ครั้งแรกที่ผู้เขียนเข้าสู่โลกของวิชานิติปรัชญานั้น เป็นช่วงที่ผู้เขียนกำลังศึกษาวิชานิติศาสตร์ในระดับชั้นปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว โดยตำราหลักที่ผู้เขียนจำเป็นต้องอ่านประกอบการศึกษาวิชานิติปรัชญาก็คือตำราของอาจารย์ปรีดี เกษมทรัพย์ ซึ่งนับว่าเป็น 1 ในตำราไม่กี่เล่มซึ่งสมบูรณ์ที่สุดในขณะนั้น อย่างไรก็ตามตำราดังกล่าวได้บรรยาย“ภาพลักษณ์”สำนักกฎหมายบ้านเมือง (Legal Positivism) ไว้ในทางที่ไม่ดีนัก เราอาจจะกล่าวได้ว่า หากพิจารณาจากตำราเล่มดังกล่าวแล้ว สำนักกฎหมายบ้านเมืองเป็นหนึ่งในสำนักคิดที่มีลักษณะค่อนข้างเป็นตัวร้าย (villain) ไม่แยแสไยดีความยุติธรรม สำนักดังกล่าวมุ่งพิจารณาตอบคำถามว่ากฎหมายคืออะไรโดยพยายามตัดคุณค่าทางศีลธรรม ความยุติธรรมออกไปจากระบบกฎหมาย อันนำไปสู่คำกล่าวที่ว่า “กฎหมายย่อมเป็นกฎหมาย” และข้อความที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่สุดนั่นคือคำกล่าวของอาจารย์ปรีดี เกษมทรัพย์ที่ว่า “หากความคิดสำนักกฎหมายบ้านเมืองยังมีผู้นิยมนับถืออยู่อย่างเหนียวแน่นในประเทศไทยอยู่ตราบใด ความคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนก็ยังไม่มีทางจะหยั่งรากลงในแผ่นดินไทยได้ตราบนั้น” ผู้เขียนยังคงค้างคาใจและไม่เห็นด้วยกับภาพลักษณ์ของสำนักกฎหมายบ้านเมืองและคำพูดดังกล่าวตลอดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
หนังสือนิติปรัชญา ของปรีดี เกษมทรัพย์
ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3 (ปี พ.ศ.2539)
ผลงานของอาจารย์ ศศิภา พฤกษฎาจันทร์ “กฎหมายย่อมเป็นกฎหมาย ว่าด้วยสำนักกฎหมายบ้านเมืองสมัยใหม่” นั้นเป็นหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งได้คลี่คลายปัญหาที่ค้างคาใจของผู้เขียน หนังสือเล่มนี้ได้เริ่มต้นพาเราเข้าสู่โลกของนิติปรัชญาจากการนำเสนอบทนำทางประวัติศาสตร์ อธิบายภาพรวมและลักษณะของสำนักกฎหมายบ้านเมืองอย่างถี่ถ้วน จากความคิดของเบนแธม (Jeremy Bentham) ไปจนถึงทฤษฎีคำสั่งของออสติน (John Austin) รวมไปถึงการอธิบายความคิดของสำนักกฎหมายบ้านเมืองในทวิลักษณะ เช่น การแบ่งทฤษฎีกฎหมายของสำนักกฎหมายบ้านเมืองได้เป็นแบบแข็ง (Hard Positivism) กับแบบอ่อน (Soft Positivism) โดยพิจารณาจากความเคร่งครัดในการแบ่งแยกระหว่างศีลธรรมกับกฎหมาย ซึ่งการอธิบายดังกล่าวทำให้บรรดาผู้อ่านสามารถเห็นถึงความแตกต่างของทฤษฎีที่มีจุดร่วมกันได้เป็นอย่างดี
จอห์น ออสติน (1790-1859) กับหนังสือ The Province of Jurisprudence Determinedฯ (พิมพ์ครั้งแรกปี ค.ศ.1832) เป็นตำราหลักของสำนักกฎหมายบ้านเมืองยุคแรก
อย่างไรก็ดี Main course ของหนังสือเล่มนี้คงหนีไม่พ้นการอธิบายทฤษฎีกฎหมายของฮันซ์ เคลเซน (Hans Kelsen) และเอช. แอล. เอ. ฮาร์ท (H.L.A. Hart) ซึ่งเป็นนักนิติปรัชญาในสำนักกฎหมายบ้านเมืองสองคนที่ไม่ปรากฎในงานเขียนทางวิชาการในประเทศไทยมากนัก อาจารย์ศศิภาได้ถ่ายทอดความคิดของฮาร์ท ออกมาโดยใช้ภาษาทางวิชาการที่ทรงพลังแต่กลับเข้าใจง่ายอย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกฎปฐมภูมิ (Primary Rule) และกฎทุติยภูมิ (Secondary rule) และกฎหมายในฐานะที่เป็นการรวมตัวกันของกฎทั้งสอง หนังสือเล่มนี้ได้พาผู้อ่านไปทำความเข้าใจโลกแห่งทฤษฎีกฎหมายของสำนักคิดกฎหมายบ้านเมืองในสมัยใหม่รวมไปถึงข้อวิพากษ์ที่มีต่อทฤษฎีกฎหมายของนักคิดแต่ละคนอย่างเรียบง่ายและเข้าใจได้ไม่ยากเย็นนัก
เนื้อหาที่ทำให้หนังสือเล่มนี้มีความโดดเด่นมีอยู่สองประการ ประการแรกคือการวิเคราะห์อิทธิพลความคิดของสำนักกฎหมายบ้านในไทยโดยการนำทฤษฎีกฎหมายอันมีลักษณะที่ค่อนข้างเป็นนามธรรมสูงมาจับกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมสูงทำให้ผู้อ่านเข้าถึงทฤษฎีกฎหมายและความคิดของนักนิติปรัชญาต่างๆ คดีที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้มีทั้งเรื่องคดีที่เกี่ยวกับการตีความประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 การวิเคราะห์เรื่องการยอมรับประกาศหรือคำสั่งของคณะรัฐประหารต่างๆว่าเป็นกฎหมายหรือไม่ผ่านหลัก Rule of recognition รวมไปถึงการวิเคราะห์เรื่องจิตวิญญาณประชาชาติ (Volksgeist) ของสำนักประวัติศาสตร์ในคดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์
เอช. แอล. เอ. ฮาร์ท (H.L.A. Hart, 1907-1992) และ The Concept of Law (พิมพ์ครั้งแรก ค.ศ.1961)
ประการที่สองคือหนังสือเล่มนี้ได้ให้คำตอบสำคัญบางประการกับข้อวิจารณ์สำนักกฎหมายบ้านเมืองที่มุ่งโจมตีทฤษฎีกฎหมายของจอห์น ออสติน ท้ายที่สุดแล้วสำนักกฎหมายบ้านเมืองเป็นพวกไม่แยแสไยดีความยุติธรรมจริงหรือไม่? การพัฒนานิติศาสตร์ให้เป็นศาสตร์ที่ปลอดจากคุณค่าทางสังคมอื่นๆเป็นเรื่องที่ควรจะเป็นหรือไม่? และคำกล่าวของอาจารย์ปรีดี เกษมทรัพย์ที่ว่า หากสำนักกฎหมายบ้านเมืองหยั่งรากลึกในประเทศไทยอยู่ สิทธิมนุษยชนจะไม่มีทางหยั่งรากลึกลงในแผ่นดินไทยจริงหรือ? หากมีกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงสำนักกฎหมายบ้านเมืองจะมีคำตอบกับกรณีดังกล่าวอย่างไร เราควรจะเรียกร้องให้ผู้ที่ต้องปรับใช้กฎหมายที่ขัดกับความยุติธรรมอย่างร้ายแรงนั้นปฏิเสธกฎหมายจากเหตุผลทางศีลธรรมส่วนตนหรือไม่?
ศศิภา พฤกษฎาจันทร์ ในการบรรยายหลักสูตรนิติปรัชญาของ Common School
ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันที่ผู้คนเริ่มตั้งคำถามเรื่อง “ความยุติธรรม” และความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายและความยุติธรรมกันมากขึ้น ท่ามกลางการชุมนุมและข่าวการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ออกมาไม่เว้นแต่ละวัน หนังสือ‘กฎหมายย่อมเป็นกฎหมายฯ’อาจจะไม่ใช่คำตอบในทุกๆสมการของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระบบกฎหมาย แต่หนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนประตูที่อาจทำให้ผู้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นนักกฎหมาย นักปรัชญา หรือผู้ที่สนใจนิติปรัชญา นำทฤษฎีกฎหมายของสำนักกฎหมายบ้านเมืองมาลองตั้งคำถามกับผลผลิตต่างๆในระบบกฎหมาย หนังสือเล่มนี้อาจทำให้ผู้อ่านเริ่มตั้งคำถามถึงการปรับใช้กฎหมายและพันธะในการเคารพเชื่อฟังกฎหมาย รวมไปถึงการแสวงหาคำตอบต่างๆจากมุมมองของทฤษฎีกฎหมายของสำนักกฎหมายบ้านเมืองต่อเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ล่าสุด ศูนย์นิติศึกษาทางสังคม ประวัติศาสตร์ และปรัชญา ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดงานเสวนาทางวิชาการ เรื่อง "ความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับสำนักกฎหมายบ้านเมือง" ในวันพุธที่ 22 กันยายน 2564 เวทีดังกล่าวอาจมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับคำวิจารณ์สำนักกฎหมายบ้านเมืองในหนังสือนิติปรัชญาของอาจารย์ปรีดี เกษมทรัพย์ ที่ครอบงำการศึกษาของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาเป็นเวลาหลายสิบปี สิ่งที่น่าติดตามคือวิทยากรแต่ละอ่านจะอภิปรายในประเด็นดังกล่าวเกี่ยวกับสำนักกฎหมายบ้านเมืองเช่นไร
หนังสือ‘กฎหมายย่อมเป็นกฎหมายฯ’ ของศศิภา พฤกษฎาจันทร์ จึงเป็นเหมือนการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับ‘สำนักกฎหมายบ้านเมือง’ พร้อมกับตั้งคำถามกลับไปว่าคำอธิบายของศาลไทยในการรับรองการปฏิวัติในอดีตที่ผ่านๆมา การรับรองของศาลดังกล่าว มีที่มาจากฐานคิดของสำนักกฎหมายบ้านเมือง หรือมีที่มาจากฐานคิดแบบอำนาจนิยม (ผู้ยึดอำนาจได้ คือผู้ถูกต้อง) และศาลไทยที่รับรองการปฏิวัติดังกล่าว จัดเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการสถาปนารัฐอันธพาล (gangster state) ด้วยหรือไม่?
______________________________
สั่งซื้อหนังสือ >>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |