด และเราสามารถสังเกตเห็นการปรากฏขึ้นของมันได้หรือสังเกตเห็นการใช้วาทกรรมดังกล่าวได้ในประวัติศาสตร์ วาทกรรมจึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นรูปแบบเชิงอุดมคติหรือสิ่งที่ไร้กาลเวลา วาทกรรมเป็นชิ้นส่วนแตกย่อยของประวัติศาสตร์ มีความเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ไม่ต่อเนื่องกันในประวัติศาสตร์[ii]
วาทกรรมมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยปัจเจก มิได้พูดโดยปัจเจก มิได้เผยแพร่โดยปัจเจก เหนือกว่าปัจเจกนั้นยังมีสังคมที่เป็นแหล่งกำเนิด ควบคุม คัดเลือก จัดวาง และเผยแพร่วาทกรรม วาทกรรมคือสิ่งที่ถูกยอมรับว่าจริง ถูกทำให้ชอบธรรม และถูกให้คุณค่าในสังคมและผลที่ตามมาก็คือเป็นสิ่งที่ยอมจำนนต่อกระบวนการทางสังคมทั้งหลายในการผลิตวาทกรรม[iii]
ทั้งนี้ โดยการอภิปรายถึงวิธีการทำงานและวิธีวิทยาของฟูโกต์ ผู้แปลได้ชี้ให้เห็นว่า ตามความเห็นของฟูโกต์แล้ว แม้สิ่งที่เรียกว่า ‘วาทกรรม’ จะเป็นสิ่งที่หาได้ยากหรือค้นพบได้ยาก แต่วิธีการเชิงโบราณคดี อันเปรียบได้กับการ ‘ขุดค้น’ ลงไปทำความเข้าใจ ‘ชุด’ หรือ ‘ชั้น’ ของ ‘ความรู้’ ในแต่ละช่วงเวลาหรือยุคสมัยต่างๆ ที่ทับถมกันเป็นชั้นๆ จะช่วยให้เราสามารถค้นพบวาทกรรมโดยการทำความเข้าใจ
ระเบียบของการก่อรูปถ้อยแถลงทั้งหมดทั้งมวล วิธีการนี้จะเผยให้เห็นว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ดำเนินต่อเนื่องกันสามารถกลายเป็นวัตถุของวาทกรรมได้อย่างไร ถูกบันทึก ถูกพรรณนา ถูกอธิบายอย่างไร และเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันดังกล่าวแสดงให้เห็นออกมาภายใต้ระเบียบอย่างไร[iv]
ในนัยนี้ ‘ระเบียบ’ คือสิ่งที่ฟูโกต์ต้องการค้นหาใน ‘วาทกรรม’ ดังที่ผู้แปลเสนอว่า
สิ่งที่ฟูโกต์ต้องการจะค้นหาในวาทกรรมจึงคือกระบวนการบางอย่างที่ถูกจัดวางไว้ใต้ระเบียบบางอย่างนั่นเอง ทั้งนี้ สิ่งที่กำหนดกระบวนการควบคุม คัดเลือก เผยแพร่วาทกรรมมิใช่ข้อกำหนดที่บังคับว่าจะต้องมีการปฏิบัติตาม หากแต่มีลักษณะเป็นแบบแผนบางอย่างที่เอื้อเฟื้อต่อการปฏิบัติการของวาทกรรม...
ระเบียบที่ว่านี้มิได้เป็นระเบียบทางภาษาศาสตร์หรือระเบียบที่เป็นทางการ หากแต่เป็นระเบียบของการผลิตและผลิตซ้ำการแบ่งแยกทางประวัติศาสตร์บางอย่าง อย่างเช่น การแบ่งแยกระหว่างความมีเหตุผลและความไม่มีเหตุผล เป็นต้น ระเบียบของวาทกรรมที่ว่านี้อิงกับเวลา เพราะมักจะเป็นระเบียบ ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจจะเหมือนหรือแตกต่างจากอีกในช่วงเวลาหนึ่งก็เป็นได้[v]
วาทกรรมจึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเป็นถ้อยแถลงที่ดำรงอยู่ในสุญญากาศ แต่ถูกผลิตและเผยแพร่ในบริบททางสังคมและประวัติศาสตร์เฉพาะ และสัมพันธ์อย่างมากกับอำนาจทางการเมือง โดยเฉพาะการเมืองของการผลิต ‘ความรู้’ และ ‘ความจริง’ คำถามต่อมาจึงอยู่ที่ว่า ‘อะไรคือเจตจำนงแห่งความจริง’ (the will to truth) ซึ่งในประเด็นนี้ ผู้แปลเสนอให้พิจารณาผ่านการตั้งคำถามสองคำถาม นั่นคือ
คำถามแรก อะไรกำหนดความจริงของวาทกรรมที่ถูกสร้างโดยสังคม? คำตอบของคำถามนี้ก็มักจะเชื่อมโยงกับสิ่งซึ่งมีความสัมพันธ์กับข้อเสนอของวาทกรรมนั้นๆ ไม่ก็สัมพันธ์กับระเบียบภายในของวาทกรรม คำถามที่สอง อะไรกำหนดวาทกรรมที่ถูกสร้างโดยสังคมให้เป็นสิ่งที่จริง? อะไรกันที่ทำให้วาทกรรมนั้นๆ ต้องเป็นสิ่งที่จริงและยังเป็นสิ่งน่าศรัทธา สวยงาม และน่าเลื่อมใส? คำถามข้อนี้มิได้อยากรู้คำตอบว่าอะไรจริงหรืออะไรไม่จริงอีกต่อไปแล้ว แต่คำถามข้อนี้อยากรู้คำตอบว่าอะไรที่ให้คุณค่าวาทกรรมนั้นว่า “จริง” จนเป็นสิ่งที่น่าเลื่อมใสศรัทธา?[vi]
เพราะฉะนั้น ถึงที่สุดแล้ว
สิ่งที่เราควรสนใจมิใช่อะไรจริงอะไรไม่จริง หากแต่เป็นกระบวนการที่สถาปนาว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้คือความจริง และแยกสิ่งอื่นๆ ให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่จริง มันจึงเป็นเรื่องของเจตจำนงของการพูดมากกว่าการพูด มันจึงเป็นเรื่องของเจตจำนงของความจริงมากกว่าความจริง[vii]
ผมคิดว่าข้อความที่คัดมานี้ทำให้เห็นการตั้งคำถามอันสลับซับซ้อนและน่าสนใจในตัวเองอยู่แล้วจนไม่ต้องการการอภิปรายเพิ่มในที่นี้ และเห็นว่าผู้อ่านควรจะได้ลองอ่านด้วยตนเอง หรือพูดในอีกนัยหนึ่งก็คือ ขอให้ผู้อ่านหรือผู้ที่กำลังเริ่มต้นสนใจงานเขียนของฟูโกต์ ได้ลองอ่าน ‘บทนำ’ ในหนังสือเล่มนี้ดู เพื่อพิจารณาเอาเองว่าได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงไร
ในส่วนเนื้อหาหลักของบทบรรยาย ผมคิดว่าอาจจะได้อรรถรสกว่าหากผู้อ่านจะได้ลองอ่านด้วยตนเอง นอกจากนั้น สำหรับผมซึ่งไม่มีความรู้ภาษาฝรั่งเศสจึงไม่สามารถประเมินหรือวิจารณ์การแปลของผู้แปลได้ และเนื่องจากผมได้อ่านบทบรรยายนี้มาก่อนแล้วในภาษาอังกฤษอยู่หลายต่อหลายครั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ขีดเขียนและจดบันทึกความสนใจ ความเข้าใจ ตลอดจนความสงสัยของตนเองผ่านการอ่านจากฉบับภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้น เนื้อหาต่อไปนี้จึงจะอ้างอิงจากฉบับที่ได้อ่านมาก่อน[viii] และพยายามจะอภิปรายถึงเนื้อหาบทบรรยายแต่พอสังเขปเท่านั้น
กล่าวโดยย่นย่อ เนื้อหาหลักของบทบรรยายนี้ว่าด้วย ‘ระเบียบ’ (order) ที่คอยกำหนดหรือบงการกระบวนการผลิตวาทกรรม และวิธีการในการจะทำความเข้าใจการสร้างระเบียบที่กำหนดหรือบงการของวาทกรรมต่างๆ เนื้อหาไม่ได้กล่าวถึงนิยามของคำว่าวาทกรรมอย่างตรงไปตรงมา แต่อภิปรายว่ามีลักษณะอย่างไร มีกระบวนการผลิตอย่างไร และทำงานอย่างไร ภายใต้การมีอยู่ของ ‘ระเบียบ’ เบื้องหลัง และที่สำคัญก็คือ ภายใต้สิ่งที่เรียกว่าเป็น ‘ระบอบของความรู้และความจริง’ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นสัมพันธ์อย่างยิ่งกับบริบทเฉพาะทางประวัติศาสตร์
ตัวอย่างที่ผมคิดว่าฟูโกต์กล่าวได้ชัดเจนมากๆ ว่า ความเป็นสาขาวิชา (discipline) เป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการผลิตวาทกรรม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือทำหน้าที่สร้างและยืนยัน ‘ระเบียบ’ ที่ควบคุมวาทกรรม และเป็นแหล่งอ้างอิงความชอบธรรมของวาทกรรม ก็คือ ส่วนที่เขาพูดถึง เกรกอร์ เมนเดล (Gregor Mendel) ผ่านคำถามที่ว่า เป็นไปได้อย่างไรที่นักพฤกษศาสตร์หรือนักชีววิทยาระหว่างศตวรรษที่สิบเก้าจะไม่เห็นว่าสิ่งที่เมนเดลเสนอนั้นเป็นจริง โดยฟูโกต์เสนอว่า เพราะวิธีการศึกษาและวัตถุในการศึกษาของเมนเดลนั้นอยู่ตรงสุดปลายขอบของขอบเขตทางทฤษฎีกระทั่งถือเป็นสิ่งแปลกปลอมของชีววิทยาในยุคสมัยของเขา และสิ่งที่เมนเดลทำนั้นจึงเป็นการเสนอวัตถุทางการศึกษาใหม่ให้กับวิชาชีววิทยา[ix] เพราะฉะนั้นแล้ว
นี่จึงเป็นวัตถุการศึกษาใหม่ที่ต้องการเครื่องไม้เครื่องมือทางกรอบคิดแบบใหม่และต้องการรากฐานทางทฤษฎีใหม่ๆ เมนเดลพูดความจริง แต่เขาไม่ได้ ‘อยู่ในความจริง’ ของวาทกรรมทางชีววิทยาในยุคสมัยของเขา มันไม่ได้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่วัตถุทางการศึกษาและกรอบคิดทางชีววิทยาก่อตัวขึ้นมา มันจึงต้องการการเปลี่ยนแปลงในทุกระดับ ต้องการการปรับเปลี่ยนในขอบข่ายทั้งหมดเกี่ยวกับวัตถุทางการศึกษาในวิชาชีววิทยาเพื่อที่เมนเดลจะได้เข้าไปสู่ความจริง และเพื่อที่ว่าข้อเสนอของเขาจะเป็นที่ปรากฏว่า (โดยส่วนใหญ่แล้ว) ถูกต้อง[x]
ในแง่นี้ ฟูโกต์จึงไม่ได้เพียงแต่กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในเชิงวิธีวิทยา (methodology) แต่ทำให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงเชิงวาทกรรมที่สำคัญต้องแสดงให้เห็นว่าเกิดขึ้นภายใต้การเปลี่ยนแปลงเชิงญาณวิทยา (epistemology) ด้วย หรือในอีกนัยหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงเชิงญาณวิทยาจึงจะเป็นเงื่อนไขสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวิธีวิทยาใหม่ๆ ซึ่งนำไปสู่การสร้างความรู้และความจริงแบบใหม่ขึ้นมาได้นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม อาจจะด้วยเพราะเป็นบทบรรยาย ผมเห็นว่า เนื้อหาหลายส่วนค่อนข้างกระชับมากและกล่าวถึงเพียงผ่านๆ และพูดได้ว่าน้ำหนักของเนื้อหาแต่ละส่วนอาจจะไม่เสมอกันหรือไม่ได้สัดส่วนกันนัก ทั้งนี้ นอกจากคำว่า ‘วาทกรรม’ และ ‘ระเบียบ’ ซึ่งเป็นคำหลักของเนื้อความแล้ว ฟูโกต์ยังชวนให้พิจารณาคำและวลีอีกจำนวนหนึ่งผ่านการ ‘แกะรอย’ ‘ขุดค้น’ หรือ ‘สืบสาแหรก’ ความหมายและหน้าที่ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ของคำและวลีเหล่านั้น ซึ่งเป็นผลผลิตอันแตกต่างกันภายใต้บริบทเฉพาะทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงระบอบของความรู้และความจริงที่แตกต่างกัน นั่นหมายถึงคำว่า ‘author’, ‘commentary’, ‘discipline’, ‘the will to know’, ‘the will to truth’ ไปจนถึงหลักการสี่ประการคือ principle(s) of ‘reversal’, ‘discontinuity’, ‘specificity’ และ ‘exteriority’ ตลอดจนคู่ตรงข้ามในการทำความเข้าใจระหว่าง ‘event’ กับ ‘creation’, ‘series’ กับ ‘unity’, ‘regularity’ กับ ‘originality’ และ ‘condition of possibility’ กับ ‘signification’[xi] เนื้อหาในส่วนนี้ ผมจึงขอละรายละเอียดอันน่าสนใจไว้ และอยากจะขอให้ผู้อ่านได้ลองอ่านพิจารณากันเอง
นอกจากนั้นแล้ว ผมเห็นว่า ความน่าสนใจอีกด้านหนึ่งของการเป็นบทบรรยายก็คือ เราจะได้เห็นน้ำเสียงและการเชื่อมโยงตัวเองระหว่างฟูโกต์กับบริบทในขณะนั้น ทั้งที่หมายถึงช่วงเวลาในการบรรยาย สถานที่บรรยาย และที่สำคัญก็คือ ช่วงเวลาและสถานที่ที่ว่านั้นสัมพันธ์อยู่กับอาจารย์ที่เขาถือว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณอย่างมาก นับตั้งแต่ จอร์จ ดูเมซีล, จอร์จ กองกิลแยม และที่สำคัญคือ ฌอง อิปโปลิท ซึ่งฟูโกต์กล่าวถึงในระหว่างปิดท้ายคำบรรยายของเขาว่า “ผมรู้แล้วว่าอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกตระหนกเมื่อเริ่มต้นที่จะพูด เพราะว่าผมกำลังพูด ณ สถานที่ที่ผมเคยฟังเขาพูดอยู่ ในที่ที่เขาไม่ได้อยู่ตรงนี้เพื่อฟังผมอีกต่อไปแล้ว”[xii]
ก่อนที่จะจบข้อเขียนนี้ ผมขอทดลองยกข้อความเปิดในย่อหน้าแรกกลับมาอีกครั้งโดยปรับเปลี่ยนคำที่ใช้สักเล็กน้อย โดยครั้งนี้จะเปลี่ยนพวกคำว่า ‘ส่วนของความรู้’ มาเป็น ‘วาทกรรม’ ดู ย่อหน้าแรกที่เปลี่ยนใหม่กลายมาเป็นย่อหน้าถัดไปสามารถอ่านใหม่ได้ประมาณนี้ครับ
เป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อยเมื่อมีการแปลความรู้ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในภาษาอื่นมาสู่ภาษาที่คุ้นเคยมากกว่า การสำเร็จลงของหนังสือแปลเล่มใหม่หนึ่งเล่มย่อมเปรียบได้กับการที่สังคมนั้นได้รับ ‘วาทกรรม’ เพิ่มเติมขึ้นมาใหม่อีกจำนวนหนึ่ง และเมื่อหนังสือนั้นได้รับการเผยแพร่ออกไปก็เท่ากับว่า ‘วาทกรรม’ ที่เพิ่มเติมขึ้นมาใหม่นั้นมีโอกาสได้ออกเดินทางขยายขอบเขตหรือพรมแดนออกไป
ในโอกาสที่หนังสือ ระเบียบของวาทกรรม ตีพิมพ์ออกมา ผมเชื่อว่า การแสดงความยินดีต่อผู้แปล ตลอดจนทีมงานของสำนักพิมพ์อิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์ผ่านการเขียนบทแนะนำสั้นๆ นี้จึงไม่ใช่การเยินยอเกินกว่าเหตุแต่อย่างใด
[i] ถึงแม้จะมีข้อเสนอที่ว่า ในการทำงานของฟูโกต์ วิธีการที่เรียกว่า ‘โบราณคดี’ จะถูกแทนที่ด้วย ‘วงศาวิทยา’ แต่ผมกลับเห็นว่าวิธีการทั้งสองนี้ทำงานคนละอย่างและอาจเสริมกันและกันได้ ไม่จำเป็นต้องมาแทนกัน โดยผมขอเรียกรวมๆ ว่าเป็น ‘งานเชิงประวัติศาสตร์’ ของฟูโกต์ หรืออีกนัยหนึ่ง สามารถทำความเข้าใจได้ในฐานะที่เป็น ‘ญาณวิทยาทางประวัติศาสตร์’ (historical epistemology) อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้อยู่นอกเหนือวิสัยของข้อเขียนชิ้นนี้
[ii] ฐานิดา บุญวรรโณ, ‘บทนำ’, ใน ระเบียบของวาทกรรม, โดย มิเชล ฟูโกต์, แปลโดย ฐานิดา บุญวรรโณ (กรุงเทพฯ: อิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์, 2565), 24.
[iii] ฐานิดา, 46.
[iv] ฐานิดา, 25.
[v] ฐานิดา, 32.
[vi] ฐานิดา, 52–53.
[vii] ฐานิดา, 56.
[viii] ผมได้อ่านบทบรรยายนี้ครั้งแรกเมื่อกว่าหนึ่งทศวรรษก่อน ก่อนที่ ‘ลิบเจ็น’ และ ‘ไซฮับ’ จะเป็นช่องทางสามัญในการเสาะแสวงหาและแบ่งปันหนังสือและบทความวิชาการ ระหว่างกำลังร่างหัวข้อวิทยานิพนธ์ในประเด็นที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความรู้ว่าด้วยอวัยวะเพศชายในสังคมไทย (ก่อนที่ต่อมาวิทยานิพนธ์จะเปลี่ยนขอบเขตและจุดสนใจไปมาก) เมื่อได้รับการมอบหมายจากอาจารย์ที่เคารพท่านหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ตอบตกลงเป็นทางการว่าจะรับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาหรือไม่ ว่าให้ไปอ่านบทบรรยายที่ชื่อ ‘The Order of Discourse’ ของมิเชล ฟูโกต์ นั้น สิ่งที่อาจารย์แนะนำก็คือบทดังกล่าวตีพิมพ์อยู่ในหนังสือชื่อ Untying the text ให้ไปลองหาและอ่านดู ในขณะนั้นสิ่งที่ทำก็คือไปหาต้นฉบับหนังสือและถ่ายเอกสารเก็บไว้ทั้งเล่ม เพราะฉะนั้น บทที่ผมได้อ่านเป็นครั้งแรกและยังคงกลับไปอ่านใหม่เป็นระยะ ทั้งจากหนังสือสำเนาเล่มนั้น และจากไฟล์ที่ดาวน์โหลดได้ในอินเทอร์เน็ตในเวลาต่อมา จึงคือ ฉบับที่แปลโดย เอียน แม็คคล็อด (Ian McLeod) ที่ตีพิมพ์ในหนังสือเล่มดังกล่าว เนื้อหาที่อ้างต่อไปนี้ก็มาจากฉบับที่ว่านี้เช่นเดียวกัน โดยคำแปลภาษาไทยเป็นของผมเอง
[ix] Michel Foucault, ‘The Order of Discourse’, in Untying the Text: A Post-Structuralist Reader, ed. Robert Young, trans. Ian McLeod (Boston: Routledge & Kegan Paul, 1981), 60–61.
[x] Foucault, 61.
[xi] Foucault, 67–69.
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |