โดย ฐนพงศ์ ลือขจรชัย
ลาตินอเมริกาแทบจะเป็นดินแดนลับแลในความรับรู้ของคนไทย อิทธิพลของฮอลลีวูด (Hollywood) ยิ่งทำให้เราเห็นลาตินอเมริกาเป็นดินแดนแห่งความป่าเถื่อน ไร้กฎหมาย ยาเสพติด และความรุนแรง (ดังที่ซีรีย์เรื่อง นาร์โคส (Narcos) ที่ฉายทาง Netflix ได้โฆษณาโดยทำเป็น censor ตัวเองจากการที่เนื้อหาของซี่รี่ย์มีความรุนแรง อนาจาร และยาเสพติด) ภาพผู้มีความผิดในอเมริกามักพยายามหนีข้ามพรมแดนไปยังเม็กซิโกเป็นภาพทั่วไปที่เราเห็นได้จากหนังฟอร์มใหญ่ พรมแดนทางใต้ของอเมริกานี้เองก็เป็นพรมแดนความรู้ของคนไทยที่มีต่อลาตินอเมริกาไปด้วย กล่าวคือ เรารับรู้ลาตินอเมริกาในฐานะ “ความเป็นอื่น” (other) จากมุมมองของสหรัฐฯ มาโดยตลอด
ป้ายและโปสเตอร์โฆษณาซีรีย์เรื่อง นาร์โคส (Narcos)
อย่างไรก็ดี วรรณกรรมจากลาตินอเมริกากลับกลายเป็นหนังสือขายดีในประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (แม้บางเล่มจะเคยแปลมานานแล้ว) เช่น “หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” (One Hundred Years of Solitude) ของ กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ (Gabriel García Márquez) หรือ “ขุมทรัพย์สุดปลายฝัน” (The Alchemist) ของ เปาลู กูเวลยู (Paulo Coelho) เป็นต้น “ชาตินิยมในลาตินอเมริกา: กระแสลมแห่งความซับซ้อน” หนังสือรวมบทความของสำนักพิมพ์ Illuminations Editions ก็จะเป็นอีกก้าวหนึ่งที่ทำให้เราได้เข้าใจดินแดนลี้ลับอันทรงเสน่ห์ของลาตินอเมริกาได้ในแง่มุมที่ลึกซึ้งกว่าเดิม
ความน่าสนใจประการแรกของชาตินิยมในลาตินอเมริกาคือความซับซ้อนของรัฐต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังได้รับเอกราช ลาตินอเมริกาเป็นภูมิภาคขนาดใหญ่ที่มีลักษณะร่วมที่เด่นชัด (แม้จะมีความหลากหลายภายใน) คือการพูดภาษาที่มีรากจาก “ละติน” การถูกปกครองโดยสเปนและโปรตุเกสกว่า 300 ปี การแบ่งชนชั้นทางชาติพันธุ์จากการผสมระหว่างเชื้อชาติ (race) ที่แตกต่างอย่างชัดเจน และสถานะการเป็นดินแดนอาณานิคมที่ผู้มีอำนาจสูงสุดเป็นชาวยุโรปผิวขาวที่อยู่ห่างออกไปค่อนโลก (กษัตริย์สเปนและโปรตุเกส) ความเหมือนนี้เองที่ทำให้เราสามารถเรียกสิ่งนี้รวม ๆ ได้ว่า “ลาตินอเมริกา” แต่ด้วยความเหมือนนี้เช่นกัน เมื่อการปกครองของชาวยุโรปสิ้นสุด สงครามประกาศเอกราชได้เริ่มต้นขึ้น รัฐต่าง ๆ กลับถูกสถาปนาให้กลายเป็น “ชาติ” (nation) ที่แตกต่าง เหตุใดความเหมือนหรืออัตลักษณ์ร่วมที่เคยดำรงอยู่ ได้ถูกแบ่งแยก กีดกัน จนกลายเป็นชาติคนละชาติไปได้
สถานะของลาตินอเมริกาเช่นนี้แตกต่างจากกรณีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความแตกต่างทางชาติพันธุ์และอัตลักษณ์ที่สูงมาตั้งแต่แรก ทั้งจากภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนกลุ่มน้อยยังคงเป็นปัญหาในประเทศต่าง ๆ เมื่อแต่ละรัฐได้สถาปนาตัวเองให้เป็น “รัฐชาติ” (nation-state) ดังในกรณีของพม่า ที่ความแตกแตกนี้ยังคงสร้างปัญหามาจนถึงปัจจุบัน ชาติของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงถูกสถาปนาบนพื้นฐานความแตกต่างแต่ถูกทำให้เหมือน (homogenization) และกลืนกลาย (assimilate) ตรงข้ามกับชาติในลาตินอเมริกากลับสถาปนาบนความเหมือนแต่ถูกทำให้แตกต่าง
ความน่าสนใจประการต่อมาคือในความต่างของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และลาตินอเมริกา กลับมีความเหมือนในการก่อตัวขึ้นของรัฐและชาติ และเกิดข้อถกเถียงในวงวิชาการตามมาในลักษณะคล้ายกัน รัฐและชาติอะไรเกิดก่อนกัน รัฐสร้างชาติ หรือชาติสถาปนารัฐของตนเองขึ้น
ลักษณะเช่นนี้ได้ทำให้งานเรื่อง “ชุมชนจินตกรรม บทสะท้อนว่าด้วยกำเนิดและการแพร่ขยายของชาตินิยม" ( Imagined Communities: Reflection on the Origin and Spread of nationalism ) ของ เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน (Benedict Anderson) เข้าไปมีอิทธิพลอย่างมากในทั้งสองภูมิภาค ในฐานะทางออกของการสร้างชาตินอกบริบทยุโรปที่ไม่มีแนวคิดเรื่อง “ชาติ” (nation) ก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้ามา เมื่อไม่สามารถหารากเหง้าทางความคิดของชาติที่ชัดเจนของตนเองได้ ชาติย่อมเป็นอะไรที่ถูกจินตกรรมขึ้นผ่านสื่อ สิ่งพิมพ์ และการอ่าน อันทำให้สิ่งไร้รากอย่างชาติ ถูกจินตกรรมขึ้นเป็นชุมชนในหัวผู้อ่าน ความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน เป็นชาติเดียวกัน กับคนมากหน้าหลายตาที่ไม่เคยรู้จักจึงเกิดขึ้น
หนังสือ “ชุมชนจินตกรรม บทสะท้อนว่าด้วยกำเนิดและการแพร่ขยายของชาตินิยม" ของ เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน
อย่างไรก็ดี หากชาติคือความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันจากการอ่านแล้วไซร้ ข้อเสนอของแอนเดอร์สันที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงในหลายพื้นที่และสร้างความสับสนปนเปไปกับการสร้าง “รัฐ” เช่น ในสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และลาตินอเมริกาที่ล้วนแต่เป็นสังคมที่มีการอ่านออกเขียนได้ในระดับที่ต่ำก่อนศตวรรษที่ 20 และสื่อสิ่งพิมพ์ก็ไม่ได้แพร่หลายเท่าใดนักในช่วงศตวรรษที่ 19 รัฐบาลกลางก็ยังไม่อาจสถาปนาการเมืองที่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ยังไม่ต้องพูดถึงการสร้างความรู้สึกร่วมอย่างชาติ พื้นที่ส่วนมากในลาตินอเมริกาหลังประกาศเอกราชยังเต็มไปด้วยระบบเจ้าพ่อ (Caudillo) ที่แบ่งพื้นที่แสดงความเป็นใหญ่โดยไม่สนใจรัฐบาลกลาง แต่ละเจ้าพ่อต่างมีกองกำลังและอำนาจในการบริหารเขตพื้นที่ของตน ผู้เขียนคิดว่าสภาพเช่นนี้อาจจะพอเทียบเคียงกับสยามก่อนรวมศูนย์อำนาจที่แต่ละเมืองหรือพื้นที่ก็มักมีเจ้าพ่อ (พ่อเมือง) ที่มีอำนาจกึ่งอิสระในการปกครองตนเอง สภาพเช่นนี้นักวิชาการในหนังสือเล่มนี้ต่างเห็นตรงกันว่า ยากที่จะสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างชาติขึ้นมาได้ เมื่อต่างคนต่างจงรักภักดีต่อเจ้าพ่อของตน ความรู้สึกร่วมกันเป็นชาติจึงเป็นเรื่องยากที่จะเกิด
ความน่าสนใจประการที่ 3 คือ นักวิชาการในเล่มนี้เห็นพ้องกันว่า ด้วยสภาพเช่นนี้ที่เกิดขึ้นภายหลังประกาศเอกราช (สภาพรัฐที่ง่อนแง่น คลอนแคลน อย่างถึงที่สุด) สงครามประกาศเอกราชที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจึงไม่ได้สร้างจากอุดมการณ์ชาตินิยมใด ๆ ความแตกแยกทางการเมืองและสภาพชนชั้นทางชาติพันธุ์ที่ดำรงอยู่ย่อมสร้างความเป็นอื่นให้แก่กันภายในรัฐ มิใช่ความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันแต่อย่างไร การมีดินแดนของรัฐที่ชัดเจนก็ไม่อาจทดแทนความรู้สึกแปลกแยกภายในได้ ชาติจึงไม่อาจเกิดขึ้นเพียงแค่จากการร่วมทำสงครามเพื่อประกาศเอกราช
ลักษณะเช่นนี้แตกต่างจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สงครามประกาศเอกราชในศตวรรษที่ 20 มักถูกมองว่าเป็นการสุกง่อมของขบวนการชาตินิยม รัฐต่าง ๆ ทีได้รับเอกราชได้กลายมาเป็นชาติแต่ละชาติที่ชัดเจน ดินแดนที่ถูกแบ่งโดยการปกครองของอาณานิคมได้กลายมาเป็นภาชนะที่ใช้บรรจุความรู้สึกรักชาติ การมีดินแดนร่วมกันของคนภายในรัฐได้ถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นความรู้สึกของการเป็นพวกเดียวกันและชาติเดียวกัน จนดินแดนของรัฐกลายเป็นภาพแทนของ “ชาติ” ดังที่ ธงชัย วินิจจะกูล ได้เสนอไว้ในงานชิ้นสำคัญอย่าง Siam Mapped
ด้วยการพยายามสร้างความแตกต่างบนความเหมือนของลาตินอเมริกา โครงสร้างเศรษฐกิจแบบชาตินิยมได้ค่อย ๆ สร้างความรู้สึก “พวกเรา” และ “พวกอื่น” จากปฏิสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ชาตินิยมในลาตินอเมริกาจึงค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นจากระบบเศรษฐกิจ ต่างจากการพยายามสร้างความเหมือนบนความแตกต่างของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาตินิยมจึงสร้างบนฐานคิดแบบ “ชาติพันธุ์” อัตลักษณ์ที่แปลกแยกจากรัฐจึงถูกลบ แต่ละรัฐจึงมุ่งสู่การสร้างความเป็นหนึ่งเดียวทางชาติพันธุ์ กรอบเขตแดนของรัฐได้กลายมาเป็นเครื่องกีดข้ามการรวมชาติพันธ์ (เช่น pan-Thai ของไทย และการพยายามรวมชาวมาลายาของอินโดนีเซีย เป็นต้น) มากกว่าจะเป็นขอบเขตของระบบเศรษฐกิจแบบในลาตินอเมริกา
ความน่าสนใจประการสุดท้ายของหนังสือ ‘ชาตินิยมในลาตินอเมริกาฯ’ (ในบท review นี้) คืออิทธิพลของศาสนา (คือ Roman Catholic) ที่ผลักดันให้เกิดอัตลักษณ์ร่วมโดยเฉพาะในเม็กซิโก แอนเดอร์สันได้วิเคราะห์การเกิดชาติในลาตินอเมริกาเอาไว้ว่าเกิดจากปัจจัยหลัก 3 ประการคือ ความเป็นปฏิปักษ์กันระหว่างพวก “ครีโอล” (Creole) กับพวก “เปนินซูลาเรส” (Peninsulares) 2.การขยายตัวของสิ่งพิมพ์ (print capitalism) และ 3.การใช้ภาษาท้องถิ่นในฐานะภาษาที่มีวัฒนธรรมแทนการใช้ภาษาละติน การวิเคราะห์ของแอนเดอร์สันเป็นการวิเคราะห์แบบโลกวิสัย (secular) ที่ตัดอิทธิพลของศาสนาออกจากชาติอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับกรณีของไทย ที่ศาสนาพุทธก็ได้ถูกทำให้หายไปจากเรื่องราวของการสร้างชาติ แม้ศาสนาจะเป็นถูกขนานนามเคียงคู่กับกษัตริย์และชาติมาก็ตาม (เช่นเดียวกับการอ่านหนังสือ “หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” และ “ขุมทรัพย์สุดปลายฝัน” โดยไม่เห็นอิทธิพลของศาสนาคริสต์ที่โจ่งแจ้งอยู่ภายใน)
วิล ฟาวเลอร์ (Will Fowler) ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ศาสนาจักร (church) คือปัจจัยรากฐานที่สำคัญของ “ชาติเม็กซิโก” และเป็นภาพแทนของอัตลักษณ์เม็กซิกัน พระแม่กวาดาลูเป (Virgin of Guadalupe) หรือพระแม่มารีในภาพลักษณ์ของชาวพื้นถิ่นได้กลายเป็นเรื่องราวและตำนานที่สำคัญในการสร้างชาติเม็กซิโก โดยเป็นตัวเชื่อมโยงเรื่องราวท้องถิ่นก่อนการเข้ามาของสเปนให้เข้ากับยุคสมัยที่สเปนปกครองและเผยแพร่ศาสนาคริสต์ เรื่องราวของพระแม่กวาดาลูเปที่ได้ปรากฏขึ้นแก่สายตาคนพื้นเมืองใน ค.ศ.1531 ได้กลายเป็นรากฐานที่สำคัญต่อดินแดนเม็กซิโกในฐานะ “ดินแดนที่ถูกชะตากำหนดไว้แล้วว่าพระแม่กวาดาลูเปจะทรงปรากฏขึ้นอีก” และทำให้ชาวเม็กซิโกกลายเป็นผู้ถูกเลือก (the chosen) ที่แตกต่างไปจากชาติอื่น ๆ ศาสนาคริสต์และพระแม่กวาลูเปเกือบจะเป็นศูนย์กลางอันแจ่มชัดของการสร้างชาติเม็กซิโกที่ถูกจินตนาการให้หายไปจากสายตาคนนอก
ผ้าใบขนาดใหญ่รูปพระแม่กวาดาลูเปที่กรุงเม็กซิโกซิตี้ ในวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ.2000
ความสำคัญของพระแม่กวาดาลูเปและศาสนาคริสต์นั้นมีถึงขนาดที่ในสงครามประกาศเอกราช บาทหลวงมิเกล อิดัลโก (Miguel Hidalgo) ผู้นำกลุ่มกบฏได้ใช้พิธีมิสซาในวันอาทิตย์เพื่อประกาศการเริ่มต่อสู้และได้มอบธงรูปพระแม่กวาดาลูเปให้เป็นธงของกองทัพปลดแอกนี้ จนนายพลเฟลิกส์ กาเยฆา (Félix Calleja) กองทัพปราบกบฏต้องนำรูปพระแม่มารีแห่งการรักษา (virgin of Remedies) อันเป็นพระแม่ที่ชาวสเปนใช้ขอพรในครั้งบุกเบิกอเมริกามาใช้เพื่อตอบโต้กองทัพกบฏที่ใช้รูปของพระแม่กวาดาลูเปอันเป็นสัญลักษณ์ของภาพแทนของชาวเม็กซิโก ซึ่งต่อมาเมื่อเม็กซิโกประกาศเอกราชสำเร็จ พระแม่กวาดาลูเปก็ยังกลายเป็นภาพแทนของ “นิวสเปน” (New Spain – เม็กซิโก)
ภาพวาดของบาทหลวงมิเกล อิดัลโก ที่ถือธงรูปพระแม่กวาดาลูเป
หากเราอ่านประวัติสาสตร์การต่อสู้เพื่อเอกราชในลาตินอเมริกา เราจะพบบาทหลวงจำนานมากได้ทำหน้าที่เป็นผู้นำในการต่อสู้นี้ นอกจากนี้เราต้องไปลืมว่า สมเด็จพระสันตะปาปาผู้นำสูงสุดของศาสนาคริสต์ (Catholic) คนปัจจุบัน หรือ Pope Francis ก็เป็นผู้ที่มาจากลาตินอเมริกาโดยเป็นเคยดำรงตำแหน่งอธิการเจ้าคณะแขวงคณะเยสุอิตในกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
กริชตูเรเดงโตร์ (Cristo Redentor/Christ the Redeemer) หรือรูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่ อันเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ก็อยู่ที่กรุงรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล การตัดศาสนาออกไปจากกรอบการวิเคราะห์การเมืองดูเหมือนจะสร้างช่องว่างขนาดใหญ่ให้แก่การศึกษาทั่วโลก โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ชาติ”
กริชตูเรเดงโตร์ หรือพระคริสต์ผู้ไถ่ บนยอดเขากอร์โกวาดู ประเทศบราซิล
การใช้ศาสนาในการสร้างตัวตนเพื่อต่อต้านความเป็นอื่นก็คล้ายกับกรณีของสยามที่ใช้ศาสนาพุทธที่แสดงความเหนือกว่าทางจิตวิญญาณ เพื่อสร้างพวกเราขึ้นมาจากความภูมิใจทางศาสนาในขณะที่แสนยานุภาพทางวัตถุพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า พระแก้วมรกต ณ ศูนย์ของเมืองหลวงและราชวงศ์ก็อาจมีสถานะไม่ต่างจากพระแม่กวาดาลูเปในฐานะศูนย์กลางทางจิตใจของชาติที่ถูกหลงลืมจากอิทธิพลของแนวคิดโลกวิสัยทางวิชาการ
หนังสือ “ชาตินิยมในลาตินอเมริกาฯ” จึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “ลาตินอเมริกา” เพียงอย่างเดียว แต่เป็นบทสะท้อนว่าด้วย “ชาติ” จากอีกซีกโลกหนึ่ง ที่จะพาเราไปสำรวจข้อถกเถียงทางวิชาการเรื่อง “ชาติ” ในลาตินอเมริกา พร้อม ๆ กับการตอบโต้ของเสนอเรื่อง “ชุมชนจินตกรรม” ของแอนเดอร์สัน (ที่ทรงอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน) กระจกที่ไม่คุ้นเคยนี้จะทำให้ผู้อ่านสามารถมองภาพของตนในรูปลักษณ์ที่แตกต่าง สร้างมุมมองใหม่ ๆ และออกนอกกะลาไปยังอีกมุมหนึ่งของโลก
__________________________________________
สั่งซื้อหนังสือ >>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |