โดย สิกขา สองคำชุม
อารัมภบท
ผู้เขียนขอกล่าวขานอารัมภบทโดยเน้นย้ำเจตนารมณ์ของสุนัขจิ้งจอกที่ว่า “สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยตา” (what is essential is invisible to the eye) ผ่านคำพูดที่กล่าวต่อเจ้าชายน้อยว่า “ถ้อยคำเป็นแหล่งที่มาของความเข้าใจผิด” (words are a source of misunderstanding) (Saint-Exupéry, 1995, p. 79, 82) จากถ้อยคำดังกล่าวของสุนัขจิ้งจอก การแปลศัพท์แสงของฟูโกต์จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยอาจสร้างความเข้าใจผิดและตกหล่นความหมายที่ฟูโกต์ต้องการจะสื่อ ในที่นี้ ผู้เขียนจะยึดตามความต้องการของธเนศ วงศ์ยานนาวา (2528) ในการทับศัพท์ “discours” ว่า “ดีสคอร์ส” แทนที่ “วาทกรรม” (ยกเว้นการอ้างตัวบทโดยตรงจากหนังสือ ระเบียบของวาทกรรม จะใช้คำว่า “วาทกรรม” ตามเดิม) และทับศัพท์ “archéologie” ว่า “อาคีโอโลจี” แทนคำว่า “โบราณคดี” นอกเหนือไปจากการทับศัพท์ของธเนศ คำว่า “généalogie” กับ “généalogique” ขออนุญาตแปลว่า “วงศาวิทยา” ตามการกล่าวขานของฐานิดา บุญวรรโณ ผู้แปลหนังสือเล่มนี้ ถึงกระนั้น การอ้างอิงงานเขียนของฟูโกต์ที่อยู่นอกเหนือไปจากหนังสือเล่มนี้จะใช้ตัวบทจากภาษาอังกฤษเป็นหลัก ทั้งนี้ ความผิดพลาดจากการตีความหรือการเข้าไม่ถึงความหมายหรือความตั้งใจของฟูโกต์นั้นเป็นของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว
เปิดฉาก
มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) เปิดการบรรยาย L’Ordre du Discours ณ วิทยาลัยแห่งฝรั่งเศส (Collège de France) เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.1970 ด้วยการกล่าวว่า เขาอยากจะอำพรางตัวเองไม่ให้ใครสังเกตเห็นและไม่อยากจะพูดเริ่มต้น เพราะสิ่งที่ฟูโกต์จะบรรยายนั้นเป็นสิ่งที่ถูกพูดไปแล้วโดยนักคิดท่านอื่น เพราะฉะนั้น การบรรยายครั้งนี้จึง “ไม่มีการเริ่มต้น” (ฟูโกต์, 2565, น. 87-88) ถึงกระนั้น ในการนำเสนอของผู้เข้ารับการเสนอชื่อก่อนการเข้ารับตำแหน่ง (candidacy presentation) เมื่อ ค.ศ.1969 ฟูโกต์ได้นำเสนอแผนการสอน (teaching project) ว่า ต้องการจะบรรยายเรื่องความรู้ว่าด้วยการสืบสายพันธุ์ (knowledge of heredity) ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งพัฒนาจากเทคนิคการผสมสายพันธุ์ (breeding techniques) อันเป็นความพยายามเพื่อปรับปรุงสปีชีส์ (species) เพื่อต่อสู้กับโรคระบาดของพืชและสัตว์ และเพื่อสั่งสมการสถาปนาตัวของความรู้ว่าด้วยพันธุศาสตร์ (genetics) ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทั้งนี้ ฟูโกต์พยายามจะนำเสนอประเด็นปัญหาเชิงทฤษฎีผ่านการจัดประเภทเป็นสามกลุ่ม คือ 1) การกำหนดสถานะความรู้ผ่านการระบุอุปกรณ์และช่องทางของการเผยแผ่และการแพร่กระจายผ่านกลุ่มทั้งสังคมและพื้นที่ทั้งหมด