การศึกษาความชอบธรรมของกษัตริย์ไทยมีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเริ่มนับได้ตั้งแต่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ได้พยายามอธิบายความชอบธรรมของกษัตริย์ไทยก่อนสมัยใหม่ (ธรรมเนียมเดิม) ไว้ในงานหลายชิ้น จนมาถึงงานของนักวิชาการรุ่นใหม่อย่าง เอนก มากอนันต์ ในหนังสือเรื่อง “จักรพรรดิราช คติเบื้องหลังชนชั้นนำไทย” (ที่ทางมติชนได้ทำเป็นหนังสือชุดเนื่องในการขึ้นครองราชย์ของรัชกาลที่ 10) และหนังสือ “ทฤษฎีกษัตริย์โพธิสัตว์: เวสสันดรชาดกในประวัติศาสตร์ไทย” ของ แพทริค โจรี เล่มนี้ [*1]
ความโดดเด่นของหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้อยู่ที่การนำเสนอเนื้อหา (content) ของเวสสันดรชาดก แต่อยู่ที่การให้ความสำคัญต่อรูปแบบ (form) ของชาดกเรื่องนี้ที่ถูกนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็น “ภาชนะ” หรือ “สื่อ” ที่ใช้บรรจุอย่างคัมภีร์ใบลานและลักษณะตัวอักษร หรือลักษณะของการถ่ายทอดอย่างการเทศน์ ทำนอง ลักษณะของการประพันธ์ (ร้อยแก้ว/ร้อยกรอง) รวมทั้งองค์ประกอบต่างๆ ในพิธี “เทศน์มหาชาติ”
โจรียังศึกษาเวสสันดรชาดกจากมุมมองทางการเมืองและประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เพียงในฐานะของวรรณคดีหรือศาสนา เวสสันดรชาดกในหนังสือเล่มนี้จึงกลายเป็นตัวละครที่มีชีวิตในประวัติศาสตร์ที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงและมีพัฒนาการตั้งแต่ยุคสุโขทัยและก่อนหน้า จนตกอยู่ในภาวะเสื่อมความนิยมในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก่อนที่จะฟื้นคืนชีพในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20
กล่าวโดยสรุปคือหนังสือเล่มนี้กำลังศึกษา “เวสสันดรชาดก” ในฐานะของคัมภีร์ ที่มีอิทธิพลต่อสังคมการเมืองของไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยเฉพาะในแง่ของการสร้างความชอบธรรมให้แก่กษัตริย์ในการครองบัลลังก์ก่อนที่คติเช่นนี้จะเสื่อมความนิยมลงอย่างรวดเร็วในคริสต์ศตวรรษที่ 19 จากการเข้ามาของอาณานิคมตะวันตกที่ชนชั้นนำไทยจะต้องปรับตัวให้เขากับโลกสมัยใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี ผู้เขียนมีข้อสังเกต 3 ประการต่อหนังสือเล่มนี้ ได้แก่ 1. การให้ความสำคัญแก่เวสสันดรชาดกในฐานะรากฐานความชอบธรรมของกษัตริย์ไทยมากจนละเลยคติอื่นๆ ที่ช่วยเกื้อหนุนสถานะของกษัตริย์ไทย เช่น จักรพรรดิราช หรือรามเกียรติ์ เป็นต้น 2.การตัดเวสสันดรชาดกออกจาก “ทศชาติ” อันเป็นการบำเพ็ญบารมีใน 10 ชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ ก่อนจะเสวยพระชาติมาเกิดเป็นพระโคตมพุทธเจ้าของหนังสือทำให้ความสมเหตุสมผลของเรื่องราวแบบ “พุทธ” ดูไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไป (ซึ่งหัวใจของสิ่งนี้คือเรื่อง “เวลา” ในแบบพุทธและคริสต์ที่ไม่เหมือนกัน) และ 3. ในประเด็นการแทนที่พระเวสสันดรชาดกด้วยคติการเมืองแบบใหม่ในศตวรรษที่ 19 หรือที่แพทริคให้สัมภาษณ์ว่าเป็นการแทนที่ ‘อำนาจของบารมี (charismatic power)’ มาเป็น ‘อำนาจของกฎหมายที่มีเหตุผล (rational-legal authority)’ [*2] ซึ่งเป็นผลจากการพยายามศึกษาเวสสันดรชาดกในแบบที่ศาสนาและการเมืองแยกออกจากกัน ดังนี้
1. เวสสันดรชาดกในฐานะรากฐานความชอบธรรมของกษัตริย์ไทย
สิ่งหนี่งที่สัมพันธ์กับเวสสันดรชาดกที่โจรียกขึ้นมาคือประวัติศาสตร์แบบ “มหาวงศ์” ที่กษัตริย์สามารถเชื่อมพระองค์เข้ากับสายตระกูลพระพุทธเจ้า [*3] อันเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับกษัตริย์ทุกพระองค์ได้ ปัญหาแรกที่เกิดขึ้นเสมอคือ กษัตริย์ที่ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นที่ชัดเจนว่าไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์องค์ก่อน ซึ่งหากกษัตริย์องค์ก่อนเป็นเชื้อสายของพระพุทธเจ้าแล้ว ขุนนางที่ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ย่อมไม่สามารถอ้างความชอบธรรมแบบ “มหาวงศ์” ได้อย่างแน่นอน
กรณีตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือกรณีของ พระเจ้าปราสาททองที่ได้ชิงบังลังก์จากพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม 2 พระองค์คือ สมเด็จพระเชษฐาธิราชและสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ แล้วขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา การที่พระเจ้าปราสาททองไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์พระองค์ก่อน จึงได้นำ “คติจักรพรรดิราช” (อันเป็นคติคู่ขนานกับคติแบบพระโพธิสัตว์) มาใช้แทนความชอบธรรมแบบมหาวงศ์ เพราะการเป็นจักรพรรดิราชไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีความเกี่ยวข้องกับวงศ์กษัตริย์ แต่เป็นผู้มีบุญตามความเชื่อของศาสนาพุทธ การแย่งชิงอำนาจจึงเป็นสิ่งชอบธรรมเนื่องจากผู้ที่เข้ามาแทนเป็นผู้มีบุญและธรรมสูงกว่าคนก่อน [*4]
คติแบบจักรพรรดิราชยังส่งผลต่อการเกิดกบฏที่เรียกว่า “ผู้มีบุญ” หรือ “ผีบุญ” มากกว่าแนวคิดแบบพระโพธิสัตว์เพียงอย่างเดียว เพราะทำให้ผู้ที่มีอำนาจบารมีสูงหรือบุญและธรรมมากกว่าจะต้องท้าทาย (challenge) กับกษัตริย์โดยตรง แม้ผู้นั้นจะไม่ได้แสดงตนว่าต้องการจะเป็นกษัตริย์ก็ตาม ผู้มีบุญส่วนมากที่เกิดขึ้นจึงมักเป็นอดีตของพระที่มีประชาชนนับถืออย่างกว้างขวาง จนราชสำนักในสมัยหลังต้องบอกให้ประชาชน “อย่ากลัวผู้มีบุญมากกว่ากลัวเจ้า” ดังที่หนังสือเล่มนี้ได้เสนอไว้
ผู้ที่แยกคติจักรพรรดิราชและพระโพธิสัตว์ไว้ได้ดีที่สุด คือสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ความว่า “มูลเหตุคงเกิดแต่นิยมกันมาแต่เดิมว่า พระเจ้าแผ่นดินยอมรุ่งเรืองพระเกียรติด้วยแผ่พระราชอาณาเขตได้กว้างขวางเป็นพระเจ้าราชาธิราช ต่อมาได้คติมาจากลังกาทวีปอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าพระเจ้าแผ่นดินทรงสามารถทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองในพระราชอาณาเขต ก็ย่อมได้พระเกียรติเป็นพระเจ้าธรรมราชาเสมอกับพระเจ้าราชาธิราช จึงเกิดการบำเพ็ญพระเกียรติเป็น 2 อย่างคือ บำเพ็ญเป็น ‘พระเจ้าราชาธิราช’ หรือบำเพ็ญเป็น ‘พระเจ้าธรรมราชา’ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นทั้ง 2 อย่างไม่ได้เหมือนพระเจ้าอโศกมหาราช” กล่าวคือ กษัตริย์ที่อยากจะยิ่งใหญ่ดังพระเจ้าอโศกมหาราช[*5] (ต้นแบบของกษัตริย์ในภูมิภาคนี้) จะต้องบำเพ็ญทั้ง 1.ราชาธิราชหรือจักรพรรดิราช และ 2. ธรรมราชาหรือพระโพธิสัตว์ ซึ่งถ้าทำทั้ง 2 อย่างไม่ได้ก็ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง คติทั้ง 2 อย่างจึงเหมือนเหรียญ 2 ด้านที่กษัตริย์ต้องแสดงออกแก่ผู้อื่น ประหนึ่ง “พระเดช” และ “พระคุณ” คติกษัตริย์โพธิสัตว์หรือเวสสันดรชาดก จึงเป็นเพียงเหรียญด้านเดียวของกษัตริย์เท่านั้น
แม้จะมีคติทั้งสองจะดำรงอยู่อย่างคู่ขนาน การใช้คติใดนำก็ไม่ได้ส่งผลต่อการสืบเนื่องของกษัตริย์อยุธยา เพราะนอกจากคติพระโพธิสัตว์และคติจักรพรรดิราชแล้ว ความเชื่ออีกอย่างที่สำคัญสำหรับกษัตริย์ไทยคือ “รามเกียรติ์” หรือองค์อวตารอย่าง “พระราม” อันเป็นเรื่องราวการอวตารของ “พระนารายณ์” มาเป็น “พระราม” ผู้ครองเมือง “อโยธยา” ทำให้ “พงศาวดาร” คือการบันทึกเรื่องราวของ พงศ์ (วงศ์) + อวตาร ที่ครองเมืองอยุธยา กล่าวคือ บันทึกผู้ที่ครองเมืองอยุธยาทุกคนไม่ว่าจะมาจากเชื้อสายใด โดยแม้ว่าเชื้อสายอันชอบธรรมของกษัตริย์องค์เดิมจะยังมีชีวิตอยู่ เรื่องราวในพงศาวดารก็จะไม่กล่าวถึงอีก[*6] ซึ่งจะต่างจาก “ยาสะเวง” หรือ “ยาสะวิน” ของพม่า ที่มาจาก “ยาสะ” อันแปลว่า “ราชา”” ประกอบกับคำว่า “วงศ์” หรือ “วงศา” พม่าออกเสียงเป็น “เวง” ยาสะเวง จึงหมายถึง รางวงศ์[*7] ที่จะ บันทึกวงศ์ของกษัตริย์แม้จะต้องย้ายเมืองไปก็ตาม
การขึ้นมาของสายราชวงศ์อื่นจึงไม่ทำให้การบันทึกเรื่องราวขาดตอน และไม่จำต้องกลับไปแก้ใหม่ การเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์แบบมหาวงศ์ จึงไม่ใช่เพียงการเชื่อมในรูปแบบสร้างความชอบธรรมของการครองบัลลังก์ของกษัตริย์หรือราชวงศ์ในปัจจุบันเท่านั้น แต่เกิดจากความเชื่อตามศาสนาพุทธที่ว่า พระพุทธเจ้าคือกษัตริย์องค์แรกของโลก (ภัทรกัป) และกษัตริย์ทุกวงศ์ในโลกนั้นสืบเชื้อสายมาจากพระสมมติราชหรือพระโพธิสัตว์ ดังปรากฏใน “อัคคัญญสูตร”[*8] โดยภายหลังพระพุทธเจ้าแล้วยังมีกษัตริย์อีกหลายร้อยพระองค์ครองราชย์อยู่ก่อน แม้ว่าจะมีการอัญเชิญกษัตริย์จากเมืองอื่น หรือมีการเปลี่ยนราชวงศ์จากการปราบดาภิเษก ก็ไม่ได้ทำให้ประวัติศาสตร์มหาวงศ์ต้องแก้ไข มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ (Simon de la Loubère) ได้จดตามคำบอกเล่าของชาวสยามว่า กษัตริย์สยามมีทั้งสิ้น 52 พระองค์ รวมระยะเวลา 934 ปี โดยไม่ใช่พระราชวงศ์เดียวตลอดสาย และเขาตั้งข้อสังเกตว่าประวัติศาสตร์สยามเต็มไปด้วยนิยาย[*9] ซึ่งฌ็อง-บาติสต์ ปาลกัว (Jean-Baptiste Pallegoix) ก็ได้จดไว้เช่นกันถึงการเริ่มประวัติศาสตร์สยามที่พระสมณโคดม (พระพุทธเจ้า) เสด็จมายังเมืองกัมพุช ก่อนจะทำนายว่าจะมีผู้มีบุญจะมาเกิด ก่อนช่วงเวลาจะข้ามไปหลายร้อยปี และมีผู้มีบุญมาเกิดซึ่งต่อมาได้ตั้งเมืองอยุธยา[*10]
จะเห็นได้ว่าการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์แบบมหาวงศ์ ไม่ได้เชื่อมโดยตรงกับพระพุทธเจ้า แต่อาจเชื่อมด้วยคำทำนายของพระพุทธเจ้าและเป็นการเชื่อมกับต้นกำเนิดของกษัตริย์ที่ครองเมืองเดียวกันยาวนานต่อเนื่องหลายศตวรรษ กล่าวคือ เป็นการเชื่อมโยงกับในแบบชนชั้นและเมืองไม่ใช่สายตระกูลหรือสายเลือด ความชอบธรรมของกษัตริย์ไทยจึงมาจากหลายแหล่งบนความเชื่อที่ซับซ้อนไม่ใช่เพียงพระเวสสันดรหรือพระโพธิสัตว์เพียงอย่างเดียว การขึ้นมาของราชวงศ์จักรีจึงไม่ได้ใช้ความชอบธรรมแบบมหาวงศ์ที่เชื่อมตระกูลตัวเองเข้ากับสายตระกูลของพระพุทธเจ้าในแบบประวัติศาสตร์มหาวงศ์
2. การตัดเวสสันดรชาดกออกจาก “ทศชาติ” : เวลาที่แตกต่างกันระหว่างพุทธและคริสต์
ในเบื้องต้น เวลาแบบพุทธและคริสต์นั้นมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ “เวลา” ในศาสนาคริสต์แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือเวลา (ที่สิ้นสุด) (tempo) และนิรัตราการ (eternal)[*11] การแบ่งทั้งสองเป็นการแยกระหว่างเมืองมนุษย์และเมืองของพระเจ้า ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยเวลาในเมืองมนุษย์นั้นเป็น tempo หรือ time ที่มีระยะเวลาอันจำกัดและมุ่งสู่จุดจบ ตั้งแต่พระเจ้าสร้างโลกจนถึงวันพิพากษา (Judgment Day) การดำรงอยู่ของมนุษย์ในโลกคริสเตียนจึงเป็นการอยู่ชั่วคราวเพื่อรอวันไปอยู่ในเมืองของพระเจ้า การนับเวลาจึงเป็นเส้นตรง (linear) เพราะนาฬิกากำลังนับถ้อยหลังสู่ความตาย (deadline) ซึ่งจะแตกต่างจากโลกแบบพุทธที่เวลาดำเนินไปเป็นวัฏจักร หรือวงรอบ (loop) ไม่สิ้นสุด (infinity) โดยรอบหลักคือรอบที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ดำรงอยู่ โดยในปัจจุบันคือรอบของพระโคตมพุทธเจ้า และรอบต่อไปคือรอบของพระศรีอริยเมตไตรย หรือพระศรีอาริย์ การดำรงอยู่ของชาวพุทธในภูมิภาคนี้จึงเป็นการรอวันที่พระศรีอาริย์จะลงมาจุติใหม่ มิติทางเวลาจึงมีลักษณะที่เริ่มต้นจะเชื่อมกับพระโคคมพุทธเจ้า และรอถึงยุคพระศรีอาริย์เพื่อเริ่มรอบเวลาใหม่ เวลาของผู้คนจึงเป็นการที่ชาติก่อน (พระโคตมพุทธเจ้า) ชาตินี้ (สะสมบุญบารมี) และชาติหน้า (พระศรีอาริย์) การรับรู้เวลาแบบเส้นตรงของคริสต์จึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นในการดำรงอยู่ ตราบใดที่จะคงเชื่อตัวเองกับวงรอบของพระพุทธเจ้าได้
เวลาแบบวงรอบของพุทธนั้นเป็นวงรอบไม่สิ้นสุดเหมือนหนูในกงล้อหรือแถบโมเบียส (Mobius Strip) การดำรงอยู่ในภาวะเช่นนี้ไม่ต่างจากการอยู่ในโลกของ “เมทริกซ์” ในภาพยนตร์เรื่อง The Matrix กล่าวคือไม่ว่าชีวิตในเมทริกซ์จะเป็นเช่นไร แต่งงาน มีลูก ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง ที่จะดำรงซ้ำไปมาไม่สิ้นสุด เป้าหมายของศาสนาพุทธอย่างการนิพพานจึงเหมือนการที่ นีโอ (Neo) เลือกกินยาเม็ดสีแดงจากมอร์เฟียส (Morpheus) เพื่อตื่นขึ้นจากความฝัน หรือกระทั่งการเริ่มต้นใหม่ของระบบ (reset) หลายรอบดังที่นีโอได้สนทนากับสถาปนิก (Architect) ในตอนจบของ The Matrix Reloaded
แถบโมเบียส
จักรวาลของพระเวสสันดรจึงไม่อาจแยกขาดจาก “ชาติ” หรือ “ชาดก” อื่นๆ ของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่การเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ เพราะเป็นการแสดงการสะสมบุญบารมีมาอย่างยาวนาน ซึ่งพระเวสสันดรคือก้าวสุดท้ายก่อนจะเดินทางมาถึงจุดจบที่ได้ตรัสรู้และตื่นขึ้นจากความฝัน การทิ้งลูกทิ้งเมียหรือทำให้เมือง (สีพี) ในความฝันเดือดร้อนจึงไม่ต่างอะไรจากการเล่มเกมส์เสมือนจริงเพราะที่สุดแล้วเป้าหมายคือการ sign out ออกจากเกมส์ ชีวิตและโลกในเกมส์จึงไม่อาจตัดสินคุณค่าของโลกภายนอก การดึงเวสสันดรชาดกมาในฐานะหรือให้ความสำคัญเพียง “พุทธวจน” จึงเป็นการตีความผ่านการคิดอ่านแบบคริสต์เอง และทำให้เรื่องราวในพระเวสสันดรดูไม่สมเหตุสมผล เพราะเนื้อแท้ของพระเวสสันดรแล้วคือ “ชาติ” (ที่หมายถึงการเกิดไม่รู้จบ) หนึ่งของพระพุทธเจ้า แต่ละชาติจึงเป็นเวลาที่ต่อเนื่อง การกระทำในชาติก่อนจะส่งผลในชาตินี้ (ไม่จำเป็นต้องเกิดผลลัพธ์ใดในชาติเดียวกัน)
ภาพของนางจิญจมาณวิกา ซึ่งได้ให้ร้ายพระโคตมพุทธเจ้าต่อหน้าคนจำนวนมากว่าทำให้นางตั้งครรภ์ อดีตชาตินางนางจิญจมาณวิกา คือ นางอมิตดาภรรยาของเฒ่าชูชก
แนวคิดเช่นนี้ปรากฏอยู่ทั่วไปหรือกระทั้งจิตสำนึกของคนที่โตมาในสังคมแบบพุทธ (ที่ชาวคริสต์ยากจะเข้าใจ) การสรรเสริญพระเจ้าแผ่นดินเป็นพระเวสสันดร ไม่ได้เป็นการคาดหวังต่อผลลัพธ์ในชาตินี้ แต่เป็นผลลัพธ์ในชาติหน้าแบบรวมหมู่ กล่าวคือ เมื่อกษัตริย์องค์ปัจจุบันเป็นพระเวสสันดร (ชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้า) ราษฎรทั้งหลายย่อมไม่ต่างจากประชาชนเมืองสีพี หรือตัวละครที่ร่วมชาติกับพระเวสสันดร ที่จะกลับไปเกิดใหม่ในชาติใหม่และร่วมสำเร็จมรรคผลต่อไป ดังนี้ 1.พระเวสสันดร กลับชาติมาเกิดเป็น พระพุทธเจ้า 2.พระนางมัทรี กลับชาติมาเกิดเป็น พระนางยโสธราพิมพา 3.พระชาลี กลับชาติมาเกิดเป็น พระราหุล 4.พระนางกัณหา กลับชาติมาเกิดเป็น พระอุบลวรรณาเถรี 5.ท้าวสักกเทวราช กลับชาติมาเกิดเป็น พระอนุรุทรเถระ 6.พระนางผุสดี กลับชาติมาเกิดเป็น พระนางสิริมหามายา 7.พระเจ้ากรุงสญชัย กลับชาติมาเกิดเป็น พระเจ้าสุทโทธนะ 8. ชูชก กลับชาติมาเกิดเป็น พระเทวทัต 9.นางอมิตตดา กลับชาติมาเกิดเป็น นางจิญจมาณวิกา ฯลฯ
กัณฑ์ที่ 8 กัณฑ์กุมาร กล่าวถึงเมื่อพระกัณหาเเละชาลีรู้ว่าตัวว่าพระบิดาจะยกตนเป็นทานตามคำร้องขอของเฒ่าชูชก จึงพากันหนีไปซ่อนที่สระบัว
การกระทำของตัวละครต่างๆ ในพระเวสสันดร ไม่ได้จบลงที่เรื่อง ชูชกและนางอมิตตดา ที่ทำเรื่องเลวร้ายต่อพระเวสสันดร ยังต้องกลับมาโดนธรณีสูบในชาติต่อไป พระเวสสันดรที่ต้องทนยอมทิ้งลูกเมียได้สำเร็จมรรคผลเป็นพระพุทธเจ้า พระนางมัทรี พระนางกัณหา พระชาลี ที่ร่วมลำบากกับพระเวสสันดร ได้กลับมาสำเร็จมรรคผลในชาติต่อไปทั้งสิ้น การกระทำของพระเวสสันดรจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลในชาติต่อมา เช่นเดียวกับราษฎรหรือกษัตริย์ที่แสดงตนเป็นพระโพธิสัตว์ของไทย สิ่งเหล่านี้ทำไปเพื่อให้กษัตริย์พระองค์นั้นกลับมาเกิดเป็น “พระศรีอาริย์” และราษฎรทั้งหลายจะได้บรรลุมรรคผลจากบารมีของพระศรีอาริย์ในชาติหน้า (ไม่ใช่ในชาตินี้)
กษัตริย์โพธิสัตว์จึงเป็นเรื่องราวที่ยังไม่จบ ทั้งในเวสสันดรชาดก หรือองค์กษัตริย์ที่อ้างความชอบธรรมในเรื่องนี้เสมือนซีรี่ส์ (series) ที่มีทั้งสิ้น 11 ตอนเป็นอย่างน้อย (ทศชาติ+พระพุทธเจ้า) กำลังดำเนินเรื่องมาถึงตอนที่ 10 บทสรุปของเรื่องราวยังไม่ถูกเฉลยออกมา การดำรงอยู่เป็นกษัตริย์โพธิสัตว์จึงเป็นแค่ช่วงเปลี่ยนผ่าน หรือการลอกคราบครั้งสุดท้ายก่อนเรื่องราวจะดำเนินถึงจุดจบในชาติต่อไป การศึกษากษัตริย์โพธิสัตว์จึงไม่อาจแยกขาดจาดอดีตชาติ และยิ่งไม่อาจแยกออกจากอนาคตอย่างชาติถัดไป (ภายหลังการสวรรคตของกษัตริย์)
การเชื่อมโยงภพชาติเช่นนี้เป็นความเชื่อพื้นฐานในสังคมไทยแม้ในปัจจุบัน ปรากฏออกตามสื่อจำนวนมาก ละครโทศทัศน์ เช่น บุพเพสันนิวาส เจ้ากรรมนายเวร พิษสวาท คู่กรรม ฯลฯ หรือภาพยนตร์ เช่น ลุงบุญมีระลึกชาติ หรือสัตว์ประหลาด ของอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เป็นต้น เรื่องราวเหล่านี้แสดงการที่ตัวละครทั้งหลายเชื่อมโยงกันหลายภพชาติ การกระทำในชาติก่อนส่งผลต่อชาติในปัจจุบัน และการกระทำในปัจจุบันย่อมส่งผลถึงชาติหน้า เป็นวัฏจักรไม่สิ้นสุด นอกจากนี้ความเชื่อทั่วไปของชาวบ้านเรื่องการทำบุญเพื่อผลดีในชาติหน้ายังปรากฏอยู่มาก เช่น การทำบุญด้วยดินสอพอง จะส่งผลให้ชาติหน้าผิวพันธุ์ดี การทำบุญด้วยการถวายจีวร จะทำให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นผู้ที่มีความเพียบพร้อมด้วยหน้าตาที่งดงาม และสติปัญญาที่น่านับถืออย่างยิ่ง ฯลฯ [*12] อานิสงส์จากการทำบุญสามารถระบุได้ออกมาอย่างชัดเจน แม้ทุกวันนี้สิ่งนี้จะถูกลดระดับให้เป็นเพียง “ความเชื่อ” แต่สิ่งนี้ยังฝังรากลึกในสังคมจนออกมาในรูปแบบคำล้อเลียนว่า “ทำบุญสวยชาติหน้า ทำหน้าสวยชาตินี้”
คำถามประการต่อมาคือทำไมต้องเป็น “พระเวสสันดร” หนังสือเล่มนี้ได้ยกประเด็นเรื่องการให้ “ทาน” ในฐานะการทำบุญกุศลที่สำคัญที่สุด ในประเด็นนี้ผู้เขียนมีข้อเสนอที่ง่ายกว่านั้นมาก คือ เพราะพระเวสสันดรเป็นชาติสุดท้ายก่อนจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในชาติต่อไปเท่านั้น กล่าวคือ หากกษัตริย์เน้นทศชาติอื่นๆ เช่น มหาชนกชาดก (บำเพ็ญวิริยบารมี) หรือพระมโหสถ (บำเพ็ญปัญญาบารมี) แสดงว่ากษัตริย์พระองค์นั้นจำต้องบำเพ็ญบารมีอีกหลายชาติกว่าจะสำเร็จมรรคผล (ซึ่งเท่ากับว่าชาติต่อไปของกษัตริย์พระองค์นั้นจะไม่ได้ตรัสรู้) แต่หากถึงขั้นบำเพ็ญทานบารมีแบบพระเวสสันดรแสดงว่าชาติหน้า หรือชาติถัดไป พระองค์ก็จะได้กลายเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระศรีอาริย์ตามคำทำนาย (การแย่งกันแสดงตนเช่นนี้ก่อให้เกิดสงครามมากมายในภูมิภาคนี้ยิ่งกว่าปัญหาทางเศรษฐกิจหรือเชื้อชาติใดๆ ในอดีต)
3. การแทนที่พระเวสสันดรชาดกด้วยคติการเมืองแบบใหม่
ผู้ที่สงสัยและไม่เชื่อถือในชาดกต่างๆ ในฐานะชาติในอดีตของพระพุทธเจ้า ผู้แรกไม่ใช่ราชสำนักสยามในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรือมิชชันนารีที่เข้ามาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่คือ “พญามาร” เรื่องราวพุทธประวัติในคืนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เป็นที่รับรู้กันทั่วไปในหมู่คนไทย พญามารได้ส่งกองทัพลงมารบกวนพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งยั่วยวนด้วยกิเลสต่างๆ นานา รวมทั้งไม่เชื่อในการบำเพ็ญเพียรของพระพุทธเจ้าที่ผ่านมา พระพุทธเจ้าจึงชี้นิ้วลงไปยังธรณี โดยเปล่งวาจาให้ “ธรณี” เป็นพยาน จนพระแม่ธรณีต้องปรากฏกายเป็นพยานและแสดงการบิดน้ำจากมวยผมเพื่อแสดงให้เห็นถึงกุศลที่พระพุทธองค์กระทำมาตั้งแต่อดีตชาติ จนน้ำที่กรวดลงบนพื้นแล้วแม่ธรณีรับไว้นั้นมากถึงขั้นเป็นมหาสมุทร พัดเอาเหล่าพญามารกระจัดกระจายหายไป ซึ่งต่อมารู้จักกันในนาม “พระพุทธรูปปางมารวิชัย” ขึ้นในเวลาต่อมา และทำให้เกิด “การกรวดน้ำ” ขึ้นหลังทำบุญกุศลใดๆ เพื่อต่อไปในภพชาติอื่นธรณีจะได้เป็นพยานในการสะสมบุญบารมี[*13] ความเป็นจริงของ “ชาดก” หรือชาติก่อนๆ ของพระพุทธเจ้าจึงถูกยืนยันด้วยพระแม่ธรณีที่ได้แสดงหลักฐานด้วยจำนวนน้ำที่พระพุทธเจ้ากรวดไว้ในภพชาติก่อนจำนวนมหาศาล
การเสื่อมลงของชาดกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 คงไม่อาจปฏิเสธอิทธิพลของอาณานิคมตะวันตกที่เข้ามาได้เลยดังที่หนังสือได้เสนอไว้ ซึ่งหากมองด้วยสายตาของชาวพุทธ ข้อโต้แย้งต่างๆ ของมิชชันนารีย่อมไม่ต่างจากการกระทำของพญามารในอดีต ปัญหาที่ผู้เขียนไม่เห็นด้วยคือ แนวคิด คติ ความชอบธรรมต่างๆ นั้นไม่ได้ถูกกำจัดดังที่แพทริคเสนอ แต่มันถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบที่ดูจะเป็นทางโลกมากขึ้นเท่านั้น กล่าวคือ ไม่ใช่การแทนที่ของแนวคิดใหม่ แต่เป็นการแปรสภาพแนวคิดเหล่านี้ให้อยู่ในรูปแบบหรือศัพท์แสงอื่นๆ แทน
แม้ว่าชาดกต่างๆ อาจถูกลดละดับลงไปให้อยู่ในระดับเดียวกับ “เรื่องแต่ง” หรือ “นิทาน” แต่ก็คงไม่มีใครสามารถนำเรื่องราวในชาดกเหล่านี้ออกมาประณาม หรือเอามาแต่งล้อเลียน (parody) ได้เช่นกัน เช่นเดียวกับที่ ชาตรี ประกิตนนทการ ได้นำเสนอเรื่องราวของการลดความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปให้กลายเป็นศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑ์[*14] ก็คงยากจะจินตนาการถึงการที่จะมีคนใช้เท้าหรือเดินข้ามพระพุทธรูปและจะไม่ได้รับผลร้ายใดๆ ตามมาจากสังคมไทยได้ กระบวนการเช่นนี้คล้ายกับการทำให้เป็นทางโลก (secularization) ในโลกตะวันตก ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วไม่ใช่การแทนที่ แต่เป็นการพูดถึงศาสนาในรูปแบบของทางโลกเท่านั้น คุณค่าทางศาสนาแท้จริงจึงไม่ได้หายไปแต่อย่างไร[*15]
ฐนพงศ์ ลือขจรชัย
สำหรับคติกษัตริย์พระโพธิสัตว์ที่กำลังเสื่อมลง แพทริคได้ให้สัมภาษณ์ว่า น่าจะเป็นการเปลี่ยน จาก “อำนาจของบารมี” (charismatic power) มาเป็น “อำนาจของกฎหมายที่มีเหตุผล” (rational-legal authority) แต่ผู้เขียนมองว่า คติกษัตริย์พระโพธิสัตว์หรือจักรพรรดิราชไม่ได้หายหรือถูกแทนที่ แต่ถูกแปรสภาพไปอยู่ในคำว่า “ชาติ” ที่โดยเนื้อหาในช่วงแรกแทบไม่ได้ต่างจากเดิมเลย กล่าวคือเป็นเพียงการเป็นรูปแบบ (form) แต่ไม่เปลี่ยนเนื้อหา (content) แต่อย่างไร
“ชาติ” ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ของชนชั้นนำสยามนั้น แตกต่างจาก nation ของตะวันตก รัชกาลที่ 5 ทรงให้ความชอบธรรมต่อพระราชอำนาจโดยใช้เกณฑ์ของหลักการเชิงขนบธรรมเนียมประเพณีสยามและทรงปฏิเสธหลักการทางการเมืองแบบตะวันตก[*16] โดยทรงย้ำให้เห็นความแตกต่างของประวัติศาสตร์สยามและตะวันตก กล่าวคือทรงเน้นย้ำถึงการที่กษัตริย์สยามเป็นผู้ปกครองคนหลากหลายกลุ่มมาตั้งแต่สมัยอยุธยาไม่ใช่เพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น[*17] “การเป็นชาติเดียวกัน” จึงหมายถึง การเป็นข้าราชบริพารหรือขึ้นต่อกษัตริย์องค์เดียวกัน ดังที่ธงชัย วินิจจะกูล เรียกว่า “เป็นชุมชนจิตกรรมที่มีประชาชนสูงต่ำสามัคคีกันภายใต้ร่มบารมีของกษัตริย์”[*18] กล่าวคือ ชาติในสังคมสยามที่มีจุดร่วมคือรัฐของพระราชา (ราชาชาตินิยม) ไม่ใช่ชาติที่ปัจเจกชนที่มีความสัมพันธ์กันในแนวราบ (horizontal) ซึ่งก็คือ “ราชาชาตินิยม” หรือชาตินิยมภายใต้กษัตริย์[*19] หรือที่ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ เรียกว่า “Royal Absolutism” หรืออาจเรียกว่าเป็น “ความรักชาติบ้านเมือง” (Patriotism) ว่า “ชาติประกอบด้วยกลุ่มคนที่มีความแตกต่างกันทางสถานะ ภูมิหลัง ภาษา วัฒนธรรม ฯลฯ แต่ก็ผูกพันกันได้เพราะมีกษัตริย์”[*20] กล่าวคือ คำว่า “ชาติ” ในช่วงนี้ได้เข้ามาแทนที่ “กษัตริย์โพธิสัตว์” หรือ “จักรพรรดิราช” ได้อย่างพอดี
การดำรงอยู่ของกษัตริย์โพธิสัตว์จึงไม่ได้หายไป แต่ปรากฏรูปโฉมใหม่หรือสวมผิวหนังของ “ชาติ” เพื่อหลอกตาเท่านั้น ซึ่งไม่แปลกเลยที่ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 คติเหล่านี้จะถอดชุดออกมาเมื่อภัยคุกคามต่างๆ อ่อนกำลังลง เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ กล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเรื่องพระมหาชนก เคยรับสั่งว่าโปรดเรื่องราวทศชาติชาดก ทั้ง 10 เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องพระมหาชนกเป็นหนังสือที่พระองค์ท่านทรงรักที่สุด จึงมีรับสั่งให้เขียนรูปพระมหาชนกขึ้นใหม่ให้มีความทันสมัย เพื่อต้องการให้เป็นหนังสือของคนรุ่นใหม่[*21]
สรุป
โดยสรุปแล้ว หนังสือทฤษฎีกษัตริย์โพธิสัตว์: เวสสันดรชาดกในประวัติศาสตร์ไทย เป็นหนังสือที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการศึกษาสถาบันกษัตริย์และศาสนาพุทธของไทย หนังสือได้ให้รายละเอียดมากมายถึงการปรากฏตัวของเวสสันดรชาดกในเวลาและสถานที่ต่างๆ รวมทั้งนำเสนอการศึกษาคัมภีร์ต่างๆ ในมิติที่ต่างออกไปอย่างน่าทึ่ง คือไม่ใช่ศึกษาตัวเนื้อหา แต่ศึกษาตำแหน่งแห่งที่ของคัมภีร์แทน
ทั้งนี้ ข้อวิจารณ์ของผู้เขียนทั้งหมดเป็นข้อวิจารณ์ที่อยู่นอกตัวหนังสือ (beyond text) และไม่ได้ลดทอนคุณค่าของหนังสือเล่มนี้แต่อย่างไร แต่ผู้เขียนต้องการนำเสนอญาณวิทยาบางอย่างที่จำเป็นต้องศึกษาควบคู่ไปกับการอ่านหนังสือเล่มนี้
อ้างอิง
*1 แม้หนังสือเล่มนี้ (ฉบับภาษาไทย) จะพึ่งพิมพ์ในปี ค.ศ.2020 แต่วิทยานิพนธ์ได้ทำเสร็จตั้งแต่ ค.ศ.1998
*2 Q&A แพรทริค โจรี ผู้เขียนหนังสือ ทฤษฎีกษัตริย์โพธิสัตว์: เวสสันดรชาดกในประวัติศาสตร์ไทย
*3 แพทริค โจรี, ทฤษฎีกษัตริย์โพธิสัตว์: เวสสันดรชาดกในประวัติศาสตร์ไทย, แปลโดย ฑิตฐิตา ซิ้มเจริญ ( กรุงเทพฯ: , 2563), น.85
*4 เอนก มากอนันต์, จักรพรรดิราช คติเบื้องหลังชนชั้นนำไทย, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2562). น.55
*5 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, เที่ยวเมืองพม่า (กรุงเทพ: มติชน, 2545), น. 123-124
*6 สุเนตร ชุตินธรานนท์, การบรรยายหัวข้อ “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยและจีน”. ณ ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 13.30-16.00 น. ณ ห้องประชุมจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ ชั้น4 อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, https://www.youtube.com/watch?v=9Vng3doWuI4 (สืบค้นเมื่อ 15 มิถุนายน 2563)
*7 สุเนตร ชุตินธรานนท์, พม่ารบไทย: ว่าด้วยการสงครามระหว่างไทยกับพม่า, พิมครั้งที่ 14, ฉบับปรับปรุงใหม่ (กรุงเทพฯ: มติชน, 2561),น.76
*8 เอนก มากอนันต์, จักรพรรดิราช คติเบื้องหลังชนชั้นนำไทย, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: มติชน, 2562), น.50
*9 มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์, จดหมายเหตุ ลาลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม, แปลโดย สัน ท.โกมลบุตร, พิมพ์ครั้งที่ 3 (กรุงเทพฯ : ศรีปัญญา, 2552) น.42
*10 มงเซเญอร์ ปาลเลกัวซ์, เล่าเรื่องกรุงสยาม, แปลโดย สัน ท.โกมลบุตร, พิมพ์ครั้งที่ 4 (กรุงเทพฯ : ศรีปัญญา, 2552), น.352-353
*11 Richard b. Miller, “Christian Attitudes toward Boundaries: Metaphysical and Geographical,” in Christian Political Ethics. edited by John A Coleman; John Aloysius Coleman (Princeton: Princeton University Press, 2009.). p.70
*12 อานิสงส์ผลบุญจากการทำบุญ 40 แบบ https://sites.google.com/site/khruthrrm/xa-ni-sngkh-thabuy-40-baeb (สืบค้นเมื่อ 16 มิถุนายน พ.ศ.2563)
*13 การให้ธรณีเป็นพยานยังปรากฏอีกเป็นจำนวนมาก โดยที่มีชื่อเสียงที่สุดคือบทประพันธ์ของศรีปราชญ์ ความว่า “ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง เราผิดท่านประหาร เราชอบ เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง” การรำพันของศรีปราชญ์ต่อความไม่เป็นธรรมก่อนตายจนต้องเรียกให้ธรณีเป็นพยานและคาดหวังให้ “ดาบนั้นคืนสนอง” ล้วนแต่เป็นผลจากความเชื่อเรื่องภพชาติและเวรกรรมทั้งสิ้น
*14 อ่านเพิ่มเติม ชาตรี ประกิตนนทการ, “การประกอบสร้างศิลปะไทยฉบับทางการ: ประวัติศาสตร์ศิลปะ กับการก่อร่างสร้างชาติ พ.ศ. 2408-2525,” (วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ.2561).
*15 อ่านเพิ่มเติม ธเนศ วงศ์ยานนาวา, “Post-secular : เมื่อ "ผี" ของยุโรปเป็นศูนย์กลาง,” ใน ฮาเบอร์มาสกับสังคมแบบหลังฆราวาส, บรรณาธิการโดย พิพัฒน์ พสุธาชาติ, (กรุงเทพฯ: Illumination Edition, 2562).
*16 นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, “แนวคิดชาติบ้านเมือง: กำเนิด พัฒนาการ และอำนาจการเมือง,” วารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 27 ฉ. 2 (มิถุนายน 2549): 16.
*17 ฐนพงศ์ ลือขจรชัย, “ชาติไทยของสยามเหนือชาวปัตตานีมลายูในศตวรรษที่ 19,” วารสารศิลปศาสตร์ ปีที่ 18 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม -ธันวาคม 2561). น.184
*18 ธงชัย วินิจจะกูล, โฉมหน้าราชาชาตินิยม (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2559) น.(15) - (16)
*19 เพิ่งอ้าง, น.(16)
*20 นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, “แนวคิดชาติบ้านเมือง: กำเนิด พัฒนาการ และอำนาจการเมือง,” ใน อ้างแล้ว, น.15.
*21 “ทศชาติชาดก” หนังสือที่ในหลวง ร.9 รักมากที่สุด, https://www.thansettakij.com/content/222511 (สืบค้นเมื่อ 14 มิถุนายน พ.ศ.2563)
_____________________________
ทฤษฎีกษัตริย์โพธิสัตว์: เวสสันดรชาดกในประวัติศาสตร์ไทย
แปลจาก ‘Thailand's Theory of Monarchy: The Vessantara Jātaka and the Idea of the Perfect Man’ by Patrick Jory
โดย แพทริค โจรี
แปลโดย ฑิตฐิตา ซิ้มเจริญ