
Q&A แพรทริค โจรี ผู้เขียนหนังสือ ทฤษฎีกษัตริย์โพธิสัตว์: เวสสันดรชาดกในประวัติศาสตร์ไทย
Q1 . ช่วยเล่าประวัติย่อๆ ทางวิชาการ และตำแหน่งหน้าที่ของอาจารย์ในปัจจุบันหน่อยครับ ?
A1 . ผมจบปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ยุโรป ปรัชญา ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน และลาติน เนื่องจากการมาประเทศไทยโดยบังเอิญเพื่อเล่นรักบี้ งานแรกของผมคือการเป็นโค้ชรักบี้ให้กับโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผมทำงานในตำแหน่งนี้สองปี ช่วงที่ผมกลับไปประเทศออสเตรเลีย ผมเปลี่ยนความสนใจของผมไปที่ประวัติศาสตร์ของอุษาคเนย์ ผมจบปริญญาเอกด้านประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียจากการทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยโดยมีศาสตราจารย์ เครก เรย์โนลดส์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ผมสอนวิชาเอเชียศึกษาที่ University of Western Australia เป็นเวลาหกปี และสอนหนังสือเก้าปีที่โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ที่นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ปี ค.ศ.2011 ผมได้สอนประวัติศาสตร์ของอุษาคเนย์ ที่ University of Queensland ผมยังสอนวิชาประวัติศาสตร์นิพนธ์ อิสลามในอุษาคเนย์ และประวัติศาสตร์โลก
Q2 . ทำไมอาจารย์จึงสนใจในเรื่องเวสสันดรชาดก ทั้งๆ ที่มันเป็นหัวข้อที่มีนักวิชาการไทยทำอยู่ก่อนแล้วเป็นจำนวนมาก ?
A2 . เหมือนกับวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกจำนวนมาก แนวคิดเริ่มต้นในข้อเสนอทางวิทยานิพนธ์ของผมมันใช้การไม่ได้ เรื่องจริงก็คือผมกำลังหาทางเขียนประวัติศาสตร์ของประชาชนในประเทศไทย แต่ผมไม่สามารถหาทางทำมันได้ เครก เรย์โนลดส์ ที่ปรึกษาของผมรู้ว่าผมมีความสนใจในวรรณคดีและภาษา แกได้แนะนำให้ผมลองไปศึกษาเวสสันดรชาดกเนื่องจากมันเป็นคัมภีร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ในตอนแรกผมคิดว่าผมอาจจะใช้เวสสันดรชาดกในการเขียนประวัติศาสตร์ของประเทศไทยจากเบื้องล่าง คล้ายกับที่เรย์ อิเลโต้ (Rey Ileto) ทำในการศึกษา บทสวดมหาการุณกับการปฏิวัติ (Pasyon and revolution) ในประวัติศาสตร์ของฟิลิปปินส์ แต่เมื่อผมได้ทำการวิจัยมากขึ้นๆ วิทยานิพนธ์ของผมกลับกลายเป็นการศึกษาที่ปัจจุบันเรียกว่า ‘อุดมการณ์ทางการเมือง’ มันเป็นเรื่องจริงที่มีนักวิชาการไทยและต่างชาติจำนวนหนึ่งที่ศึกษาเวสสันดรชาดก แต่พวกเขาศึกษาจากมุมมองทางวรรณคดีหรือศาสนา หรือจากมุมมองของนิทานพื้นบ้าน ผมศึกษาจากมุมมองทางการเมืองและประวัติศาสตร์ ผมมีคำถามทางประวัติศาสตร์สองข้อซึ่งผมพยายามตอบในหนังสือเล่มนี้ (1) ทำไมเรื่องเวสสันดรชาดกถึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย? (2) ทำไมเรื่องนี้จึงได้สูญเสียความนิยมจากบรรดาชนชั้นนำในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว?
Q3. ตอนที่ผมอ่านบทแรกของหนังสือเล่มนี้ ผมรู้สึกว่าผมกำลังอ่านหนังสือด้านมานุษยวิทยา ผมคิดว่าอาจารย์ต้องเคยไปลงพื้นที่แถวภาคอีสานมาก่อน ที่สำคัญอาจารย์เขียนว่านักวิชาการส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับเนื้อเรื่องของพระเวสสันดรชาดก แต่อาจารย์ต้องการมุ่งความสนใจไปที่ ‘สื่อ’ ที่ใช้ในการนำเสนอเรื่อง หนังสือมีการพูดถึง คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ คัมภีร์ใบลานและตัวอักษร ผู้เล่าเรื่อง ลักษณะตัวละคร รูปแบบคำประพันธ์ คัมภีร์ที่ใช้เทศน์คู่กับมหาชาติ สุนทรียะของการเทศน์: ทำนองและแหล่ ฯลฯ เรื่องราวเหล่านี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก มันทำให้ผมเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใดเวสสันดรชาดกจึงเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมมากในหมู่ชนชั้นสูงมาจนถึงประชาชน ตั้งแต่รัฐไทยยังเป็นรัฐก่อนสมัยใหม่ เนื่องจากลักษณะพิเศษของประเพณีการเทศน์มหาชาติ อาจารย์พอจะอธิบายเรื่องเหล่านี้ พอสังเขป ได้ไหมครับ?
พิธีเทศน์มหาชาติที่วัดคุ้งตะเภา จังหวัดอุตรดิตถ์
A3. คุณกล่าวได้ถูกต้อง ส่วนนี้คือบทที่มีความเป็นมานุษยวิทยามากที่สุดในหนังสือ เครก เรย์โนลดส์ ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของผม ให้ผมอ่านงานทางมานุษยวิทยาหลายเล่ม! ในการวิจัยของผม ผมได้สัมภาษณ์พระสงฆ์และนักเทศน์หลายท่านเกี่ยวกับการเทศน์มหาชาติ ผมเข้าร่วมพิธีการเทศน์มหาชาติที่วัดในส่วนต่างๆ ของประเทศไทย กรุงเทพฯ ภาคอีสาน เชียงใหม่ และภาคใต้ เหมือนที่ผมได้ย้ำในหนังสือเล่มนี้ มันมีความสำคัญมากที่จะต้องเข้าใจว่าเวสสันดรชาดกฉบับของไทยว่าเป็นคัมภีร์เพื่อการเทศน์ สิ่งนี้หมายความว่ามันถูกเขียนขึ้นเพื่อใช้ในการอ่านขับ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เวสันดรชาดกมีความแตกต่างเป็นอย่างมากจากวรรณคดีภาษาบาลีชิ้นอื่นๆ ซึ่งถูกเขียนขึ้นเพื่อให้พระสงฆ์อ่านเท่านั้น มันคือสาเหตุที่ทำให้เวสสันดรชาดกได้รับความนิยมอย่างมาก อีกมุมหนึ่งที่สำคัญของเวสสันดรชาดก ที่ไม่เหมือนกับคัมภีร์ทางพุทธศาสนาเล่มอื่นๆ คือการที่มันได้รับความนิยมทั้งจากชนชั้นสูงและชาวนาชาวไร่ มีบางสิ่งบางอย่างที่เชื่อมต่อคนเหล่านี้เอาไว้ ดังนั้นถ้าผมจะเขียนประวัติศาสตร์ของเวสสันดรชาดกในประเทศไทย ผมต้องเข้าใจว่าการอ่านขับทำงานได้อย่างไร
เมื่อผมเริ่มต้นการวิจัย ผมคิดว่าจะเปรียบเทียบฉบับภาษาท้องถิ่นของเวสสันดรชาดก ผมคาดว่าคงจะพบความแตกต่างมากมาย ในราชสำนักของไทย ประเทศไทยตอนกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ความจริงก็คือพวกมันมีความเหมือนกันอย่างมาก เนื่องจากคัมภีร์เหล่านี้มีความซื่อตรงต่อพระวจนะของพระพุทธเจ้า มันเป็นความเชื่อว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้เล่าเรื่องของพระเวสสันดร เพื่อที่จะได้รับบุญกุศลจากการฟังเวสสันดรชาดก ผู้ฟังจะต้องได้ฟังร้อยกรองภาษาบาลีคือคาถาพันของพระพุทธเจ้า พวกเขาจึงจะสามารถได้พบกับพระศรีอริยเมตไตรยในการเกิดชาติหน้าได้ อย่างที่ผมอธิบายในบทนี้ แง่มุมต่างๆ ทางพิธีกรรมของการอ่านขับเน้นว่าเวสันดรชาดกมาจากพระวจนะของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง สิ่งนี้เป็นการรับประกันว่าพระสงฆ์กำลังสวดขับถ้อยคำที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอันทำให้ผู้ฟังได้รับบุญ นี่เองที่ทำให้เวสสันดรชาดกเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนทั่วประเทศไทยต้องฟังเทศน์เรื่องนี้ทุกปี เมื่อผมรู้ว่าเรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวไทยที่นับถือพุทธศาสนาเกือบทุกคนอย่างน้อยก็ตั้งแต่สมัยสุโขทัย ผมเริ่มที่จะเข้าใจว่าแนวคิดศูนย์กลางในเวสสันดรชาดกได้กลายเป็นวิธีคิดทางศีลธรรมและอำนาจแบบไทย
พิธีเทศน์มหาชาติ พระเวสสันดรชาดก วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 2561 เวลา 14.00 น. แสดงโดย พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ (นิรันดร์)
Q4. อีกประเด็นที่ผมสนใจคือแนวคิดเรื่อง ‘บารมี’ เนื่องจากผมเคยอ่านงานของมักซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ที่กล่าวว่า เราสามารถแยกแยะสิ่งที่เรียกว่า ‘อำนาจอันชอบธรรม’ (Legitimacy) ออกได้เป็นสามแบบ คือ อำนาจตามจารีตประเพณี (Traditional authority) อำนาจเชิงบารมี (Charismatic authority) และอำนาจตามกฎหมายที่มีเหตุผล (Legal-rational authority) อำนาจตามจารีตประเพณี ก็คืออำนาจที่ยึดโยงอยู่กับประเพณีอันสืบทอดกันมายาวนานในสังคม ซึ่งมักจะเห็นได้ชัดเจนในสังคมก่อนสมัยใหม่ ขณะที่อำนาจเชิงบารมีนั้นเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล โดยคนที่จะถูกยกให้มีบารมีนั้นก็คือคนที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณลักษณะเฉพาะตัวที่พิเศษมากๆ บางอย่าง ส่วนอำนาจตามกฎหมายที่มีเหตุผล ก็คืออำนาจที่มาพร้อมกับระบบกฎหมายอันเป็นทางการ มีการระบุกฎเกณฑ์ชัดเจนว่าใครมีอำนาจหน้าที่อย่างไร ซึ่งอำนาจในแบบหลังนี้เป็นลักษณะสำคัญของสังคมสมัยใหม่
ประเด็นก็คือ ผมคิดว่าประเทศไทยในปัจจุบัน ยังไม่เกิดอำนาจอันชอบธรรมจากระบบกฎหมายที่มีเหตุผล (Legal-rational authority) อันนี้ผมอาจผิดก็ได้นะครับ แต่ผมคิดว่าบ้านเรายังไม่เกิดสิ่งที่เรียกว่า Rule of Law ประชาชนไม่ได้เชื่อว่าพวกเขาต้องทำตามกฎหมายเพราะกฎหมายทำหน้าที่ปกป้องสิทธิ เสรีภาพของพวกเขา เขาไม่ได้คิดว่ากฎหมายทำหน้าที่จำกัดอำนาจของรัฐ ไม่ได้คิดว่ากฎหมายเป็น Norm ที่สังคมควรยอมรับ แต่คนไทยส่วนใหญ่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายเพราะกลัวการลงโทษ (sanction) หรือเกิดจากการถูกสอนให้เป็นพลเมืองที่ดีที่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย อาจารย์บางท่านถึงกับวิจารณ์ว่าบ้านเรามีแต่ Rule by Law ไม่มี Rule of Law ทีนี้ในทางกลับกัน อาจารย์อธิบาย ‘ทานบารมี’ ซึ่งมีที่มาจากเวสสันดรชาดกซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับพระยาลิไทซึ่งเป็นกษัตริย์ในสมัยสุโขทัย อาจารย์ยังอธิบายต่อว่าแนวคิดเรื่อง ‘ทานบารมี’ ซึ่งที่มาจากเวสสันดรชาดก ยังมีอิทธิพลต่อแนวคิดของคนไทยในปัจจุบันด้วยซ้ำ ซึ่งอาจทำให้เราคิดต่อไปได้ว่าแนวคิด ‘อำนาจอันชอบธรรม’แบบสมัยใหม่ ของมักซ์ เวเบอร์ ไม่สามารถนำมาใช้กับประเทศไทยได้ fit ดีนัก หรืออาจพูดแบบบรูโน ลาตูร์ว่า ‘Thailand Has Never Been Modern.’ อาจารย์มีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้ครับ? และโดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง ‘ทานบารมี’ ที่สามารถสืบทอดความเชื่อมาจนถึงปัจจุบันครับ ?
A4 . นี่คือคำถามที่ดีมาก บอกตามตรงตอนที่ผมเริ่มทำปริญญาเอก ผมไม่ได้อ่านงานของมักซ์ เวเบอร์ และความเข้าใจของผมต่อประวัติศาสตร์ไทยก็มีอยู่อย่างจำกัดมาก มันเริ่มขึ้นเมื่อตอนที่ผมเริ่มจะเข้าใจ ‘บารมี’ อันเป็นแนวคิดศูนย์กลางแบบไทยของเกี่ยวกับอำนาจแห่งบารมี (charismatic power) ผมจึงเริ่มหันมามองเวเบอร์ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม หนังสือของผมก็ไม่ใช่เป็นการเถียงกับเวเบอร์ ความจริงแล้วผมเขียนเกี่ยวกับการลดลงของอิทธิพลของพระเวสสันดรชาดกในกลุ่มชนชั้นสูงในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผมน่าจะสามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงจาก ‘อำนาจของบารมี’ (charismatic power) มาเป็น ‘อำนาจของกฎหมายที่มีเหตุผล (rational-legal authority)’ แต่ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ เพราะในตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจเวเบอร์ดีนัก แต่น่าสนใจมากที่ผมได้ข้อสรุปที่เหมือนกับเวเบอร์ นั่นคือ มันมีการเปลี่ยนแปลงที่แม้ว่าเกิดขึ้นทีละน้อยและอย่างไม่คงที่จาก ‘อำนาจของบารมี’ มาเป็น ‘อำนาจของกฎหมายที่มีเหตุผล’
ผมมีการอ้างในหนังสือถึงนักวิชาการไทยบางคนที่เคยเขียนเกี่ยวกับบารมี คือนิธิ, ลิขิต, กอบเกื้อ และคนอื่นๆ (นิธิใช้คำว่า ‘อาณาบารมี’ เพื่ออ้างถึงแนวคิดของเวเบอร์เรื่อง ‘Charisma’ ตามที่คุณรู้ว่านิธิได้รับอิทธิพลจากเวเบอร์มาก) แต่ในประวัติศาสตร์ไทย การถกเถียงในเรื่องนี้มีค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับความสำคัญของปัญหา ผมมีความเห็นว่าไม่มีใครนำแนวคิด ‘บารมี’ ไปใช้ศึกษากับวรรณคดีในเชิงประจักษ์ต่อการแพร่กระจายของแนวคิดนี้ คัมภีร์ของพุทธศาสนาอย่างเช่น ชาดก จริยาปิฎก พุทธวงศ์ และงานไทยทางพุทธศาสนาหลายชิ้น รวมไปถึงชนิดของประวัติศาสตร์นิพนธ์ที่ผมเรียกว่า ‘ประวัติศาสตร์แบบมหาวงศ์’ (great lineage history) เพราะประวัติศาสตร์เหล่านี้ใช้เรื่องเล่าของชาวพุทธที่ตั้งอยู่บนตำนาน Mahavamsa ของชาวสิงหลที่แปลไทยว่า ‘มหาวงศ์’ ผมคิดว่าหนังสือของผมเป็นงานชิ้นแรกในการทำแผนที่ของคัมภีร์ต่างๆ ที่แพร่กระจายแนวคิดเรื่องอำนาของบารมี ในหนังสือผมได้ใส่รายชื่อยาวของคัมภีร์ต่างๆ ที่แนวคิดเหล่านี้ถูกอธิบายอย่างละเอียด
ผมคิดว่าคุณถูกอย่างแน่นอนในเรื่องที่อำนาจจากกฎหมายที่มีเหตุผลในประเทศไทยยังมีอยู่อย่างจำกัด อันนี้เห็นได้ชัดจากจากการดำรงอยู่และการรื้อฟื้นของสถาบันกษัตริย์ ภายใต้พระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจบารมีได้รับการรื้อฟื้นอย่างมากมาย คุณถูกในเรื่องที่เหตุผลหนึ่งของวิกฤตทางการเมืองไทยในทุกวันนี้คือการปะทะกันระหว่างสองแนวคิดเรื่องอำนาจที่ชอบธรรม: บารมี กับ เหตุผลทางกฎหมาย
ผมอยากเขียนเพิ่มตรงนี้อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าใครที่เคยอ่านงานของนิธิ พวกเขาจะรู้ว่างานของผมเป็น ‘เชิงอรรถของนิธิ’ อย่างแท้จริง ความจริงแล้วนิธิมีอิทธิพลเป็นอย่างสูงต่อหนังสือของผมมากกว่าเวเบอร์ ผมซึมซับแนวคิดของเวเบอร์ผ่านงานของนิธิอย่างไม่รู้ตัว ผมไม่คิดว่าหนังสือของผมได้สร้างอะไรที่เกินไปกว่าสิ่งที่นิธิได้ทำไว้ มันมีบางสิ่งที่ค่อนข้างตลกที่ผมมารู้ในภายหลัง งานของผมเป็นการถกเถียงกับนักวิชาการไทย ไม่ใช่กับนักวิชาการตะวันตก ผมไม่คิดว่าผู้อ่านชาวตะวันตกจะเข้าใจจริงๆ ว่าหนังสือของผมเขียนเกี่ยวกับอะไร แต่ผมมั่นใจเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าผู้อ่านชาวไทยจะเข้าใจหนังสือเล่มนี้
Q5 . ในบทที่ 4 และบทที่ 5 อาจารย์พูดถึงการปฏิเสธชาดกของราชสำนัก โดยเฉพาะความเสื่อมของ ‘มหาวงศ์’ อาจารย์เขียนว่าการปฏิเสธและความเสื่อมดังกล่าวเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมาถึงจุดสูงสุดในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงวิจารณ์ชาดกว่าเป็นเพียงนิทาน ไม่ใช่เรื่องเล่าโดยพระพุทธเจ้า อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ก็จำกัดอยู่แค่ภายในราชสำนักกับชนชั้นสูงในเมืองหลวงที่ได้รับอิทธิพลจากความรู้แบบตะวันตกเท่านั้น อันนี้อาจารย์ช่วยอธิบายเรื่องนี้พอสังเขปหน่อยได้ไหมครับ ? โดยเฉพาะอิทธิพลของนักวิชาการด้านภาษาบาลีชาวตะวันตกครับ ?
A5 . อันนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน มันเป็นเรื่องจริงที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่และการเคลื่อนไหวของธรรมยุติกนิกายมีการปฏิเสธชาดกมาก่อนนักวิชาการตะวันตก ตามที่ผมอธิบายในหนังสือ คัมภีร์ของชาดกประกอบไปด้วยสองส่วน ส่วนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเล่า กับส่วนที่เป็นอรรถกถาซึ่งเชื่อกันว่าถูกเขียนขึ้นภายหลังเป็นเวลาหลายศตวรรษ
ธรรมยุติกนิกายให้คุณค่าสูงสุดต่อพระพุทธวจนะที่แท้จริง พวกเขาไม่ให้ความสำคัญต่อส่วนที่เป็นอรรถกถา สิ่งนี้มีความคล้ายคลึงกับการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูปในศาสนาอื่นๆ อย่างเช่น นักปฏิรูปชาวอิสลามที่สนับสนุนการกลับไปสู่คัมภีร์อัลกุรอานและหะดีษว่าเป็นเพียงคัมภีร์หลัก หรือในคริสต์ศาสนาแบบโปรเตสแตนต์ที่เน้นย้ำความสำคัญของคัมภีร์ไบเบิล มันมีเหตุผลทางการเมืองที่ธรรมยุติกนิกายไม่ให้คุณค่าต่อชาดกอันเกิดจากการแข่งขันระหว่างรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 3 ตามที่ผมเสนอไว้ในวิทยานิพนธ์ว่า ในภายหลัง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเยาะเย้ยต่อการอ้างเป็นพระโพธิสัตว์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ธรรมยุติกนิกายมีอิทธิพลมากขึ้นภายในสถาบันของสงฆ์ไทย พุทธศาสนาของนักปฏิรูปได้ครองความเป็นใหญ่ในราชสำนักไทย ชาดกได้ถูกยกเว้นจากการพิมพ์พระไตรปิฎกในปี พ.ศ.2436 โดยราชสำนักไทย แม้ว่าชาดกในอดีตได้ถูกพิมพ์ร่วมกับพระไตรปิฎกเสมอมา ในขณะเดียวกันผมแสดงในหนังสือว่า นักวิชาการด้านพุทธศาสนาชาวตะวันตกได้ให้คำอธิบายแบบเดียวกันคือส่วนใหญ่ของชาดกเป็นอรรถกถา ดังนั้นจึงไม่ควรเชื่อว่ามันเป็นพระดำรัสที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า จากสองปัจจัยนี้ทำให้ชาดกสูญเสียอำนาจและอิทธิพลในระดับของชนชั้นสูง
Q6 . ถ้าเราคิดตามคำอธิบายของอาจารย์เรื่องการปฏิเสธชาดกและความเสื่อมของ ‘มหาวงศ์’ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผมมีคำถามต่อไปว่าแล้วพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงใช้คำอธิบายแบบไหนมาอธิบายความชอบธรรมในการเป็นพระมหากษัตริย์ของพระองค์ครับ? ผมขอยกเหตุการณ์ในปี พ.ศ.2427 ที่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ฯ อัครราชทูตไทยประจำอังกฤษ พร้อมเจ้านายและข้าราชการ 11 นาย ได้กราบบังคมทูลเสนอให้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญ แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าสยามยังไม่พร้อมกับเรื่องดังกล่าว แต่ก็ทรงโปรดให้ศึกษารูปแบบการปกครองแบบประเทศตะวันตก และ พ.ศ.2431 ก็ทรงเริ่มทดลองแบ่งงานการปกครองออกเป็น 12 กรม จนกระทั่งปี พ.ศ.2435 จึงเกิดเป็น 12 กระทรวงอย่างเป็นทางการ ถ้าเราเอาช่วงเวลานั้นมาพิจารณา เราจะอธิบายเรื่องความชอบธรรมของพระองค์ด้วยคำอธิบายลักษณะไหนครับ ?

มหาทาน ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดภูเก็ต อำเภอปัว จังหวัดน่าน เป็นฉากสระบัวของเวสสันดรชาดก
A6. เมื่อเราพูดถึงความชอบธรรมในช่วงนี้ ผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องเข้าใจก่อนว่านี่เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน แนวคิดเก่าเรื่องความชอบธรรมกำลังหลีกทางให้กับแนวคิดแบบใหม่ และการคุกคามต่อราชวงศ์จักรีจากตะวันตก (ไม่ใช่จากภายใน) ดังนั้นความชอบธรรมต้องถูกอธิบายด้วยแนวคิดของชาวตะวันตก ด้วยการจัดตั้งระบบการศึกษาแบบใหม่ในช่วงหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่ผู้มีอำนาจของไทยเริ่มที่จะเน้นย้ำถึงความสำคัญของความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ นี่เป็นครั้งแรกที่มีการประกาศใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เป็นเพราะกษัตริย์กำลังเริ่มสูญเสียความชอบธรรม สิ่งนี้จะดำเนินต่อไปจนถึงปี พ.ศ.2475 การรุกรานของเจ้าอาณานิคมทำให้เกิดวิกฤต ทุกที่ในอุษาคเนย์เกิดเรื่องแบบเดียวกัน ประชาชนตกอยู่ระหว่างแนวคิดเก่าทางศาสนาเรื่องความชอบธรรมกับแนวคิดใหม่ที่ว่ารัฐบาลต้องได้รับความยินยอมจากประชาชน
สิ่งนี้ได้ทำให้เกิดการลุกขึ้นของนักชาตินิยมซึ่งจะยึดอำนาจในอุษาคเนย์ ฟิลิปปินส์เป็นประเทศแรกในปีพ.ศ.2441 เมื่อถูกบุกรุกโดยสหรัฐอเมริกา แต่ที่น่าสนใจคือประเทศไทยใน พ.ศ.2475 ในขณะที่เวียดนาม พม่า อินโดนีเซีย ต้องรอถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในขณะที่มาเลเซียและสิงค์โปร์ต้องรอถึง พ.ศ.2493
Q7. หลังจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สิ้นสุดลง มีนักวิชาการกฎหมายฝ่ายอนุรักษ์พยายามแย้งว่าสถาบันกษัตริย์ของไทยที่จริงแล้วมีความเป็นประชาธิปไตย มีการอ้างถึงหลัก ‘อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ’ ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของพุทธศาสนาคือ อัคคัญญสูตร อาจารย์ในฐานะที่ศึกษาประเทศไทยมานาน มีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้ครับ ?
A7. มันเป็นเรื่องที่รู้กันดีว่าหลังจากปี พ.ศ.2475 และโดยเฉพาะในช่วงท้ายของปี พ.ศ.2483 เป็นการกลับมามีอำนาจทางการเมืองของฝ่ายนิยมเจ้า ฝ่ายอนุรักษนิยมอย่างเช่น หม่อมเจ้าธานีนิวัต คึกฤทธิ์และเสนีย์ ปราโมช ฯลฯ พยายามที่จะเสนอภาพของกษัตริย์ไทยว่าเป็นแบบประชาธิปไตย งานของธนาพล อิ๋วสกุล, สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, ณัฐพล ใจจริง มีความสำคัญต่อความเข้าใจต่อช่วงเวลาดังกล่าว อัคคัญญสูตร เป็นคัมภีร์สำคัญทางพุทธศาสนาเพราะมันสามารถถูกใช้เพื่อเสนอว่ากษัตริย์ไทยถูก ‘เลือก’ และเป็นประชาธิปไตย แน่นอนว่านี่เป็นเพียงอุบายเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายนิยมเจ้า แต่มันได้รับความสำเร็จเป็นอย่างมาก ความจริงแล้ว เราสามารถอ่านวาทกรรมประชาธิปไตยของฝ่ายนิยมเจ้าได้ว่าเหมือนเป็นการยอมรับต่ออำนาจทางวาทกรรมของ ‘ประชาธิปไตย’ หลังจากปี พ.ศ.2475 ความชอบธรรมของพระมหากษัตริย์ไทยไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงกับราชวงศ์ แนวคิดเรื่องอำนาจของชาวพุทธ แต่ต้องเทียบสถาบันกษัตริย์กับมาตรฐานของ ‘ประชาธิปไตย’
ต่อมาในช่วงปลดปล่อยประเทศอาณานิคมให้เป็นอิสระและช่วงสงครามเย็น นักวิชาการตะวันตกซึ่งรวมถึงนักวิชาการทางด้านอุษาคเนย์ศึกษา มีแนวโน้มที่จะเห็นว่ากษัตริย์ไทยเป็นสัญลักษณ์ของนักชาตินิยมที่ได้ ‘ช่วย’ ประเทศไทยจากการตกเป็นเมืองขึ้นของตะวันตก ดังนั้นจึงมีการวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์ค่อนข้างน้อย ยกเว้นบางคน ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือเบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน แม้กระทั่งล่วงมาถึงกันยายน พ.ศ.2549 นักวิชาการตะวันตกส่วนใหญ่ก็ยังสนับสนุนการปฏิวัติของพวกนิยมเจ้าที่ทำต่อทักษิณ นักวิชาการตะวันตกเริ่มที่จะวิจารณ์กษัตริย์ไทยในภายหลัง ดังนั้นเราต้องยอมรับถึงความสำเร็จของพวกนิยมเจ้าในการเสนอภาพพจน์ของกษัตริย์ต่อโลกภายนอกว่าเป็นแบบ ‘ประชาธิปไตย’

แพรทริค โจรี (Patrick Jory)
Q8. จากข้อเสนอทั้งหมดของหนังสือเล่มนี้ อุดมการณ์ในเรื่องพระเวสสันดรชาดกยังมีความจำเป็นต่อสังคมไทยปัจจุบันในยุคหลังการรัฐประหารของ คสช. เมื่อปี พ.ศ.2557 หรือไม่? อย่างไร? ในรูปแบบของรัฐประชาชาติสมัยใหม่ ประเทศไทยสามารถสร้างรัฐสวัสดิการ โดยอาศัยแนวคิดของตะวันตกอย่างเช่น ความเท่าเทียม (Equality) หรือความยุติธรรม (Justice) โดยไม่ต้องอาศัยแนวคิดเรื่อง ‘ทานบารมี’ ได้หรือไม่? อย่างไร ?
A8 . ผมลังเลใจที่จะให้ความเห็นที่หนักแน่น โดยปราศจากการทำวิจัยต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ผมมีสองข้อที่อยากจะพูด
หนึ่ง ผมคิดว่ามันชัดเจนในรัชกาลก่อนว่า อำนาจบารมีที่อยู่บนแบบอย่างของกษัตริย์โพธิสัตว์ได้รับการรื้อฟื้นอย่างยิ่งใหญ่ สื่อและนักวิชาการตะวันตก หรือแม้กระทั่งนักวิชาการไทยชอบที่จะพูดว่าประชาชนชาวไทย “ให้ความเคารพต่อพระมหากษัตริย์เหมือนเป็นเทพเจ้า” แต่ผมคิดว่านี่เป็นความเข้าใจผิด พวกเขามองพระองค์ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ผู้สะสมบารมีเพื่อจะกลายเป็นพระพุทธเจ้าในชาติหน้า สำหรับประชาชนชาวไทยหลายคน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงสมบูรณ์พร้อมด้วยบารมี ตามที่ผมอธิบายในหนังสือเล่มนี้ว่าแนวคิดเรื่องอำนาจบารมีสามารถย้อนหลังไปได้อย่างน้อย 700 ปีของประเทศไทย แม้ว่าเวสสันดรชาดกอาจไม่ได้รับความนิยมในปัจจุบันเหมือนที่มันเคยเป็น แต่แนวคิดที่เรื่องนี้แพร่กระจายออกไปยังคงมีอิทธิพลอยู่ เมื่อเราคิดเกี่ยวกับมัน ช่วงเวลาที่อิทธิพลของตะวันตกมีต่อประวัติศาสตร์ไทยมีอยู่ค่อนข้างสั้น อาจพูดได้ว่า 120 ปี แต่การพูดถึง กษัตริย์โพธิสัตว์ในรัชกาลปัจจุบันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากขึ้น
สอง ในฐานะนักประวัติศาสตร์ผมเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นตัวขับทางประวัติศาสตร์ ตัวขับที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย เป็นสิ่งที่มาจากภายในสังคมไทยอยู่เสมอ ไม่ใช่มาจากตะวันตก ผมไม่คิดว่า ‘แนวคิดแบบตะวันตก’ มีอิทธิพลต่อคนไทย มันก็เหมือนกับเสื้อผ้า คนไทยใช้มันเพื่อประโยชน์ต่อตนเอง แต่ ‘ความเท่าเทียมกัน’ ‘ความยุติธรรม’ ไม่ใช่เป็นแนวคิดเฉพาะของชาวตะวันตก มันเป็นแนวคิดสากล มันมาจากภายในสังคมไทย มันอุบัติขึ้นมาจากประวัติศาสตร์ของไทย
Q9. อยากกล่าวอะไรกับผู้อ่านที่เป็นคนไทยบ้างครับ?
A9. ผมหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการถกเถียงเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม และอำนาจทางการเมืองในประเทศไทย
____________________________________________________
ทฤษฎีกษัตริย์โพธิสัตว์ : เวสสันดรชาดกในประวัติศาสตร์ไทย
แปลจาก ‘ Thailand's Theory of Monarchy : The Vessantara Jātaka and the Idea of the Perfect Man ’ by Patrick Jory
โดย แพทริค โจรี
แปลโดย ฑิตฐิตา ซิ้มเจริญ