รวมถึงนิยามความแตกต่างของระดับของความรู้ ระดับของจิตสำนึก ความเป็นไปได้ในการปรับตัวและการทำให้ถูกต้อง การเผยตัวของปัญหาเชิงทฤษฎีได้พิจารณาความรู้ในฐานะความรู้ทางสังคมที่แปลกหน้า (anonymous social knowledge [savior]) แทนที่จะเป็นการเรียนรู้เชิงสำนึกแบบปัจเจก (individual conscious learning [connaissance]) 2) การยกระดับความรู้เหล่านี้ให้เป็นดีสคอร์สทางวิทยาศาสตร์ (scientific discourse) ในความหมายของการตัดข้าม การเปลี่ยนผ่าน และระดับของการสร้างจุดกำเนิด (genesis) ของวิทยาศาสตร์ ผ่านการเป็นประจักษ์พยานของความมีเล่ห์เหลี่ยมและการเริ่มต้นอันหลากหลายของวิทยาศาสตร์ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการค้นพบใหม่และกำหนดเวลาของตัวบทที่แน่ชัดที่ได้สร้างจุดเริ่มต้นของการรับรองของวิทยาศาสตร์ (science’s birth certificate) กับใบอนุญาตตั้งต้นของวิทยาศาสตร์ (initial charter)
มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault)
ทั้งนี้การเปลี่ยนผ่าน (transformation) ต้องเกิดขึ้นก่อนตัวความรู้ รอบตัวความรู้ และในตัวความรู้ เพื่อให้ความรู้นั้นสามารถยกระดับสถานะและหน้าที่ของวิทยาศาสตร์ได้ อาจกล่าวได้ว่า เป็นการอธิบายปัญหาเชิงทฤษฎีของการสถาปนาวิทยาศาสตร์ด้วยศัพท์แสงของประวัติศาสตร์ และ 3) พิจารณาสาเหตุผลลัพธ์ (causality) ในระเบียบของความรู้อันเป็นสหสัมพันธ์โดยทั่วไป (general correlations) ระหว่างเหตุการณ์กับการค้นพบ หรือระหว่างความจำเป็นทางเศรษฐกิจกับพัฒนาการของอาณาบริเวณของความรู้ที่ถูกสถาปนาเป็นเวลานาน รวมถึงการกำหนดนิยามปรากฏการณ์ที่ดำรงสภาพความเป็นภายนอก กล่าวคือ ปรากฏการณ์เหล่านี้ถูกรับรู้ในฐานะกระบวนของการทำให้แตกต่าง (foreign) และการแบ่งแยกที่เกิดขึ้นในหนึ่งในพื้นที่หรือระดับของปรากฏการณ์ที่ถูกส่งต่อไปยังสถานที่แหล่งอื่นๆ และส่งผลกระทบขึ้นมา
เพราะฉะนั้น การวิเคราะห์ปัญหาสามกลุ่มควรนำความรู้มาสู่การเผยตัวสามระดับ คือ 1) การระบุลักษณะ การจัดกลุ่ม และการกำหนดพิกัดในชุดของปฏิบัติการและสถาบัน 2) การเคลื่อนย้ายตำแหน่งแห่งที่ของการสร้างความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (constitution of science) และ 3) การสร้างองค์ประกอบของสาเหตุผลลัพธ์เชิงซ้อนที่ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ให้ความสนใจ (ดู Foucault, 1997, pp. 7-9) อาจกล่าวได้ว่า ความสนใจในการบรรยายประเด็นเกี่ยวกับความรู้นั้นถือได้ว่า เป็นความสนใจแรกเริ่มในการเริ่มต้นทำงาน ณ วิทยาลัยแห่งฝรั่งเศสของตัวฟูโกต์เอง จะเห็นได้ว่า วัตถุของการศึกษาของฟูโกต์นั้นคือตัวความรู้ (savoir) ที่เป็นการครอบงำของปฏิบัติการตลอดจนถึงดีสคอร์สที่ประกอบรวมกันเป็นความรู้ (connaissance) อันเป็นกฎเกณฑ์ควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประธานและวัตถุของความรู้มาโดยตลอด (ดู Burchell, 2014, p. xv)
เมื่อย้อนกลับมายังการบรรยายอันเป็นแหล่งที่มาของตัวบท ระเบียบของวาทกรรม จะเห็นได้ว่า ฟูโกต์ไม่ได้บรรยายความรู้ว่าด้วยการสืบสายพันธุ์อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก แม้จะมีการกล่าวถึง เกรเกอร์ เมนเดล (Gregor Mendel, 1822-1884) ผู้เสนอทฤษฎีพันธุศาสตร์ ว่า เมนเดลไม่ได้ “อยู่ในความจริง” (dans le vrai) ของดีสคอร์สทางพฤกษศาสตร์หรือชีววิทยาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 อันเป็นตัวอย่างของการอยู่ในความจริงเมื่อยามที่เราต้องเชื่อฟังกฎเกณฑ์ต่างๆ ของขัอบังคับทางดีสคอร์ส (une police discursive) ซึ่งปฏิบัติการดังกล่าวเกิดขึ้นทุกครั้งยามที่เรากล่าวถึงดีสคอร์สที่อาศัยวิชา (disciplines) เป็นหลักควบคุมของการสร้างดีสคอร์สและการกำหนดเส้นแบ่งของดีสคอร์ส (ฟูโกต์, 2565, น. 114-116)
เกรเกอร์ เมนเดล (Gregor Mendel)
ทั้งนี้ควรกล่าวด้วยว่า ในทางประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ งานเขียนที่เป็นข้อเสนอหลักของเมนเดลตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาเยอรมันใน ค.ศ.1866 (Mendel, 1866) แต่กว่าจะได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษก็คือ ค.ศ.1901 (Mendel, 1901) ในขณะที่เมนเดลเสียชีวิตแล้วตั้งแต่ ค.ศ.1884 จะเห็นได้ว่า ตัวบทของเมนเดลไม่ได้รับความสนใจจากวงการชีววิทยาและพฤกษศาสตร์เท่าที่ควร แม้ตัวบทของเมนเดลจะเผยแพร่ไปตามสมาคมต่างๆ ทั่วยุโรปแล้วก่อน ค.ศ.1901 (ดู Posner and Skutil, 1968) โดยเมนเดลเสนอว่า ผลลัพธ์ของการถ่ายทอดลักษณะจากการผสมพันธุ์พืชถั่ว (Pisum sativum) สามารถถ่ายทอดได้เป็นกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ ทั้งนี้ ผลจากการผสมพันธุ์ลักษณะสองลักษณะทั้งลักษณะเด่น (dominant character) กับลักษณะด้อย (recessive character) ในรุ่นแรก (first generation) จะได้ลักษณะพันธุ์ทาง (hybrid) ทั้งหมด ทั้งนี้ เมื่อนำลูกหลานรุ่นแรกที่เป็นลักษณะพันธุ์ทางมาผสมตัวเองจะได้ลูกหลานรุ่นที่สอง (second generation) ที่มีอัตราส่วนของจำนวนลูกหลานที่มีลักษณะพันธุ์ทาง ลักษณะเด่น กับลักษณะด้อย อยู่ที่ 2:1:1 ตามลำดับ และเขียนเป็นสมการคณิตศาสตร์ได้ว่า A + 2Aa + a โดยสัญลักษณ์ A สื่อความแทนลักษณะเด่น a สื่อความแทนลักษณะด้อย และ Aa สื่อความแทนลักษณะพันธุ์ทาง (Mendel, 1901, pp. 8-12) จะเห็นได้ว่า เมนเดลพยายามอธิบายกฎเกณฑ์ของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมด้วยภาษาทางคณิตศาสตร์อันไม่อยู่ในความคุ้นเคยของนักชีววิทยาที่ในขณะนั้นคุ้นเคยกับข้อเสนอของ ฟรานซิส แกลตัน (Francis Galton) ที่มองว่า การถ่ายทอดลักษณะจากพ่อแม่สู่รุ่นหลานนั้นจะมีความไม่ต่อเนื่อง (discontinuous) มากกว่า (Wilkie, 1962, p. 7)
ข้อเสนอหลัก
จากที่กล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า ฟูโกต์หันมาให้ความสนใจกับการบรรยายเรื่องระเบียบของดีสคอร์สอันเป็นประเด็นทางด้านวิธีวิทยาของฟูโกต์มากกว่าความสนใจเดิมที่เคยนำเสนอก่อนเข้ารับตำแหน่งประจำวิชาประวัติศาสตร์ของระบบความคิด (chaire Histoire des systemès de pensée) เพราะฉะนั้น การบรรยาย L’Ordre du Discours จึงมีข้อเสนอหลักอยู่ที่สมมติฐานที่ว่า “ในทุกๆ สังคม การผลิตวาทกรรมจะถูกควบคุม ในเวลาเดียวกันก็จะถูกคัดเลือก ถูกจัดวาง และถูกเผยแพร่ซ้ำไปซ้ำมาโดยกระบวนการบางอย่างจำนวนหนึ่งที่มีหน้าที่ขจัดยับยั้งอำนาจและอันตรายต่างๆ [ทั้งยัง]มีหน้าที่ควบคุมเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด และหลีกเลี่ยงความเป็น[ผลลัพธ์ที่เป็น]รูปธรรมอันรุนแรงและน่าเกรงกลัว” (น. 91) โดยกระบวนการควบคุมของดีสคอร์สจะแบ่งออกเป็นกระบวนการควบคุมภายนอก กระบวนการควบคุมภายใน และหลักของการทำให้หายากขององค์ประธานผู้พูด ทั้งนี้ กระบวนการควบคุมภายนอกจะมีการห้าม (interdit) การแบ่งแยกและการปฏิเสธ (partage et rejet) การอยู่ตรงข้ามกันระหว่างสิ่งที่จริงกับสิ่งที่เท็จ (opposition du vrai et du faux) ส่วนกระบวนการควบคุมภายในจะประกอบไปด้วยการอรรถาธิบาย (commentaire) ที่เป็นการกล่าวซ้ำดีสคอร์ส (อาจจะยกตัวอย่างได้ในกรณีของคัมภีร์ อรรถกถา ที่ขยายความพระไตรปิฎก และคัมภีร์ระดับย่อยลงไปที่คอยขยายความ อรรถกถา เป็นทอดๆ) ผู้ประพันธ์ (auteur) ที่ยับยั้งสิ่งที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด โครงสร้างของวิชา (organization des disciplines) ที่รวมขอบเขตเนื้อหาของวิชา วิธีการ ข้อเสนอที่เชื่อว่าจริง สิ่งที่เป็นเกมของระเบียบและของคำนิยาม ของเทคนิคและของเครื่องมือ ในรูปของการทำให้ระเบียบกลายเป็นจริงอย่างถาวร นอกเหนือจากกระบวนการทั้งสองแบบแล้ว นอกจากนี้ หลักการทำให้หาได้ยากขององค์ประธานผู้พูด (rarefaction des sujets parlants) อันเป็นการกำหนดเงื่อนไขของเกมหรือลูกเล่นของดีสคอร์สไปที่ตัวปัจเจกบุคคลที่ประกอบไปด้วยพิธีกรรม (ritual) สมาคมวจนิพนธ์ (sociétés des descours) หลักคำสอน (doctrines) และการยึดครองทางสังคมของดีสคอร์ส (appropriation sociale des discours) เช่น ระบบ การศึกษา เป็นต้น (Wolff, 2000, p. 10; อ้างใน ฐานิดา บุญวรรโณ, 2565, น. 47-49)
บทนำของหนังสือ ระเบียบของวาทกรรม โดย ฐานิดา บุญวรรโณ จึงเห็นว่า กระบวนการดังกล่าวเป็นการทำให้สิ่งที่เรียกว่า “ความจริง” นั้นถูกสร้างและสถาปนาขึ้นมา (น. 49) แต่กระนั้น ฟูโกต์ก็นำเสนอมากไปกว่าสมมติฐานที่กล่าวถึงกระบวนการควบคุมของดีสคอร์สข้างต้น โดยนำเสนอ “วิธีการสองกลุ่ม” คือ การวิพากษ์ (critique) กับวงศาวิทยา (généalogique) โดยการวิพากษ์เป็นการวางอยู่บนหลักการเรื่องของการกลับขั้วอันเป็นการตรวจสอบลักษณะของการกีดกัน การจำกัด และการยึดครอง ซึ่งล้วนแต่เป็นหลักของการควบคุมเชิงดีสคอร์ส ส่วนวงศาวิทยาคือการวิเคราะห์ชุดลำดับเหตุการณ์ของดีสคอร์สนั้นก่อรูปก่อร่างขึ้นมาได้อย่างไรอันเกี่ยวข้องกับการสร้างตัวดีสคอร์สเองที่ทั้งแพร่หลายอย่างหลากหลาย ไม่ต่อเนื่องและมีความเป็นประจำสม่ำเสมอในเวลาเดียวกัน (ดู ฟูโกต์, 2565, น. 141-142, 146) ฟูโกต์เน้นย้ำว่า “ทั้งการวิพากษ์และวงศาวิทยานี้ไม่มีทางที่จะสามารถแยกขาดออกจากกันได้” (น. 146) ด้วยเหตุนี้ “การบรรยายเชิงวิพากษ์และการบรรยายเชิงวงศาวิทยาทั้งหลายจำเป็นต้องผลัดกันใช้ ต่างฝ่ายต่างสนับสนุนซึ่งกันและกัน และเติมเต็มกันและกัน” (น. 149-150) บทสรุปของฟูโกต์ว่าด้วยวิธีการวิเคราะห์ทั้งสองแบบจึงสามารถนำมาสู่ประเด็นคำถามว่าด้วยวิธีวิทยาได้ว่า สุดท้ายแล้ว ฟูโกต์เปลี่ยนวิธีวิทยาจากอาคีโอโลจีมาเป็นวงศาวิทยาหรือใช้ทั้งสองวิธีวิทยาควบคู่กันแน่?
ปิดฉากที่ไม่ใช่จุดจบ
ผู้เขียนเห็นว่า หนังสือเล่มนี้ได้เปิดเผยความเห็นของฟูโกต์ต่อวิธีวิทยาของตัวฟูโกต์เอง เพราะในบทบรรยายดังกล่าวก็กล่าวว่า วิธีการเชิงวิพากษ์นั้นใช้สำหรับการศึกษา “การแบ่งแยกระหว่างความบ้ากับความมีเหตุผลในยุคคลาสสิค” (น. 142) และ “ด้วยมุมมองเชิงวิพากษ์นี้...ในมุมมองนี้เอง เราสามารถมองเห็นว่า มีการศึกษาทำนองนี้อยู่จำนวนหนึ่ง ยกตัวอย่าง ผมนึกถึงการวิเคราะห์ที่ทำให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ทางการแพทย์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19…หากแต่เป็นการเข้าไปค้นหาอีกครั้งเพื่อที่จะได้รู้หลักการของผู้ประพันธ์ หลักการอรรถาธิบาย หลักของวิชาในการสร้างวาทกรรมทางการแพทย์ และในสถาบันต่างๆ ที่สนับสนุน ส่งผ่าน ที่ส่งเสริมพลังอำนาจให้แก่วาทกรรมทางการแพทย์” (น. 144-145) จากตัวบทของฟูโกต์ข้างต้น เราอาจกล่าวได้ว่า การศึกษาว่าด้วยความบ้ากับความรู้ทางการแพทย์ด้วย “มุมมองเชิงวิพากษ์” นั้นเป็นวิธีการศึกษาแบบอาคีโอโลจี (archéologie) เพราะการกล่าวของฟูโกต์ข้างต้นเป็นการกล่าวถึงข้อเสนอของงานศึกษาชิ้นสำคัญของฟูโกต์ที่ผ่านมาถึงสองชิ้นก่อนการบรรยายเรื่อง L’Ordre du Discours คือ History of Madness (2006) กับ The Birth of the Clinic: An Archaeology of Medical Perceptions (1994) แต่ภายหลังการบรรยายเสร็จสิ้นลง ในเวลาต่อมา ฟูโกต์ได้เขียนหนังสือโดยใช้วิธีวิทยาทางด้าน “วงศาวิทยา” (généalogie) เช่น หนังสือ Discipline and Punish: The Birth of the Prison (ดู Foucault, 1977a, p. 23) หรือบทความเรื่อง “Nietzsche, Genealogy, History” (Foucault, 1977b) โดยเราอาจกล่าวสรุปความเกี่ยวกับวิธีวิทยาว่าด้วยวงศาวิทยาได้ว่า เป็นมุมมองในการศึกษาประวัติศาสตร์อยู่สามประเด็น กล่าวคือ การต่อต้านการเขียนความจริงของอดีตในแบบภววิสัย การต่อต้านการเขียนประวัติศาสตร์เพื่อสร้างความเป็นอัตลักษณ์หรือความต่อเนื่องหรือความเป็นตัวแทนของแบบแผนต่างๆ และการต่อต้านความจริงกับท่าทีของประวัติศาสตร์ในฐานะความรู้ (p. 160) แต่กระนั้น ในงานเขียนชิ้นสุดท้ายในชีวิตของฟูโกต์สำหรับเตรียมบรรยายในงานเสวนาว่าด้วยเรื่องภาวะความเป็นสมัยใหม่และภาวะแสงสว่างทางปัญญา (enlightenment) ณ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์ ซึ่งไม่ได้จัดขึ้นเนื่องจากการเสียชีวิตของฟูโกต์ เรื่อง “What is Enlightenment?” ตัวฟูโกต์เองได้หันกลับมากล่าวถึงวิธีวิทยาทั้งสองแบบควบคู่กันไป ดังความว่า
“ในแง่มุมหนึ่งนั้น การวิพากษ์[สำหรับการสืบสาวทางประวัติศาสตร์เพื่อค้นคว้าการประกอบสร้างตัวเราเอง]ครั้งนี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือความเข้าใจ (transcendental) และเป้าหมายของการวิพากษ์ก็ไม่ใช่การทำให้อภิปรัชญาเป็นไปได้ มันเป็นการวิพากษ์ในเชิงวงศาวิทยา (genealogical) ในการออกแบบ (its design) และเป็นการวิพากษ์ในเชิงอาคีโอโลจี (archaeological) ในทางวิธีวิทยา (its method)” (Foucault, 1984, p. 46)
จริงอยู่ การตีความว่าด้วยเปลี่ยนผ่านทางวิธีวิทยาจาก “อาคีโอโลจี” มาเป็น “วงศาวิทยา” ได้รับการยอมรับจากนักวิชาการหลายท่าน (เช่น ธงชัย วินิจจะกูล, 2534, น. 49; ฐานิดา บุญวรรโณ, 2565, น. 22) แต่ถึงกระนั้น จากตัวบทของบทความสุดท้ายว่าด้วยภาวะแสงสว่างทางปัญญากับหนังสือ ระเบียบของวาทกรรม ชวนให้เราตั้งคำถามต่อการตีความวิธีวิทยาของฟูโกต์ว่า การเปลี่ยนผ่านทางวิธีวิทยานั้นเกิดขึ้นจริงๆ หรือไม่? เพราะการกล่าวถึงวิธีการศึกษาเชิงวิพากษ์กับการศึกษาเชิงวงศาวิทยาในหนังสือเล่มนี้ รวมไปถึงการกล่าวถึงอาคีโอโลจีกับวงศาวิทยาในบทความว่าด้วยภาวะแสงสว่างทางปัญญาที่วงวิชาการมองว่าเป็นหนึ่งในงานเขียนชิ้นสุดท้ายในชีวิตของฟูโกต์นั้น (D’Entrèves, 2000, p. 184) ได้ชวนให้เราตั้งคำถามถึงการไม่ได้หายไปของ “อาคีโอโลจี” ในการศึกษาของฟูโกต์หลังจากสิ้นสุดการบรรยาย L’Ordre du Discours เพราะฉะนั้น การปิดฉากนี้จึงไม่ใช่จุดจบของการศึกษาฟูโกต์ (Foucault Studies) ในสังคมไทยแต่อย่างใด สุดท้ายแล้ว ผู้เขียนขอยืนยันว่า การตีพิมพ์บทบรรยายว่าด้วย ระเบียบของวาทกรรม เป็นภาษาไทยน่าจะช่วยสร้างแรงกระเพื่อมให้กับการศึกษาฟูโกต์ในสังคมไทยให้ไปไกลกว่าการอ้างอิงตัวบทชั้นสอง (secondary sources) ในภาษาอังกฤษอย่างที่เคยเป็นมา แม้ว่าในงานเขียนชิ้นนี้ ผู้เขียนจะยังใช้ตัวบทที่เป็นภาษาอังกฤษเนื่องจากข้อจำกัดทางด้านภาษาก็ตามที
รายการอ้างอิง
ฐานิดา บุญวรรโณ. (2565). บทนำ. ใน ระเบียบของวาทกรรม, แปลโดย ฐานิดา บุญวรรโณ (น. 5-81). กรุงเทพฯ: Illuminations Editions.
ธงชัย วินิจจะกูล. (2534). รายงานโครงการวิจัยเสริมหลักสูตรเรื่อง วิธีการศึกษาประวัติศาสตร์แบบวงศาวิทยา (Genealogy). กรุงเทพฯ: คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ธเนศ วงศ์ยานนาวา. (2528). อ่านงานฟูโก้. วารสารธรรมศาสตร์, 14(3), 36-57.
ฟูโกต์, มิเชล. (2565). ระเบียบของวาทกรรม, แปลโดย ฐานิดา บุญวรรโณ. กรุงเทพฯ: Illuminations Editions.
Burchell, Graham. (2014). Translator’s Note. In Lectures on the Will to Know: Lectures at the Collège de France 1970-1971 and Oedipal Knowledge, translated by Graham Burchell (pp. xiv-xv). New York: Palgrave Macmillan.
D’Entrèves, Maurizio Passerin. (2000). Critique and Enlightenment: Michel Foucault on ‘Was ist Aufklärung?’ In The Enlightenment and Modernity, edited by Normas Geras, and Robert Wokler (pp. 184-203). London: Palgrave Macmillan.
Foucault, Michel. (1977a). Discipline and Punish: The Birth of the Prison. New York: Vintage Books Edition.
Foucault, Michel. (1977b). Nietzsche, Genealogy, History. In Language, Counter-Memory, Practice: Selected Essays and Interviews, edited by Donald F. Bouchard (pp. 139-164). Ithaca, New York: Cornell University Press.
Foucault, Michel. (1984). What is Enlightenment? In The Foucault Reader: An Introduction to Foucault’s Thought, edited by Paul Rabinow (pp. 32-50). London: Penguin Books.
Foucault, Michel. (1994). The Birth of the Clinic: An Archaeology of Medical Perceptions. New York: Vintage Books Edition.
Foucault, Michel. (1997). Candidacy Presentation: Collège de France, 1969. In Ethics: Subjectivity and Truth, edited by Paul Rabinow (pp. 5-10). New York: The New Press.
Foucault, Michel. (2006). History of Madness. New York: Routledge.
Mendel, Gregor. (1866). Versuche über Pflanzen-Hybriden. Verhandlungen des naturforschenden Vereines in Brünn (Abhandlungen), 4, 3-47.
Mendel, Gregor. (1901). Experiments in Plant Hybridisation. Journal of the Royal Horticultural Society, 26, 1-32.
Posner, E., and J. Skutil. (1968). The Great Neglect: The Fate of Mendel’s Classic Paper Between 1865 and 1900. Medical History, 12(2), 122-136.
Siant-Exupèry, Antoine De. (1995). The Little Prince, translated by Irene Testot-Ferry. England and Wales: Wordsworth Editions.
Wilkie, J. S. (1962). Some Reasons for the Rediscovery and Appreciation of Mendel’s Work in the First Years of the Present Century. The British Journal for the History of Science, 1(1), 5-17.
________________________________________
สั่งซื้อ >>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |