เมื่อ “ลูซี่” (Lucy)[1] พี้ยาจนถึงขีดสุด เธอก็ได้พ่น “สัจธรรม” ของมนุษย์มามากมาย ลูซี่ได้ฉายภาพรถที่วิ่งไปบนถนน และเมื่อรถวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งมันก็หายไป เธอได้สรุปว่า “คำตอบคือ “เวลา” เวลาให้ค่ากำหนดการมีตัวตน เวลาคือหน่วยจริงในการวัด มันได้พิสูจน์การดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง หากไม่มีเวลาก็ไม่มีตัวตน”[2]
แต่ไม่ว่าลูซี่จะพี้ยามากขึ้นอีกเท่าไหร่ สัจธรรมเรื่อง “เวลา” ของลูซี่ ยังคงดำรงอยู่ในกรอบความคิดเรื่องเวลาแบบเก่า ตั้งแต่อริสโตเติล (Aristotle) เรื่อยมาว่า “เวลาเป็นคุณสมบัติสากลที่สุดของทุกสรรพสิ่ง” หรือ เวลาแบบที่มีมาก่อน (a priori) กล่าวคือ เราไม่สามารถคิดถึงสิ่งใดได้ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของ “เวลาและพื้นที่” (Space and time)
หนังสือ “หมุนนาฬิกาสู่เวลาทางสังคม” ของ อาจารย์ฐานิดา บุญวรรณโณ ได้นำเสนอ “เวลาทางสังคม” (social time) ของ เอมิล ดูร์ไกม์ (Émile Durkheim) ที่เสนอมุมมองด้าน “เวลา” อีกแบบที่พวกเราอาจไม่คุ้นเคย และชวนให้เราตั้งคำถามกับความเชื่อพื้นฐานของเราที่คิดว่าเวลาเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างชัดเจนและเป็นสากลอย่างไม่ต้องสงสัยว่าจริงหรือไม่ แม้หนังสือเล่มนี้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการถกเถียงเรื่องเวลา แต่การคิดตามมันก็อาจต้องพี้ยาให้หนักพอๆ กับลูซี่ (เพราะเรากำลังจะก้าวข้ามลูซี่ไป) การถกเถียงเรื่องเวลาในหนังสือเล่มนี้มีความซับซ้อนและแตกต่างกันในรายละเอียดของนักวิชาการแต่ละคน ที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้จึงเป็นการเล่าผ่านเลนส์ของผมเองเท่านั้น
โดยพื้นฐานหากเราจะพูดถึงอดีตหรือเขียนประวัติศาสตร์ สิ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลย “เวลาและพื้นที่” กล่าวคือ ที่ไหนและเมื่อใด (where and when) หลังจากนั้นเราจึงระบุถึงสิ่งอื่นๆ ตามมา ว่าในเวลาและพื้นที่นั้น มีใคร ทำอะไร อันเป็น “ข้อเท็จจริง” (fact) ก่อนจะเข้าสู่การตีความต่างๆ ว่า เพราะอะไร อย่างไร ทำไม หรือเพื่ออะไร ตามมา
การระบุ “เวลา” และ “พื้นที่” จำเป็นต้องมีการสร้างจุดอ้างอิงเพื่อให้เราสามารถเข้าและรับรู้ตรงกันได้ ในแง่ “พื้นที่” จุดอ้างอิงพื้นฐานคือ ทิศทาง เช่น จีนอยู่ทางตะวันออกของยุโรป การพูดว่า “ตะวันออก” เพื่อสื่อถึงจีนจึงต้องอ้างอิงจากการที่ยุโรป หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็มีพื้นฐานมาจากตะวันออกของอินเดียและทางใต้ของจีน จุดอ้างอิงพื้นที่ของภูมิภาคนี้จึงเป็นจีนและอินเดีย เป็นต้น การอ้างอิงทางพื้นที่ยังทำได้อีกหลายรูปแบบ เช่น เส้นรุ้งและเส้นแวง (Latitude and Longitude) ระยะห่างจากจุดหนึ่งไปถึงอีกจุดหนึ่ง หรือกระทั่งเวลา เช่น การระบุใช้เวลา 3 วันในการเดินทาง คือการเปลี่ยนพื้นที่ให้กลายเป็นเวลา เป็นต้น
ในทางกลับกัน จุดอ้างอิงของ “เวลา” มักจะเปลี่ยน “พื้นที่” เช่น การที่เรามองนาฬิกาแบบเข็ม แล้วรับรู้ว่าเวลาผ่านไปกี่นาที คือการที่เข้าแปลง “เวลา” ให้กลายเป็น “พื้นที่” หนึ่งช่องนาฬิกาเท่ากับ 5 นาที 5 วินาที หรือ 1 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับเข็ม) หรือการวัดหน่วยทางเวลาแบบเก่าเช่น ธูป 1 ดอก นาฬิกาแดด นาฬิกาน้ำ นาฬิกาทราย ฯลฯ เหล่านี้ล้วนสร้างจากการแปลง “เวลา” ให้กลายเป็น “พื้นที่” ที่สามารถชั่งตวงวัดได้
โดยการอ้างอิงเวลาด้วยพื้นที่ที่พวกเราคุ้นชินที่สุดจนเผลอเข้าใจไปว่าเวลามีตัวตนที่ชัดเจน คือ การอ้างอิงผ่านดวงดาว หรือดาราศาสตร์ การกำหนด 1 วันให้เท่ากับการที่โลกหมุนรอบตัวเอง หรือ 1 ปีให้เท่ากับการที่โลกหมุนรอบด้วยอาทิตย์ ล้วนแต่เป็นการกำหนดเวลาผ่านพื้นที่ของของดวงดาว หรือหากจะพูดสิ่งนี้ให้ไม่คุ้นชิน แทบที่เราจะระบุ “เวลา” เป็นตัวเลข เราอาจระบุว่า ตอนนี้เวลาเท่ากันการหมุนรอบตัวเอง เศษ 1 ส่วน 6 รอบ ของโลก หรือวันนี้คือวันที่ 50,000 กิโลเมตร ที่โลกวิ่งรอบดวงอาทิตย์ของปี เป็นต้น
การเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ จึงเป็นการที่เรายึดโยงตัวเองหรือเหตุการณ์เข้ากับ “เวลาและพื้นที่” หนึ่งๆ เพื่อนึกถึงหรือพูดมันออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ดี “เวลาทางสังคม” ในเสนอมุมมองหรือกรอบการทำความเข้าใจใหม่ให้แก่เรา ว่าจริงๆ แล้ว “เวลา” ต่างหากที่ยึดโยงกับสังคม ไม่ใช่สังคมที่ยึดโยงกับเวลา ปรากฎการณ์ทางสังคมถูกทำให้เป็นจุดอ้างอิงทางเวลาได้เช่นกัน เช่น เราจะพบกันเมื่อการชุมนุมจบ ฉันจะพบคุณเมื่อคอนเสิร์ตจบ ฯลฯ เวลาแบบนี้ไม่ได้ถูกยึดโยงกับพื้นที่ แต่เป็นการยึดโยงกับปรากฎการณ์ทางสังคม การชุมนุมจะจบลงเมื่อไหร่เราไม่อาจระบุได้ด้วยระยะการหมุนของโลกรอบตัวเอง เพราะมันคือเรื่องปรากฎการณ์ทางสังคม
หากกล่าวให้ถึงที่สุด เราแทบไม่สามารถระบุเวลาได้โดยปราศจากปรากฎการณ์ทางสังคมหนึ่งๆ เช่น ปีนี้คือปีอะไร คำตอบคือ ค.ศ.2020 เราไม่สามารถระบุตัวเลข “2020” โดยปราศจากเหตุการณ์ทางสังคมอย่างการตายของพระเยซู หรือ พ.ศ.2563 โดยมีการเกิดของพระพุทธเจ้า
6 ตุลาคม พ.ศ.2519 เป็น “เวลา” ที่มีความหมายเพราะมันมีปรากฎการณ์ทางสังคมเกิดขึ้น แต่หากผมพูดถึงวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2300 ย่อมไม่มีใครนึกอะไรออก เพราะมันไม่มีปรากฎการณ์ทางสังคมอะไรให้จดจำ การนึกย้อนไปในอดีตถึง “เหตุการณ์” หนึ่งๆ จึงไม่สามารถคิดถึงได้โดยโดดเดี่ยว แต่ทุกครั้งที่นึกย้อนเวลากลับไปเรามักผูกโยงตัวเองเข้ากลับกลุ่มคน โดยจัดวางตำแหน่งของตัวเองเข้ากับเหตุการณ์ทางสังคม เช่น ในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 19 เรากำลังทำอะไร ที่ไหน กับใคร ความทรงจำของปัจเจกจึงผูกโยงเข้ากับสังคม ซึ่งก่อให้ “เวลา” ในอดีต กลายเป็น “เวลาของสังคม” เป็นต้น
ข้อถกเถียงในหนังสือเล่มนี้ ยังลงไปถึงว่า “สังคม” ใน “เวลาของสังคม” มันหมายถึงอะไร อะไรคือรูปแบบพื้นฐาน (elementary form) ที่เวลามันดำรงอยู่ เวลาของสังคมของแต่ละสังคมเหมือนกันไหม และเวลาของปัจเจกกับเวลาของสังคมเข้ากันหรือแย้งกันอย่างไร ฯลฯ
แม้เนื้อหาในหนังสือเล่มอาจจะดูยาก (เพราะเราไม่คุ้นเคย) แต่หนังสือเล่มนี้ก็ถือเป็นเพียงก้าวแรกของการถกเถียงเรื่องเวลาเท่านั้น ข้อถกเถียงเรื่องเวลายังมีเรื่อง เวลาเป็นเส้นตรง (linear) วงกลม (circle) หรืออื่นๆ เวลาเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องหรือไม่ต่อเนื่อง การแตกหักของเวลา (disrupt) ฯลฯ หรือข้อถกเถียงที่ขยายออกมาจาก “เวลา” เช่น อำนาจบังคับของเวลา “เหตุการณ์” (event) “ปรากฎการณ์” (phenomena) กระทั่งการเปลี่ยนรูปแบบความสังคมของวิถีการผลิต (mode of production) และระเบียบของเวลา (order of time) เป็นต้น
หนังสือเล่มนี้จึงชวนให้เรากลับมาถกเถียงเรื่อง “เวลา” ที่พวกเราอาจละเลยไป และชวนให้เราสร้างคำถามใหม่ๆ ต่อการศึกษาในแง่มุมต่างๆ ได้อย่างมหาศาล เช่น การที่พระเจ้าปราสาททองได้ประกอบพิธีอินทราภิเษกเพื่อยกฐานะให้ศักดิ์สิทธิ์ประดุจดังพระอินทร์[3] และได้ทรงโปรดฯ ให้ประกอบพิธีลบศักราชขึ้น การลบกาลเวลาอันเป็นการควบคุมความเป็นไปของจักรวาลได้ และบังคับ “ให้พระเจ้ากรุงอังวะและเมืองในเขตขอบขัณฑเสมาทั้งปวงใช้ศักราชตามอยุธยา”[4]
“เวลา” ที่ถูกพระเจ้าปราสาททองลบคืออะไร ผมเชื่อว่า แม้แต่ดูร์ไกม์ก็ต้องงง ลูซี่ก็ต้องยอมแพ้ หนังสือเล่มนี้จะเป็นพื้นฐานที่ทำให้เราสามารถกลับไปศึกษา “เวลา” ในอดีตได้อย่างไม่รู้จบ ด้วยสายตาและมุมมองใหม่ๆ ได้อย่างไม่สิ้นสุด
[1] ลูซี่ สวยพิฆาต (Lucy) , 2016, กำกับโดย ลุค เบสสัน นำแสดงโดย สการ์เลตต์ โจแฮนสัน
[2] Time is the Answer. Time gives legitimacy to its existence. Time is the only true unit of measure. It gives proof to the existence of matter. Without time, we don't exist.”
[3] เพิ่งอ้าง, น.58-59
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |