วิราวรรณ นฤปิติ
นักศึกษาปริญญาเอก สาขาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์
ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือ “กษัตริย์แปลกหน้า” มโนทัศน์ที่พัฒนาโดยเดวิด เกรเบอร์ ร่วมกับภรรยา นิกา ดูบรอฟสกี การพัฒนาทฤษฎีทางมานุษยวิทยาชี้ให้เห็นว่า “การปกครองด้วยระบอบกษัตริย์นั้นไม่ใช่สภาวะพื้นฐานของสังคมมนุษย์ และเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดมหันต์ที่นักวิชาการหลายคนมองว่าระบอบกษัตริย์นั้นเป็นการปกครองที่เข้มแข็งและเป็นระบอบที่รวมศูนย์อำนาจได้เบ็ดเสร็จ…” กษัตริย์ซึ่งเป็น ‘องค์อธิปัตย์’ จะมีอำนาจก็เพียงแค่ในหลักการเท่านั้น กษัตริย์จำเป็นจะต้องพึ่งพิงอำนาจเหนือธรรมชาติ ไพร่พล รวมถึงราชวงศ์ และขุนนาง ดังนั้น มโนทัศน์อำนาจอธิปัตย์หรือ sovereign power จึงมักยึดโยงอยู่กับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ดังนั้น ในแง่มุมของนักมานุษยวิทยากษัตริย์จึงเป็นพลังสมมุติที่ห่างไกลกับโลกของความเป็นจริงอย่างมาก กฎที่ใช้ปกครองก็เป็นเรื่องสมมุติขึ้นโดยอ้างจากอำนาจเหนือธรรมชาติ
สรุปแล้ว กษัตริย์คืออะไร หากไม่ใช่ร่างทรง ส่วนจารีตและพิธีกรรม คือสะพานส่งทอดอำนาจสมมุติมายังโลก แต่กระนั้นเองสังคมก่อนรัฐชาติเองก็ยังปราศจากซึ่งความเสมอภาคอีกทั้งยังห่างไกลจากความบริสุทธิ์ จินตนาการเหล่านี้เป็นมุมมองของมนุษย์ยุคหลังแสงสว่างทางปัญญา นักวิชาการตะวันตกสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึง 19 ฝันถึงสังคมบรรพกาลว่าไม่ต่างไปจากสวนอีเดน แต่เราต้องยอมรับว่ามโนทัศน์โหยหาอดีตอันงดงามนี้เป็นเรื่องแพร่หลายอย่างมากในยุคอาณานิคม และมโนทัศน์แบบนี้เองที่กลายมาเป็นกรอบโครงมหึมาอันใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาสวมทับคำอธิบายลักษณะอันพึงประสงค์ของกษัตริย์ผู้ครองธรรมในยุครัฐชาติ
แต่หากเรามองย้อนกลับไปยังยุคอาณานิคม ก่อนที่เขตปักปันดินแดนจะเป็นเครื่องหมายอันชัดเจนในการบอกขอบเขตของอำนาจองค์อธิปัตย์ มิหนำซ้ำยังถูกกดทับด้วยการเมืองอาณานิคมอีก แน่นอนว่าหลายแห่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ย่อมมีปัญหาเรื่องการธำรงความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรม หรือแม้แต่องค์อธิปัตย์เองก็ถูกลดอำนาจลงไปด้วย ทั้งนี้ในแง่ของมโนทัศน์ทางมานุษยวิทยาที่พยายามอธิบาย “หัวข้อ” ใดหัวข้อหนึ่งให้มีลักษณะทั่วไปอีกทั้งยังได้ชี้ชวนให้เราเห็นถึงความลักลั่นขัดแย้งในตัวเองของคอนเซปท์เรื่องกษัตริย์อย่างตรงไปตรงมา แต่ทว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มักเล่นกับปรากฎการณ์ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งกลับพลิกด้านสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งยังเติมเงื่อนไขให้ความซับซ้อนยิ่งมากขึ้นไปอีก
ข้อเสนอของเกรเบอร์ได้สะกิดความสนใจของนักเรียนประวัติศาสตร์ในประเด็นเรื่อง “คนแปลกหน้า” (the strangers … ) ในฐานะคำนามระบุตัวกระทำทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะองค์ประธานหรือผู้ร้ายในประวัติศาสตร์ก็แล้วแต่ เมื่อพิจารณาถึงบริบทประวัติศาสตร์ช่วงครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวพุทธเถรวาทกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ขัดขืนต่อต้านเจ้าอาณานิคมตะวันตก อย่างใน พม่า ซีลอน (ศรีลังกา) รวมถึงสยามด้วย ประเด็นที่น่าสนใจคือผู้ปลุกกระแสต่อต้านนี้คือ “คนแปลกหน้า” ที่เข้ามายังชุมนุมชนชาวพุทธเถรวาท เมื่อพิจารณาภายใต้บริบทเฉพาะของกาละและเทศะเช่นนี้ทำให้เกิดคำถามต่อมาว่า “คนใน” ไม่พยายามปกป้องสังคมศาสนาพุทธเถรวาทจากอำนาจอาณานิคมหรืออย่างไร? “คนใน” ในกรณีนี้คือคนที่อยู่ภายในขอบเขตรัฐชาติ ชาติพันธุ์ หรือแม้แต่ศาสนาเดียวกัน ท่ามกลางสภาวะเช่นนี้สยามอาจจะเป็นตัวแบบให้กับคำตอบนี้ได้เป็นกรณียกเว้น คือ เมื่อ ร.ศ. 112 อำนาจอธิปัตย์ของกษัตริย์กึ่งมนุษย์กึ่งเทพถูกท้าทายด้วยเรือปืน ดังนั้นการเมืองแบบประณีประนอมจึงเป็นทางออกในการรักษาเอกราชเอาไว้ได้ คำอธิบายเช่นนี้อาจจะทำให้ประวัติศาสตร์ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์คงความเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ แต่อาจจะไม่อธิบายให้เห็นถึงองคาพยพการก่อตัวของรัฐชาติเลยก็ได้เช่นกัน
เมื่อเราลองพิจารณาลึกลงไปอีกสักหน่อยถึงศาสนาซึ่งทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมความศักดิ์สิทธิ์ลงมาสู่โลกแล้วจะยิ่งเห็นความสำคัญของ “คนแปลกหน้า” ในชุมนุมชนพุทธเถรวาทภายใต้ข้อเสนอของเกรเบอร์ได้ชัดเจนขึ้น
ราว 1880s ชาวซีลอนเคยต้อนรับ เฮนรี่ สตีล โอลคอต์ (Henry Steel Olcott, 1832 - 1907) ชายแปลกหน้าชาวอเมริกันวัยกลางคน เดิมนับถือศาสนาคริสต์โปรแตสแตนท์ นิกายเพรสไบทีเรียน (Presbyterian) โอลคอต์และครอบครัวอาศัยอยู่ในนิวเจอร์ซีย์ หลังสงครามกลางเมืองอเมริกา โอลคอต์เดินทางมายังอินเดียหลังจากที่เขาเริ่มสนใจศึกษาศาสนาของโลกตะวันออกในฐานะศาสตร์ลึกลับ (occult) ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ทางจิตวิญญาณและปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ภาพลักษณ์ของโอลคอต์ในสายตาคนอเมริกันด้วยกันเป็นไปในแง่ลบ เป็นทั้ง “คนโง่ดักดาน” (an unmitigated rascal) “คนไม่มีเหตุผล” (a man bereft of reason) “คนเสียสติไร้พิษสงเกินจะเยียวยา” (insanity, though harmless, is, unfortunately, incurable.) รวมไปถึงเป็น “คนโง่ คนขี้โกง และพ่อหมอดู” (a fool, a knave, and a seer) ในขณะเดียวกัน ชาวพุทธทั้งในลังกาและพม่ากลับยกย่องโอลคอต์ราวกับเป็นวีรบุรุษในตำนานศักดิ์สิทธิ์ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ของทุกปีถูกกำหนดเป็นวัดหยุดราชการเพื่อรำลึกถึงเขา ถึงขนาดยกย่องว่าเขาเป็นพระเจ้าอโศกกลับชาติมาเกิด แม้กระทั้งเป็นชาติปัจจุบันของพระโคตมพุทธเจ้าเสียด้วยซ้ำ นอกจากสมาคมเทวปรัชญา (theosophical society)โครงการฟื้นฟูของโอลคอต์มีทั้งโรงเรียน โรงทาน สถานฝึกอาชีพ ฯลฯ คนที่ได้ประโยชน์ส่วนมากเป็นคนจนทั้งในมัทราส ย่างกุ้ง และซีลอน โอลคอตต์เป็นคนหนึ่งที่มีส่วนรับผิดชอบในการปลุกกระแสพุทธสิงหลด้วยการเป็นตัวกลาง (mediator) เชื่อมระหว่างชาวพุทธซีลอนกับข้าราชการอาณานิคม ในโครงการสำคัญๆ มากมายที่ทำให้วันสำคัญทางศาสนาพุทธเป็นวันหยุดราชการ ทั้งเป็นพ่องานออกหน้าต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองคราวเสด็จพระพาสในรัชกาลที่ 5 เป็นต้น
ชาวพุทธพม่ายังเคยแสดงความเคารพนับถือ “พระฝรั่ง” ผู้ปลุกกระแสต่อต้านคริสต์ศาสนาด้วยการนำเดินทางธุดงค์ทางไกลจากเจดีย์ชเวดากองไปถึงวาติกัน พระรูปนี้เดิมเป็นชาวไอร์แลนด์จนๆ เดินทางเร่ร่อนไปตามเมืองท่าค้าขายต่างๆ หาเลี้ยงชีพด้วยการขายแรงงานบนเรือสินค้า จนกระทั้งเป็นนักแสวงโชคตามชายหาด (beach comber) หลักฐานบางส่วนชี้ว่าเมื่อมาถึงเมืองย่างกุ้งก็เข้ารับการบวชเป็นพระสงฆ์นามว่าธรรมะโลกา (Dhammaloka) ในปี ค.ศ. 1911 นักประวัติศาสตร์ศึกษาชีวิตของพระรูปนี้ได้อย่างยากลำบากมาก เนื่องจากเป็นคนที่อยู่นอกสารบบราชการโดยแท้จริง แต่ทว่าพระฝรั่งแปลกหน้าชาวไอริชรูปนี้กลับเป็นที่นิยมเคารพนับถือของชาวบ้าน ทั้งๆ ที่พระรูปนี้ไม่ได้มีการศึกษาที่ดีเท่าพระท้องถิ่น แต่กลับสวดมนตร์และนำประกอบพิธีกรรมต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว จนชาวบ้านให้การยอมรับ พระรูปนี้เช่นกันที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงชาวพุทธท้องถิ่นกับชาวพุทธนานาชาติ ทั้งญี่ปุ่น จีน และทางตะวันตก อเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมัน เป็นต้น เพราะใช้ภาษาอังกฤษได้แคล่วคล่อง จนกระทั่งเป็นผู้เริ่มแคมเปญต่อต้านอาณานิคมด้วยการเดินธุดงค์ทางไกลไปวาติกัน แคมเปญนี้เป็นที่รู้จักในสยามประเทศด้วยเช่นกัน มีการลงโฆษณาในวารสารพุทธศาสนาต่างๆ รวมไปถึงหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเรื่องการรับสมัครอาสาผู้กล้าหาญที่จะเดินทางไปด้วยกัน
โอลคอตต์และธรรมโลกาต่างก็เป็นคนสาธารณะ (public figure) มีตัวตนบนพื้นที่สื่อหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษในยุคอาณานิคมจากบทบาทการวิพากษ์วิจารณ์ศาสนาคริสต์ และดำเนินโครงการฟื้นฟูศาสนาพุทธเถรวาท จะเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ที่อำนาจอธิปัตย์หรืออำนาจศักดิ์สิทธิ์เข้าไปไม่ถึงหรือเลือกที่จะไม่กร้ำกรายเข้าไปสร้างความขัดแย้งก็เป็นได้ สำหรับสมมุติเทพ หรือ Divind King เองแล้ว การที่ตัวบุคคลงศักดิ์สิทธิ์ถูกกล่าวถึงไปจนกระทั่งถูกวิจารณ์บพื้นที่สื่อหนังสือพิมพ์ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ของคนใน จึงไม่แม้แต่จะกล้าเสี่ยง ดังนั้นแล้ว หากเราพิจารณาแง่มุมนี้ด้วยมโนทัศน์ของเกรเบอร์ เราอาจจะเห็นขอบเขตอำนาจของกษัตริย์ที่ถูกจำกัดไว้ให้แคบกว่าที่กล้าวอ้างก็เป็นได้
รายการอ้างอิง
Turner, Alicia, and Others. The Irish Buddhist: The Forgotten Monk Who Faced Down the British Empire. USA: Oxford University Press, 2020.
Prothero, Stephen. The White Buddhist; The Asian Odyssey of Henry Steel Olcott. Bloomington and Indianapolis: Indiana University Press, 1996.
_________________________________
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |