ในบทความ “งานศึกษาผู้อยู่ในสถานะรอง: ทบทวนประวัติศาสตร์นิพนธ์ และมวลชนผู้เคลื่อนไหว” ของสิงห์ สุวรรณกิจ ถือเป็นงานชิ้นแรกๆ ในภาษาไทยที่ทบทวนกระแสวิชาการเกี่ยวกับ subaltern studies นอกจากนี้ยังเสนอการแปลคำว่า subaltern เป็นภาษาไทยว่า “ผู้อยู่ในสถานะรอง” ซึ่งต่อมาได้รับการยอมรับจากนักวิชาการคนอื่นๆ ด้วย ในบทความชิ้นดังกล่าวของสิงห์ ได้พูดถึงบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการศึกษาผู้อยู่ในสถานะรองของวงวิชาการอินเดีย นั่นก็คือ รณชิต คูหา (Ranajit Guha) และงานของเขาที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการศึกษาผู้อยู่ในสถานะรองภายใต้กรอบคิดประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมในอินเดีย ซึ่งก็คือ“Elementary Aspects of Peasant Insurgency in Colonial India” (1983)
หนังสือเล่มนี้ของคูหาถูกแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ “กบฏชาวนา: มูลฐานจิตสำนึกในอินเดียยุคอาณานิคม” โดยฝีมือการแปลของ ปรีดี หงษ์สต้น จึงนับว่าเป็นโอกาสดีที่ผู้อ่านในโลกภาษาไทยจะได้ทำความรู้จักแนวการศึกษาผู้อยู่ในสถานะรอง ผ่านหนังสือที่เหมือนเป็นจุดตั้งต้นของสำนัก Subaltern Studies Group (SSG) เล่มนี้
กบฏชาวนานั้นให้ข้อเสนอที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คูหาเริ่มด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ประวัติศาสตร์แบบเจ้าอาณานิคมและประวัติศาสตร์ของนักชาตินิยมในอินเดีย ที่จงใจละเลยเหตุการณ์กบฏของชาวนาซึ่งเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งออกไป ในแง่นี้แล้ว ชาวนาอินเดียจึงไม่เคยเป็นองค์ประธานในประวัติศาสตร์อินเดียเลย กลับกันแล้ว พวกชาวนาชาวไร่ถูกมองว่าเป็นตัวสร้างความปั่นป่วน เป็นภัยต่อความมั่นคงในสายตาของเจ้าอาณานิคม แม้แต่การกระทำอันเป็นกบฏของพวกเขา นักชาตินิยมก็มองว่าไม่ได้มีแรงจูงใจหรือจิตสำนึกอันใดเป็นพิเศษ
นักประวัติศาสตร์มาร์กซิสต์เรียกลักษณะดังกล่าวว่า “คนก่อน-การเมือง” (pre-political people) ซึ่งเป็นคำของ อีริค เจ. ฮอบส์บอว์ม (Eric J. Hobsbawm) ที่ใช้อธิบายลักษณะการเคลื่อนไหวต่อต้านที่ปราศจากการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ หรือไม่มีจิตสำนึกในการก่อกบฏที่ชัดเจน คูหามองว่าคำอธิบายดังกล่าวของฮอบส์บอว์มนั้นวางอยู่บนบริบทของสังคมยุโรป แต่ไม่อาจนำมาอธิบายสังคมอินเดียยุคอาณานิคมได้ เพราะอันที่จริงแล้ว ชาวนาอินเดียมีจิตสำนึกทางการเมืองอย่างชัดเจน พวกเขาได้รับผลกระทบจากทั้งเจ้าที่ดิน เจ้าอาณานิคม และระบบภาษีที่กดขี่พวกเขา การก่อกบฏของชาวนาอินเดียจึงไม่ได้ไร้ระเบียบแบบแผนแต่อย่างใด แต่ปัญหาใหญ่ของประวัติศาสตร์อินเดียไม่ว่าจะแบบเจ้าอาณานิคมหรือนักชาตินิยม ก็คือการละเลยบทบาทของชาวนาออกไปจนสิ้น และเลือกที่จะมองว่ากบฏชาวนาเป็นแค่จุดเริ่มต้นที่ไม่สลักสำคัญอะไรนัก เมื่อเทียบกับขบวนการปลดปล่อยที่มีระบบชัดเจนในยุคของคานธี
ดังนั้นความยากลำบากของการศึกษาบทบาทชาวนาอินเดียก็คือ ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่พูดถึงจิตสำนึกดังกล่าวโดยตรง ฝ่ายชาวนาเองก็มีเพียงแต่บันทึกในรูปแบบของบทเพลงหรือบทกวี ซึ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้ ส่วนฝ่ายอาณานิคมก็บันทึกในแง่ที่ว่าเหตุการณ์ต่างๆ เป็นความโกลาหล และเป็นภัยต่อความมั่นคง ดังนั้นวิธีที่คูหาใช้ในการ “เสาะแสวง” จิตสำนึกในการก่อกบฏของชาวนาจึงต้องทำผ่านการอ่านประวัติศาสตร์ของเจ้าอาณานิคมเสียเอง แต่เป็นวิธีการอ่านที่สิงห์เรียกว่า “การอ่านแบบย้อนเกล็ด” หรือคูหาใช้คำว่า “การอ่านจากกระจกที่บิดเบี้ยว” กล่าวอย่างง่ายคืออ่านหลักฐานของผู้ปกครองแบบทะลุสำนวนเพื่อค้นหาความหมายหรือจิตสำนึกในการต่อต้านของเหล่ากบฏ
เมื่อเริ่มต้นด้วยข้อเสนอดังกล่าวแล้ว ส่วนที่เหลือของหนังสือเล่มนี้จึงเป็นการขยายความสิ่งที่ได้จากการอ่านประวัติศาสตร์เจ้าอาณานิคม เพื่อหาจุดร่วมของจิตสำนึกของเหล่าชาวนา เช่น ในบทที่ 2 กล่าวถึงจิตสำนึกด้านกลับ หรือการที่ชาวนาใช้เครื่องมือของผู้ปกครองมาต่อต้านผู้ปกครองเสียเอง เช่นสัญลักษณ์ พิธีกรรม ศาสนา หรือวัฒนธรรม ซึ่งน่าสนใจว่าในความขัดแย้งทางการเมืองไทยปัจจุบัน ก็มีการกระทำลักษณะนี้ปรากฏอยู่ให้เห็นเป็นประจำ บทที่ 3 กล่าวถึงความคลุมเครือในการกระทำของกบฏชาวนา ที่มีลักษณะซึ่งผู้ปกครองแยกไม่ออกว่าเป็นเพียงอาชญากรรมหรือการกบฏ แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าอาชญากรรมนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการกบฏครั้งใหญ่ที่กำลังจะตามมา
บทที่ 4 นั้นเกี่ยวกับลักษณะร่วมของการก่อกบฏ ที่ทำให้เห็นว่าการกบฏที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งนั้นผ่านการวางแผนมาเป็นอย่างดี มีการชุมนุมรวมตัวกันของชาวนาชาวไร่ ซึ่งทำให้เหล่าผู้ปกครองหวาดกลัวกันมาก บทที่ 5 พูดถึงความเป็นปึกแผ่น ซึ่งเป็นจิตสำนึกร่วมของเหล่ากบฏชาวนา บทที่ 6 กล่าวถึงการแพร่กระจายของการกบฏ ซึ่งเกี่ยวข้องกับทัศนะของชนชั้นปกครองที่มองว่าการก่อกบฏนั้นเป็นเหมือนเชื้อโรคที่แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันเหล่าชาวนาก็ใช้ยุทธวิธีการแพร่กระจายข่าวลือและทฤษฎีสมคบคิด สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นจิตสำนึกของเหล่ากบฏชาวนาทั้งสิ้น และบทที่ 7 กล่าวถึงอาณาเขตที่ผูกโยงเข้ากับการลุกฮือของชาวนา และลักษณะร่วมของความเป็นท้องถิ่น
จึงอาจกล่าวได้ว่า หนังสือเล่มนี้ของคูหานั้นมีความร่วมสมัยอย่างมากในแง่ที่ว่ายุคสมัยของเรานั้น การต่อต้านและการลุกฮือยังคงเกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน และยังคงถูกมองว่าเป็นความไร้ระเบียบอยู่ตลอดเวลาในสายตาของผู้ปกครองหรือแม้แต่นักทฤษฎีที่ยึดติดกับ “แบบแผนและการจัดตั้ง” บางอย่าง ความพยายามของคูหาจึงทำให้เราเห็นบางสิ่งที่แม้ว่าเหล่ากบฏชาวนาจะไม่ถูกบันทึกหรือให้ความสำคัญในประวัติศาสตร์ แต่ถ้าเราอ่านหลักฐานต่างๆ อย่างถี่ถ้วนเพื่อเสาะหาสิ่งที่ไม่ได้ถูกบันทึก เราจะสามารถเห็นลักษณะของเหล่ากบฏที่เต็มไปด้วยระเบียบแบบแผน หรือลักษณะร่วมบางอย่างที่ปรากฏออกมาเพื่อใช้ในการยืนยันว่ากบฏชาวนาก็มีจิตสำนึกทางการเมืองไม่แพ้ขบวนการที่ผ่านการจัดตั้งใดๆ
แม้หนังสือเล่มนี้จะมีความซับซ้อนและเต็มไปด้วยข้อมูลทางประวัติศาสตร์ แต่ฝีมือการแปลของปรีดี หงษ์สต้น ก็ช่วยให้ผู้อ่านที่ไม่คุ้นเคยกับงานวิชาการสามารถอ่านได้อย่างลื่นไหล รวมทั้งมีการจัดทำอภิธานศัพท์ภาษาฮินดี ที่ช่วยเสริมความเข้าใจให้ครบถ้วนยิ่งขึ้น นับว่าเป็นความอุตสาหะที่เป็นประโยชน์ต่อวงวิชาการไทยเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้หนังสือ “กบฏชาวนาฯ” ยังตีพิมพ์ออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม ในยุคสมัยที่การต่อต้านกำลังดำเนินอยู่ทั่วทุกมุมโลก รวมทั้งในประเทศไทยด้วย จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่นักอ่านชาวไทยจะมีความรู้สึกหรือเกิดอารมณ์ร่วมไปกับเหตุการณ์หรือข้อเสนอบางอย่างที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้
_____________________________
สั่งซื้อหนังสือ >>> คลิก
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |