โดย สุรดา จุนทะสุตธนกุล
อันที่จริงแล้วเป็นเรื่องปกติที่เราจะกล่าวว่าบุคคลหนึ่งไม่ใช่คนเดียวกันกับบุคคลก่อนที่ดำรงตำแหน่งเดียวกันกับเขาในอดีต แต่ในกรณีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานั้น เป็นไปได้ยากเหลือเกินที่จะพิสูจน์ว่าทั้งตัวเขาและระบอบที่แวดล้อมอยู่รอบตัวเขาไม่ใช่สิ่งเดียวกันที่เกิดขึ้นในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพราะทั้งนักวิชาการและสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างก็นำผู้นำทั้งสองท่านมาเปรียบเทียบกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งกรณีที่ชัดเจนที่สุดก็คือการที่นิตยสาร Time ได้ให้สมญานามพลเอกประยุทธ์ว่า “Little Sarit” หรือ สฤษดิ์น้อย หากแต่ผลงานของ ชัชฎา กำลังแพทย์ เล่มนี้ได้พิสูจน์ให้ผู้อ่านเข้าใจโดยละเอียดว่าไม่ใช่แค่ประยุทธ์ไม่ใช่สฤษดิ์ เพราะผู้เขียนได้ฉายภาพให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่ารัฐราชการ (Bureaucratic State) ที่ก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ได้รุ่งเรืองอำนาจที่สุดในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ย่อมเป็นคนละสิ่งกับรัฐราชการไทยในปัจจุบันภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
กล่าวคือรัฐราชการไทยสมัยจอมพลสฤษดิ์เป็นรัฐราชการที่เข้มแข็ง จนกลายเป็นต้นแบบความสำเร็จที่ชนชั้นนำรุ่นต่อๆ มาพยายามจะหยิบฉวยบางลักษณะมาประยุกต์ใช้กับรัฐในสมัยของตน หากแต่รัฐราชการของพลเอกประยุทธ์เป็นรัฐราชการที่มีความลักลั่นในการบริหารจัดการและการแก้ไขปัญหา แม้ว่าจะรวบเอาอำนาจการบริหารมาไว้ที่ตัวนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม หนังสือเล่มนี้ได้ยกตัวอย่างความล้มเหลวในการจัดการปัญหาภัยพิบัติกรณีไฟไหม้โรงงานกิ่งแก้ว และการจัดการกับโรคระบาดโควิด-19 ว่าเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่ารัฐราชการไทยภายใต้การปกครองของคสช.นั้นไม่สามารถบริหารจัดการวิกฤติได้ และทำให้ประชาชนต้องตะเกียกตะกายช่วยตนเอง หรือฝ่ายท้องถิ่นจะต้องออกมามีบทบาทในการแก้ไขปัญหา เช่น การที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรีและปทุมธานีประกาศจัดหาวัคซีนให้กับประชาชนของตน หรือการที่จังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดอุทัยธานีประกาศปิดจังหวัดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคโควิด-19
ในบทที่ 1 ผู้เขียนอธิบายที่มา ความสำคัญ แนวคิดของการศึกษารัฐราชการ และได้อธิบายว่าการศึกษารัฐราชการตามแนวคิดของเฟร็ด ริกส์ (Fred W. Riggs) นั้น คือการนิยามรัฐราชการว่าเป็นการเมืองที่มีระบบราชการเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจทางการเมืองและกำหนดนโยบายสำคัญของประเทศ เป็นแนวความคิดที่ไม่เพียงพอต่อการอธิบายเหตุการณ์ที่กลุ่มข้าราชการทหารต้องการกลับเข้ามามีบทบาทสำคัญทางการเมืองผ่านการรัฐประหาร 2 ครั้งล่าสุดในพ.ศ. 2549 และพ.ศ. 2557 หากแต่ควรมองรัฐราชการในฐานะเครือข่ายกลุ่มพลังทางการเมืองที่มีพลวัตรและการปรับตัวมาตลอดตั้งแต่มีการก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา ผู้เขียนจึงเสนอให้ผู้อ่านศึกษารัฐราชการในฐานะที่เป็นตัวแสดงทางการเมืองหนึ่งที่มีพลวัตรการขับเคลื่อนในตนเอง
ในบทที่ 2 ผู้เขียนได้ฉายภูมิทัศน์รัฐราชการไทยตั้งแต่จุดกำเนิดและการพัฒนาไปสู่ความทันสมัยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ส่วนในบทที่ 3 และ 4 ผู้เขียนได้นำเสนอรัฐราชการในสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และในสมัยของคสช. เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นว่าแม้ในสมัยของจอมพลสฤษดิ์จะมีการรวบอำนาจเข้าสู่ตัวนายกรัฐมนตรี และเน้นวาระการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเช่นเดียวกันกับสมัยของคสช. แต่สิ่งที่จอมพลสฤษดิ์มีมากกว่าก็คือการสร้างความชอบธรรมผ่านธรรมนูญการปกครอง กฎหมาย คำสั่งของคณะปฏิวัติ และบุคลิกส่วนตัวที่มีความเด็ดขาดและเป็นดั่งพ่อของจอมพลสฤษดิ์ ผ่านนโยบายการพัฒนาและความมั่นคงที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา และได้รับความชอบธรรมจากการฟื้นฟูโบราณราชประเพณีและการสร้างสายสัมพันธ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยที่พลังนอกราชการ เช่น กลุ่มทุนและภาคประชาชนยังไม่มีความเข้มแข็ง
หากแต่รัฐราชการของจอมพลสฤษดิ์ก็เสื่อมถอยไปตามกาลเวลา ประกอบกับการที่ตัวแสดงนอกราชการมีความเข้มแข็งมากขึ้น แม้ว่ารากฐานของรัฐราชการจะหยั่งรากมาจนถึงสมัยพลเอกเปรม และพลเอกชาติชาย แต่ว่าในยุคของพลเอกชาติชายนั้น บรรยากาศทางการเมืองประชาธิปไตยเบ่งบานอย่างเต็มที่ ทำให้การเมืองมีการแข่งขันกันอย่างอิสระเสรี จนทำให้เกิดการรัฐประหารของรสช. ซึ่งนำโดยพลเอกสุจินดา และตามมาด้วยเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 แต่เรื่องราวพัฒนาการของรัฐไทยนั้นก็ได้นำมาซึ่งรัฐธรรมนูญ 2540 ที่เป็นรัฐธรรมนูญที่มุ่งสร้างรัฐบาลที่เข้มแข็ง มีเสถียรภาพกว่ารัฐบาลในอดีตและทำให้ประเทศไทยได้รัฐบาลที่เข้มแข็งของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกโค่นล้มด้วยพลังของรัฐราชการในเวลาต่อมา
หลังจากรัฐประหาร 2549 รัฐไทยกลายเป็นเวทีการต่อสู้ทางการเมืองทั้งของชนชั้นนำในรัฐสภาและรัฐราชการ และยังเต็มไปด้วยการต่อสู้บนท้องถนนของมวลชนที่สนับสนุนรัฐราชการในอดีต (กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่ม) กับกลุ่มที่สนับสนุนประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม ทำให้แม้คสช.จะรัฐประหารจนได้อำนาจมาแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะยึดจับอำนาจการปกครองได้อย่างเบ็ดเสร็จเหมือนเช่นในอดีต
นอกจากความล้มเหลวในการบริหารจัดการแล้ว รัฐราชการของพลเอกประยุทธ์ยังแสดงให้เห็นถึงความพยามที่จะปกครองประเทศด้วยระบอบอำนาจนิยม และโต้ตอบผู้ที่เห็นต่างอย่างเข้มงวด ภาพการจัดการกับผู้ชุมนุมประท้วงเรียกร้องการปฏิรูปการปกครองและสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้รถฉีดน้ำ การนำตู้คอนเทนเนอร์มาตั้งกีดขวางเส้นทางการประท้วง การออกหมายเรียกตัว/หมายจับแกนนำและผู้ร่วมชุมนุม ตลอดจนการใช้กำลังสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรง ภาพเหล่านี้สะท้อนให้เราเห็นว่าเมื่อกลุ่มพลังนอกระบบราชการในปัจจุบันมีความหลากหลาย และรัฐบาลไม่ได้รับแรงสนับสนุนอย่างเด็ดขาดจากข้าราชการ ทหาร เทคโนแครต นายทุน และการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาเหมือนดังเช่นรัฐราชการของจมพลสฤษดิ์ ส่งผลให้พลังนอกระบบราชการ ไม่ว่าจะเป็นภาคประชาชน ภาคธุรกิจ นักการเมืองอาชีพ หรือเจ้าพ่อท้องถิ่นมีความเข้มแข็งขึ้น และทำให้รัฐราชการของพลเอกประยุทธ์เป็นรัฐราชการที่กลวงโบ๋ ไร้ประสิทธิภาพแม้รวมอำนาจมาไว้ที่ตัวนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม
หนังสือเล่มนี้จึงเป็นความพยายามของผู้เขียนที่จะอธิบายถึงรัฐราชการที่ก่อตัวขึ้นและเป็นกลุ่มพลังทางการเมืองที่ฝังตัวอยู่ในการปกครองไทยมาเป็นเวลาช้านาน แม้จะมีความเสื่อมถอยไปบ้างในบางจังหวะ แต่ก็ไม่เคยหายเลือนไปจากภาพการเมืองการปกครองประเทศ แม้ว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นการรัฐประหารแต่ละครั้งคือการแสดงถึงพลังต้านของรัฐราชการที่ไม่ต้องการจะแฝงตัวอยู่ในองคาพยพของรัฐไทยที่คุกคามผลประโยชน์และเป็นการป้องกันไม่ให้ตนเองถูกคุกคามจากรัฐบาลระบอบประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งนั่นเอง
__________________________
สั่งซื้อหนังสือ >>>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |