โดย ชุติเดช เมธีชุติกุล
“ผีที่กำลังหลอกหลอน [กรอบคิดเรื่อง] อำนาจอธิปไตย [ในทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ] อยู่นั้น คือ ผีชาตินิยม . . .”[1]
Francisco Colom González, Nicole Miller
David A. Brading และ ธเนศ วงศ์ยานนาวา
หนังสือ ชาตินิยมในลาตินอเมริกา: กระแสลมแห่งความซับซ้อน (ราคา 240 บาท) ซึ่งมีคุณตรีเทพ ศรีสง่า เป็นบรรณาธิการ เป็นหนังสือรวมบทความทั้งสิ้น 4 ชิ้น (ไม่รวมบทนำ) เป็นงานแปล 3 ชิ้น โดยเป็นงานเขียนของนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา และมานุษยวิทยาในลาตินอเมริกา ได้แก่ Francisco Colom González, Nicola Miller และ David A. Brading และบทความภาษาไทย 1 ชิ้น โดย ธเนศ วงศ์ยานนาวา ที่พยายามนำเสนอความหลากหลายและซับซ้อนสำหรับการทำความเข้าใจกระแสชาตินิยมที่เกิดขึ้นในลาตินอเมริกา อีกทั้งยังนำเสนอภูมิทัศน์และประวัติศาสตร์ของการศึกษาชาตินิยมในลาตินอเมริกาได้อย่างน่าสนใจ ครอบคลุม และรอบด้าน รวมถึงได้ตั้งข้อสังเกตบางประการที่ช่วยให้เราคิดใคร่ครวญและพาเดินเข้าไปลุ่มน้ำต่างๆ และแหล่งอารยธรรมโบราณที่ยิ่งใหญ่ในภูมิภาคลาตินอเมริกานี้
ตามที่ตรีเทพ ศรีสง่า กล่าวสรุปไว้ในบทนำเกี่ยวกับบทความทั้ง 4 ชิ้น ว่าเป้าหมายของบทความชุดนี้เป็นการพยายามสร้างบทสนทนาและข้อถกเถียงกับหนังสือ Imagined Communities: Reflections on the Origin and Spread of Nationalism ของ Benedict Anderson (ตีพิมพ์ครั้งแรกใน 1983) โดยเฉพาะในบทที่ 4 ชื่อ “Creole Pioneers”[2] ที่เสนอถึงจุดกำหนดของชาตินิยมในลาตินอเมริกาว่าเริ่มขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18 ด้วย 2 ปัจจัย คือ 1) ความไม่พอใจของ Creole (กลุ่มคนผิวขาว เชื้อสายยุโรป แต่เกิดในทวีปอเมริกา) ต่อพวกกลุ่มขุนนาง Peninsular (กลุ่มคนเชื้อสายสเปนที่เกิดในสเปนและเดินทางมายังทวีปอเมริกาเพื่อการทำงานหรืออยู่อาศัย) 2) ทุนนิยมการพิมพ์ (print-capitalism) ผ่านการหนังสือพิมพ์ในดินแดนอาณานิคม ซึ่งทั้งสองปัจจัยได้ช่วยกระตุ้นและก่อร่างสร้างจินตภาพความเป็นชาติให้เกิดขึ้นกับผู้คนในดินแดนลาตินอเมริกานี้
Benedict Anderson กับหนังสือ Imagined Communities (หรือ ชุมชนจินตกรรมฯ)
แต่ชุดบทความในเล่มนี้ต่างเสนอข้อถกเถียงและหลักฐานที่มาแย้งกับข้อเสนอดังกล่าวของ Anderson ใน 3 เรื่องหลัก ๆ ด้วยกัน คือ 1) หลักฐานอ้างอิงที่ Anderson ใช้เกี่ยวกับลาตินอเมริกาค่อนข้างเก่า ไม่หลากหลาย และเป็นเพียงหลักฐานชั้นรอง 2) การสับเปลี่ยนตำแหน่งของข้าราชการ Creole หรือที่ Anderson เรียกว่า “การจาริกแสวงบุญ” นั้น Anderson มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่าไม่สามารถสับเปลี่ยนข้ามเขตอาณานิคมได้ แต่อันที่จริงแล้วการสับเปลี่ยนดังกล่าวไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะในพื้นที่เขตอาณานิคมนั้นๆ เท่านั้น แต่สามารถเปลี่ยนข้ามเขตได้ 3) หนังสือพิมพ์ในศตวรรษที่ 18 ยังไม่แพร่หลายในลาตินอเมริกามากนัก แต่เป็นช่วงศตวรรษที่ 19 ต่างหากที่เริ่มแพร่หลายไปทุกกลุ่มก้อนของสังคม
โดยทั้ง 4 บทความ หลังจากตั้งข้อถกเถียงแย้งแล้ว ก็ได้นำเสนอข้อเสนอว่าด้วยชาตินิยมในลาตินอเมริกาที่พอจะสรุปได้ใน 3 ประเด็นด้วยกัน ว่าด้วยลักษณะที่น่าเป็นไปได้ของชาตินิยมในลาตินอเมริกา ได้แก่
1) บทบาทของทุนนิยมการพิมพ์กับชาตินิยม สื่อสิ่งพิมพ์เริ่มมีบทบาทสำคัญตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ไม่ใช่ศตวรรษที่ 18 ตามที่ Anderson เสนอ[3]
2) มีความแตกต่างหลากหลายของจิตสำนึกความเป็นชาติในกลุ่ม Creole ด้วยกันเองและกลุ่มก้อนทางสังคมอื่น ๆ ในลาตินอเมริกา จึงไม่ใช่ว่า Creole กลุ่มเดียวที่จะมีบทบาทต่อการสร้างชาตินิยมในลาตินอเมริกาในทุกกรณีตามที่ Anderson เสนอ[4]
3) บทบาทของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิกต่อการสร้างชาตินิยมในลาตินอเมริกา ในประเด็นเรื่องคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิกในลาตินอเมริกานั้นดูเหมือนว่าจะได้รับอิทธิพลมาจากสเปน ซึ่งสเปนถือว่าคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิกเป็นอัตลักษณ์ประจำชาติของสเปน แต่ประเด็นนี้กลับถูก Anderson ละเลยไป[5]
นอกจาก 3 เรื่องนี้แล้ว ทั้ง 4 บทความยังได้เพิ่มเติมข้อสังเกตต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับเรื่องชาตินิยมในลาตินอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นชาตินิยมที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างจริงจังในครึ่งหลังศตวรรษที่ 19 และความสัมพันธ์กับแนวทางประชานิยม (Populism) ที่ปรากฎขึ้นในการเมืองของลาตินอเมริกาในช่วงศตวรรษที่ 20 ที่ผู้นำทางการเมืองในแนวทางนี้มักจะช่วงใช้ชาตินิยมสำหรับการสร้างมวลชนมาสนับสนุนตนเองเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ชัยชนะจากการเลือกตั้ง และความชอบธรรมทางการเมือง ประเด็นเรื่องบทบาทของภาษา ชาติพันธุ์ เพศสภาพ วัฒนธรรมดั้งเดิม วัฒนธรรมท้องถิ่น วัตถุทางวัฒนธรรม วรรณรรม ปัญญาชน ลักษณะสายสัมพันธ์ชาตินิยมแบบแนวดิ่ง สงคราม ลัทธิทหารนิยม อิทธิพลของแนวคิดจากยุโรปไม่ว่าจะเป็นสาธารณรัฐนิยมคลาสสิก (Classic Republicanism) แนวคิดชาตินิยมโรแมนติก (Romantic Nationalism) เป็นต้น ข้อเสนอเหล่านี้ช่วยทำให้การศึกษาชาตินิยมดูมีประเด็นน่าสนใจอื่น ๆ อีกมากมาย อีกทั้งในแต่ละบทความก็ยกตัวอย่างกรณีศึกษาคร่าว ๆ ที่อาจจะไม่ได้ลงลึกมากนัก แต่ช่วยทำให้พอเห็นถึงหลักฐานที่มาสนับสนุนข้อเสนอที่พวกเขาพยายามชี้ให้เห็น ไม่ว่าจะเป็น เม็กซิโก อาร์เจนตินา โคลอมเบีย โบลิเวีย เวเนซุเอลา บราซิล ชิลี เปรู เอกวาดอร์ ปารากวัย คิวบา เป็นต้น
นอกจากนี้งานทั้ง 4 บทความยังช่วยให้ตั้งประเด็นศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับชาตินิยมในลาตินอเมริกาเพิ่มเติม อย่างประเด็นเรื่องรัฐกับชาตินิยมที่ดูเหมือนว่ากรณีลาตินอเมริกานั้น รัฐจะเกิดก่อนชาตินิยม ต่อเมื่อรัฐเข้มแข็งแล้ว ชาตินิยมถึงจะเริ่มก่อตัวขึ้นภายใต้กลไกของรัฐ หรือชาตินิยมในยุโรปนำมาซึ่งการเหยียดเชื้อชาติ แต่ในลาตินอเมริกากลับเป็นเรื่องของการปลดปล่อย หรือพัฒนาการชาตินิยมในลาตินอเมริกาในช่วงแรกๆ มีลักษณะเป็นชาตินิยมที่เน้นเรื่องวัฒนธรรม แต่พอมาช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นเรื่องชาตินิยมเศรษฐกิจแทน ประเด็นเหล่านี้จึงน่าสนใจที่จะดุ่มเดินไปสำรวจตรวจสอบทั้งด้วยความอยากรู้หรือเพื่อตั้งเป็นประเด็นศึกษาวิจัยต่อไปในอนาคตได้
แผนที่แสดงถึงจุดที่เกิดการปะทะกันในสงครามเพนนินซูลาร์ (Peninsular War) ระหว่างปี 1807–1814 ระหว่างฝรั่งเศส ภายใต้การนำของนโปเลียนกับสเปนและโปรตุเกส โดยสงครามดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของสงครามนโปเลียน
(ที่มา https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Peninsular_War_map_1807%E2%80%931814.png)
แต่ประเด็นในหนังสือเล่มนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ดูเหมือนว่าเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จนจบสิ่งที่ถูกกล่าวถึงอยู่เรื่อย ๆ ที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและประวัติศาสตร์การทูต ซึ่งพอสรุปได้ใน 3 เรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งต่อความเป็นไปในลาตินอเมริกา คือ 1) สงครามนโปเลียน ระหว่างปี 1803-1815 (Napoleonic Wars) โดยเฉพาะในปี 1808 เป็นปีที่นโปเลียนยึดครองสเปน การยึดครองดังกล่าวได้เกิดช่องว่างและสุญญากาศทางอำนาจที่ทำให้เขตอาณานิคมต่าง ๆ ในลาตินอเมริกาเริ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชสำหรับการปกครองแบบสาธารณรัฐ 2) สงครามระหว่างสเปนกับสหรัฐอเมริกา ปี 1898 (Spanish–American War) ที่ในทางหนึ่งสงครามนี้แม้จะเป็นการประกาศศักดาของสหรัฐอเมริกาที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นมหาอำนาจโลกอย่างจริงจัง แต่ในขณะเดียวกันกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาต่างรับรู้ถึงผลของสงครามดังกล่าวว่าเป็นเสมือนหนึ่งภัยคุกคามใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามาสู่ภูมิภาคของตน[6] 3) แนวทางประชานิยม เป็นแนวทางที่ผู้นำทางการเมืองในลาตินอเมริกามักใช้เป็นแนวทางเพื่อต้องการมวลชนและประชาชนให้มาสนับสนุน โดยนำเรื่องชาตินิยมมาใช้ชักชวนมวลชนมาเป็นฐานสนับสนุนทางการเมืองของตน สร้างความชอบธรรมในทางการเมือง และนำไปสู่ชัยชนะของการเลือกตั้งหรือคงรักษาตำแหน่งทางการเมืองของตนให้อยู่ต่อไปได้ แนวทางประชานิยมในด้านของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างมากต่อการกำหนดนโยบายและความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ ของประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกา
ภาพการ์ตูนล้อเลียนสงครามระหว่างสเปนกับสหรัฐอเมริกา (ภาพโดย W. A. Rogers ปี 1898)
(ที่มา: https://pixels.com/featured/cartoon-spanish-american-war-1898-granger.html)
ในแง่นี้ทั้งสามประเด็นต่างสัมพันธ์กับประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและประวัติศาสตร์การทูตอย่างสำคัญ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระหว่างกลุ่มประเทศลาตินอเมริกากับสเปนและโปรตุเกส และกับสหรัฐอเมริกา ความสัมพันธ์เหล่านี้ถือเป็นตัวแปรสำคัญต่อการก่อรูปรัฐชาติและชาตินิยมของลาตินอเมริกาในเวลาต่อมา และโดยเฉพาะการเมืองในประเทศลาตินอเมริกาตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นต้นไปที่ต้องเผชิญหน้ากับอิทธิพลและการแทรกแซงของสหรัฐอเมริกาตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหนังสือ ชาตินิยมในลาตินอเมริกา: กระแสลมแห่งความซับซ้อน เป็นเสมือนคลังความรู้ที่สำคัญต่อการตระหนักถึงปัจจัยเรื่องชาตินิยมว่าไม่ใช่แค่ส่งผลต่อประเทศในลาตินอเมริกาหรือในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของภูมิภาคนี้เท่านั้น แต่ควรนำประเด็นดังกล่าวไปสู่การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของประเทศนอกภูมิภาคนี้ด้วย เพราะในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ดูเหมือนว่าประเด็นเรื่องชาตินิยมกลายเป็นสิ่งที่ถูกละเลย หรือถูกอัปเปหิให้ไปอยู่ชายขอบของวิชาในอาณาบริเวณของการเมืองภายใน[7] ชาตินิยมถูกทำให้กลายเป็นเรื่องของการเมืองภายใน หรือแม้แต่เวลาที่กล่าวถึง “รัฐชาติ” (nation-state) หรือแม้แต่ศัพท์ทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่าง “ผลประโยชน์แห่งชาติ” (national interest) “ความมั่นคงแห่งชาติ” (national security) เป็นต้น แม้จะใช้คำว่า “nation” หรือ “national” เป็นศัพท์สำคัญในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ดูเหมือนว่าวิชาดังกล่าวมักจะเน้นไปทางมุมของ “รัฐ” (state) เป็นสำคัญ กล่าวคือเวลากล่าวถึง “รัฐชาติ” “ผลประโยชน์แห่งชาติ” “ความมั่นคงแห่งชาติ” มักจะถูกเข้าใจในความหมายในเชิงหน่วยทางการเมืองมากกว่าที่จะมีนัยยะในเชิงความเป็นชาติทางชาติพันธุ์ หรือวัฒนธรรมแต่อย่างใด[8]
ในแง่นี้ดูเหมือนว่ารากฐานหรือภววิทยาของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่สำคัญอย่าง “รัฐชาติ” ถูกสร้างขึ้นมาจากมนตราของชาตินิยม (a conjuration of nationalism) ที่ตัวความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเองนั้นรู้ว่าตนเกิดมาจากสิ่งใด เสมือนหนึ่งว่าไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนเลย เพื่อให้ตัวตนของตนเองสอดคล้องกันไปได้กับนิยามในการสร้างเส้นแบ่งหรือการขีดเส้นที่ชัดเจนระหว่างภายในและภายนอก กล่าวคืออะไรที่สำคัญหรือไม่สำคัญสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างแต่เป็นธรรมชาติที่อยู่มาช้านาน รอยแบ่งไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิด แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว สิ่งที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทำกับชาตินิยมนั้น คือการจองจำหรือขับไล่ผีชาตินิยมไปสุดขอบจักรวาลของตนไม่ให้ปรากฎตัวหรือถูกรับรู้อีกเลย[9]
แต่หนังสือเล่มนี้กำลังปลดปล่อยผีชาตินิยมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้กลับมาปรากฎอีกครั้ง ทำให้เส้นแบ่งที่แสนชัดเจนกลายเป็นรอยปะบาง ๆ เพื่อชี้ให้เห็นว่าพลังของชาตินิยมโดยเฉพาะในภูมิภาคลาตินอเมริกานั้นมีความโดดเด่นและทรงพลังอย่างมากต่อการเมืองภายในของประเทศ และโดยเฉพาะการเมืองแบบประชานิยมในลาตินอเมริกาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ต่างพยายามช่วงใช้ชาตินิยมมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อหวังผลในชัยชนะทางการเมืองทั้งในการเลือกตั้งและการยึดอำนาจ
ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงไม่เพียงทำให้เราตระหนักถึงลักษณะที่แตกต่างของชาตินิยมในลาตินอเมริกาเท่านั้น แต่ยังช่วยทำเห็นว่าปัจจัยเรื่องชาตินิยมทั้งต่อการเมืองภายในและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคลาตินอเมริกา และอาจรวมถึงประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้ด้วยก็ว่าได้ อีกทั้งยังช่วยทำให้เรารื้อสร้างความเข้าใจต่อการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสียใหม่ว่าควรจะจัดวางประเด็นเรื่องชาตินิยมในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างไรดี หรือควรจะศึกษาประเด็นดังกล่าวอย่างไร รูปแบบไหน หรือประเด็นดังกล่าวส่งผลต่อรากฐานความเข้าใจในเชิงภววิทยา (ontology) ของหน่วยวิเคราะห์อย่างรัฐ (state) ซึ่งเป็นหน่วยวิเคราะห์หลักของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่ และอย่างไร
ทั้งหมดนี้คือเนื้อหาโดยรวมของ ชาตินิยมในลาตินอเมริกา: กระแสลมแห่งความซับซ้อน หนังสือที่เปรียบเสมือนกับการพาเราไปผจญภัยในภูมิภาคลาตินอเมริกา ด้วยการเดินเรือไปพร้อมกับกัปตันและกะลาสีในบังคับของสเปน พาเราไปสำรวจรากเหง้าทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของพื้นป่ารกชัฎของชาตินิยมที่ถอดตัวไปยาวไกลสุดลูกหูลูกตา พร้อมสรรพไปด้วยสิงสาราสัตว์นานาพันธุ์กับสายน้ำแห่งลุ่มอามาซอนที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดที่แตกแขนงไปยังดินแดนต่าง ๆ ทั่วลาตินอเมริกา ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทุกท่านจะได้ประสบพบเจอผ่านตัวอักษรในหนังสือที่มีชื่อว่า ชาตินิยมในลาตินอเมริกา: กระแสลมแห่งความซับซ้อน ขอให้สนุกกับกับการผจญภัยผ่านตัวอักษร
[1] “A specter is haunting sovereignty—the specter of nationalism . . .” Heiskanen, Jaakko. (2019). Spectra of Sovereignty: Nationalism and International Relations. International Political Sociology, 13(3), 315.
[2] ฉบับภาษาไทย บทที่ 4 แปลว่า ‘ผู้บุกเบิกครีโอ’ สามารถหาอ่านได้ใน เบน แอนเดอร์สัน. (2552). ชุมชนจินตกรรม บทสะท้อนว่าด้วยกำเนิดและการแพร่ขยายของชาตินิยม, ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (บก. แปล). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, หน้า 85-116.
[3] ในประเด็นนี้สามารถพิจารณาได้ในบทความของ Miller (79-80) และธเนศ วงศ์ยานนาวา (130-132)
[4] สามารถพิจารณาได้ในบทความของ González (39) Miller (78) และธเนศ วงศ์ยานนาวา (136-138)
[5] พิจารณาได้ในบทความของ González (36-39) Miller (82-84) ธเนศ วงศ์ยานนาวา (127-128, 146-149) และ Brading (159)
[6] ตัวอย่างของประเด็นดังกล่าวนี้สามารถพิจารณาเบื้องต้นได้จากกรณีนโยต่างประเทศของเปรูช่วงหลังทศวรรษปี 1930 เป็นต้นมา ได้จาก St John, Ronald Bruce. (2012). Peru: a model for Latin American diplomacy and statecraft. In B.J.C. McKercher (ed.), Routledge Handbook of Diplomacy and Statecraft, (pp. 181-191). Oxon: Routledge.
[7] Heiskanen, Jaakko. (2019). Spectra of Sovereignty: Nationalism and International Relations. International Political Sociology, 13(3), 315–332
[8] สามารถพิจารณาเพิ่มเติมได้ใน Heiskanen, Jaakko. (2021). Nations and Nationalism in International Relations. In Benjamin de Carvalho, Julia Costa Lopez, Halvard Leira (eds.), Routledge Handbook of Historical International Relations, (pp. 244-252). Oxon: Routledge; Griffiths, Martin and Sullivan, Michael. (1997). Nationalism and International Relations Theory. Australian Journal of Politics and History, 43(1), 53-66; Mayall, James. (1990). Nationalism and international society. New York: Cambridge University Press; Woodwell, Douglas. (2007). Nationalism in International Relations: Norms, Foreign Policy, and Enmity. New York: Palgrave.
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |