โดย สิกขา สองคำชุม
บทนำ : อ่าน เชื้อโรค ร่างกาย และรัฐเวชกรรม ในฐานะ “ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์”
นับทศวรรษแล้วที่หนังสือเรือง เชื้อโรค ร่างกาย และรัฐเวชกรรม: ประวัติศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ในสังคมไทย ของ ทวีศักดิ์ เผือกสม ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2550 โดยสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เขียนเห็นว่าผู้สนใจประวัติศาสตร์การแพทย์คงมิอาจจะปฏิเสธถึงพลังในการอธิบายประวัติศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ของสังคมไทยของหนังสือเล่มนี้ และยังไม่มีงานวิชาการชิ้นไหนที่สามารถหักล้างข้อเสนอเกี่ยวกับวงศาวิทยาของแนวคิด “เชื้อโรค ร่างกาย และรัฐเวชกรรม” ของทวีศักดิ์ได้ แม้จะมีผู้วิจารณ์ไว้ว่าหนังสือเล่มนี้ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดและศัพท์แสงแบบฟูโกต์ เช่นเดียวกับ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ก็เคยอภิปรายใน “คำนำเสนอ” ของหนังสือเล่มเดียวกันไว้ว่า
“คนที่คุ้นเคยกับความคิดของสำนักคิด “หลังสมัยใหม่” โดยเฉพาะมิทแชล ฟูโกลต์คงไม่รู้สึกประหลาดใจกับงานชิ้นนี้นัก”
จริงอยู่ที่หนังสือเล่มนี้อาศัยวิธีวิทยาและกรอบแนวคิดรวบยอดเกี่ยวกับวงศาวิทยา (genealogy) วาทกรรม (discourse) และการปกครองชีวญาณ (governmentality) ของศาสตราจารย์สาขาประวัติศาสตร์ระบบความคิด (Histoire des systèmes de pensée) อย่าง มิเชล ฟูโกต์ แต่ผู้เขียนเห็นว่าการจำกัดกรอบการมองคุณูปการของหนังสือเล่มนี้ว่าเป็นงานเขียนจากสำนักคิด “หลังสมัยใหม่” นั้นไม่เพียงพอต่อการทำความเข้าใจหนังสือเล่มนี้อย่างรอบด้าน โดยผู้เขียนเสนอว่ายังมีแนวทางอีกแนวในการพิจารณาอีก นั่นก็คือ การอ่าน เชื้อโรค ร่างกาย และรัฐเวชกรรม ในฐานะการศึกษา “ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์”
การมองหนังสือในมุมมองของประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์นี้มิได้มองอย่างไร้เดียงสาว่า “วิทยาศาสตร์” กับ “การแพทย์” เป็นสิ่งเดียวกันอย่างแนบแน่นดังที่ผู้สมาทานต่อวาทกรรมวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์จะมองว่าความรู้ทางการแพทย์ก็เป็นเพียง “วิทยาศาสตร์ประยุกต์” ที่ต้องอาศัยรากฐานจากการวิจัยสำหรับการสร้างความรู้แบบ “วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์” แต่ทั้งนี้ผู้เขียนพิจารณาจากภูมิหลังและแรงบันดาลใจของทวีศักดิ์จากการได้เป็นผู้ช่วยวิจัยในโครงการสำรวจสถานภาพของความรู้ในการศึกษาประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ในสังคมไทยของ ฉลอง สุนทราวาณิชย์ และสุวิมล รุ่งเจริญ และการมอง “วิทยาศาสตร์” และ “การแพทย์” ในฐานะโครงข่ายความรู้และวาทกรรมที่ได้รับมาจากการเข้ามาของปัจจัยภายนอกหรือชาติตะวันตกในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ซึ่งได้ถูกแยกออกจากความรู้ในทางจิตวิญญาณทั้งยังได้รับการรับรอง ยอมรับ และอธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผลในฐานะความรู้ทางโลกย์โดยชนชั้นนำสมัยต้นรัตนโกสินทร์ หมายความว่าทั้ง “วิทยาศาสตร์” และ “การแพทย์” ล้วนเป็น “ความรู้ทางโลกย์” ที่มาจาก “ปัจจัยภายนอก” มิต่างกัน
ความพยายามของผู้เขียนในการเชื่อมโยง “การแพทย์” ให้เข้ากับ “วิทยาศาสตร์” นั้นที่จริงเป็นปัญหาในระดับญาณวิทยาที่ขอไม่ลงรายละเอียดในที่นี้ แต่จะชี้ชวนให้ผู้อ่านหันมามองประวัติศาสตร์นิพนธ์ของประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ไทย โดยผู้เขียนจะขอย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นจากงานสำรวจสถานภาพของความรู้ในการศึกษาประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ในสังคมไทย และแนะนำให้ผู้อ่านทำความเข้าใจกับสิ่งที่ผู้เขียนจะขอลองเรียกว่า “วิทยาศาสตร์นิพนธ์” จากนั้นจึงจะวิเคราะห์คุณูปการและข้อวิจารณ์ที่ผู้เขียนมีต่อ เชื้อโรค ร่างกาย และรัฐเวชกรรม และพยายามจะเสนอแนวทางการเขียนประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ที่ไม่ยึดโยงกับโครงเรื่องแบบ “วิทยาศาสตร์นิพนธ์” ตลอดจนตอกย้ำถึงการเมืองของความรู้ที่สัมพันธ์ควบคู่อย่างไม่อาจแยกขาดได้ การอภิปรายจากนี้ ผู้เขียนจะอาศัยแนวคิด “โครงเรื่อง” (plot) ที่มองว่าประวัติศาสตร์เป็นเพียงวรรณกรรมรูปแบบหนึ่งที่มีโครงเรื่องที่ถูกสร้างขึ้น และลดทอนอดีตให้เหลือแค่ลำดับของเหตุการณ์ชุดหนึ่ง เป็นสำคัญ
ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้น : จากงานสำรวจสถานภาพความรู้สู่โครงเรื่องแบบ “วิทยาศาสตร์นิพนธ์”
แม้วงวิชาการไทยจะมีการเขียนประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ไทยก่อนหน้าที่งานวิจัยเรื่อง “สถานภาพของความรู้ทางประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย” ของ ฉลอง สุนทราวาณิชย์ และ สุวิมล รุ่งเจริญ จะได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะ แต่งานวิจัยชิ้นนี้ก็อาจจะนับได้ว่าเป็นการสำรวจสถานภาพงานเขียนทางด้านประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทยเป็นครั้งแรก และเป็นไปได้ว่าการที่ทวีศักดิ์ได้เข้าไปเป็นผู้ช่วยวิจัยของโครงการนี้ คงสามารถนับได้ว่า ทวีศักดิ์ เผือกสม เองก็ถือเป็นหนึ่งในผู้ร่วมบุกเบิกการศึกษาประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยนักประวัติศาสตร์อาชีพเอง
ในโครงการวิจัยชิ้นนี้ ฉลอง และ สุวิมล ได้จำกัดนิยามของคำว่า “วิทยาศาสตร์” ในความหมายแคบและค่อนข้างเฉพาะไว้ว่าเป็น “ความรู้และ/หรือการศึกษาความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของสรรพสิ่งและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของโลกทางวัตถุอย่างเป็นระบบโดยอาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์จากการสังเกตหรือการทดลอง” ส่วน “เทคโนโลยี” ก็ให้ความหมายว่า “ความรู้หรือวิธีการอันเป็นการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์” น่าสนใจว่านอกจากการนิยาม “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ดังกล่าวแล้วข้างต้น คณะผู้วิจัยยังจำแนก “วิทยาศาสตร์” ออกเป็น “วิทยาศาสตร์พื้นฐาน” คือ “ความรู้และ/หรือการศึกษาความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของสรรพสิ่งและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของโลกทางวัตถุ โดยมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจหรือแสวงหาคำอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ เป็นสำคัญ” และ “วิทยาศาสตร์ประยุกต์” หรือ “ความรู้และหรือการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากความรู้เหล่านั้นในทางปฏิบัติเพื่อการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น เช่น แพทยศาสตร์” โดยผู้วิจัยยังตระหนักถึงความคลุมเครือของ “เทคโนโลยี” กับ “วิทยาศาสตร์ประยุกต์” โดยเห็นว่าคำทั้งสองคำนี้ “มีความหมายที่ใกล้เคียงกัน จนบางครั้งในบางบริบท สามารถทดแทนกันได้...อย่างไรก็ดี ในบริบทอื่นๆ “เทคโนโลยี” อาจจะมีความหมายแตกต่างแยกออกไป...โดยที่ “เทคโนโลยี” มุ่งเน้นสิ่งที่เป็นเครื่องมือ อุปกรณ์ และประดิษฐกรรมอื่นๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นจากพื้นฐานของความรู้ทางวิทยาศาสตร์” จากนิยามข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ฉลอง และ สุวิมล (อาจรวมถึงทวีศักดิ์ด้วย) ได้จัดวางตำแหน่งแห่งที่ของความรู้ทางด้าน “แพทยศาสตร์” ให้อยู่ในกลุ่มของ “วิทยาศาสตร์ประยุกต์”
นอกจากนี้ในโครงการวิจัยยังได้นิยาม “ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ไว้ว่าเป็น “การศึกษาพัฒนาการทางสังคมของมนุษย์ในมิติของเวลา ในส่วนที่เป็นความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับธรรมชาติของโลกทางวัตถุ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และการประยุกต์ความรู้เหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต โดยครอบคลุมเนื้อหาตั้งแต่บริบททางประวัติศาสตร์ของกำเนิดที่มาของความรู้ ปัจจัยที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงของความรู้ในแต่ละช่วงเวลา ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้และการประยุกต์ใช้ความรู้กับบริบททางกายภาพและวัฒนธรรม ผลกระทบของความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีต่อพัฒนาการทางสังคมของมนุษย์” โดยให้คำจำกัดความของ “มิติของเวลา” ว่า “แนวคิดพื้นฐานที่ว่าพัฒนาการของสังคมมนุษย์มีพลวัต อันเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับบริบทของมนุษย์ ทั้งในแนวดิ่ง คือ บริบทของเวลา หรือบริบทของวัฒนธรรม และในแนวราบ คือ บริบททางพื้นที่”
อย่างไรก็ดี ผลการสำรวจสถานภาพความรู้กลับได้ผลสรุปออกมาว่า ผลงานการศึกษาประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทยจริงๆ สามารถจัดเข้าประเภท (ตามการนิยามข้างต้น) ได้เพียง 4 ประเภท คือ (1) การศึกษาที่เน้นด้านใดด้านหนึ่ง หรือหลายด้าน ของวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี ในช่วงสมัยใดสมัยหนึ่งเป็นการเฉพาะ (2) การศึกษาที่เน้นพัฒนาการเชิงเทคนิควิทยาการในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานอย่างต่อเนื่องของวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยีด้านใดด้านหนึ่ง (3) การศึกษาที่เน้นการปรับเปลี่ยนทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดจากการรับ แลกเปลี่ยน หรือถ่ายทอดวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยีจากวัฒนธรรมหนึ่งสู่อีกวัฒนธรรมหนึ่ง และ (4) การศึกษาที่เน้นผลกระทบ/ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งเกิดจากการรรับ แลกเปลี่ยน หรือถ่ายทอดวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยีจากวัฒนธรรมหนึ่งสู่อีกวัฒนธรรมหนึ่ง และจำแนกสถานภาพการศึกษาตามหลักเกณฑ์ศาสตร์แขนงต่างๆ อีก 5 สาขา คือ (1) การแพทย์และสาธารณสุข (2) การเกษตร และ (3) โลหะวิทยา (4) ลูกปัดและเครื่องปั้นดินเผา และ (5) การสื่อสารคมนาคมและการขนส่ง
คณะผู้วิจัยได้ให้ข้อสังเกตต่อปัญหาของสถานภาพความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไว้อย่างน่าสนใจว่า “ในขณะที่รอบ 30-40 ปีที่ผ่านมา [ราว พ.ศ. 2500-2540 – ผู้เขียน] การศึกษาประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย ยังมีจำนวนจำกัดและมีเฉพาะในบางแขนงเท่านั้น” โดยผลงานที่ศึกษานั้น “มีเนื้อหาและจุดเน้นของการวิเคราะห์อยู่ที่พัฒนาการหรือการเติบโตขององค์กรหรือสถาบันที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหลักเพียงอย่างเดียว หรือเป็นการศึกษาพัฒนาการของนโยบายที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในเชิงการบริหารและการปกครอง หรือเป็นการศึกษาผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการศึกษาพัฒนาการของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง หรือ...เป็นการพรรณนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านใดด้านหนึ่งในลักษณะของงานเขียนเชิงชาติพันธุ์วรรณนา โดยปราศจากมิติของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพรรณนาที่อยู่ใน “หนังสือที่ระลึก” ของหน่วยงานและสถาบันที่ “ไม่ได้ช่วยเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทยในแขนงที่เกี่ยวข้องมากขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น” และยิ่งไปกว่านั้นคณะผู้วิจัยยังมีความเห็นอีกว่าแขนงของความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทยที่ขาดหายไป นั่นก็คือ “ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์หรือวิทยาศาสตร์พื้นฐาน อันได้แก่ เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา ตลอดรวมถึงโลกภูมิสัณฐานและจักรวาลวิทยา”
ผู้เขียนได้สรุปผลการศึกษาการสำรวจสถานภาพความรู้ข้างต้น เพื่อชี้ให้เห็นว่าคณะผู้วิจัยได้กำหนดนิยามของ “ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” และพยายามจะควานหางานเขียนที่มี “ทฤษฎี กรอบวิธีคิด ประเด็นปัญหาที่ศึกษา และประเด็นข้อถกเถียง ที่มีร่วมกันระหว่างแขนงต่างๆ อย่างแท้จริง” รวมไปถึง “ข้อถกเถียงทางทฤษฎี วิธีการ หลักฐานที่ใช้ศึกษาและข้อสรุป” ซึ่งผลการศึกษาก็สามารถบ่งชี้ได้ว่าความปรารถนาของคณะผู้วิจัยก็มิแตกต่างไปกับการ “งมเข็มในมหาสมุทร” เพราะผู้เขียนเห็นว่าการสรุปผลการสำรวจสถานภาพของการศึกษาประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ว่า “ยังไม่ได้มีฐานะเป็นแขนงหนึ่งของการศึกษาประวัติศาสตร์ในประเทศไทย” นั่นเป็นมากกว่าข้อสรุปงานวิจัย แต่เป็นข้อเสนอแนะในระดับญาณวิทยาให้ควบรวมศาสตร์สาขาทั้ง 2 สาขา คือ “ประวัติศาสตร์” และ “วิทยาศาสตร์” เข้าด้วยกัน ซึ่งแนวทางหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์สามารถกระทำได้ทันทีคือการศึกษาวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ จากสายตาของนักประวัติศาสตร์
ยิ่งไปกว่านั้น ฉลอง และ สุวิมล ยังวิพากษ์แนวทางการเขียนประวัติศาสตร์ของสถาบันหรือหน่วยงานภาครัฐทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการเขียนประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าแต่พัฒนาการในเชิงเทคนิคไม่เพียงพอ การที่เนื้อหาตาม “หนังสือที่ระลึก” หรืองานเขียนจำพวก “พรรณนาความรู้เชิงเทคนิค” มีความคับแคบและไม่สามารถเปิดรับข้อเสนอหรือมุมมองทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมได้มากเพียงพอ ผู้เขียนเห็นว่าช่องโหว่ที่สำคัญของการสำรวจสถานภาพความรู้ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังขาดการวิเคราะห์ในระดับของ “โครงเรื่อง” ซึ่งผู้เขียนจะขอทดลองเสนอโดยเรียกโครงเรื่องที่มีอิทธิพลครอบงำต่อแนวทางการเขียนประวัติศาสตร์ลักษณะนี้ว่า “วิทยาศาสตร์นิพนธ์”
หากพิจารณางานเขียนที่คณะผู้วิจัยเห็นว่า “ขาดมิติทางประวัติศาสตร์” ทั้งในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2542 เช่น วิวัฒนาการการถ่ายทอดความรู้วิทยาศาสตร์ในประเทศไทย หรือหลังปี พ.ศ. 2542 เช่น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย: จากอดีตสู่อนาคต จะเห็นได้ว่านอกจากจะขาดในสิ่งที่คณะผู้วิจัยเรียกว่า “ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” แล้ว ตัวโครงเรื่อง “วิทยาศาสตร์นิพนธ์” ยังกำหนดให้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและ หน่วยงานภาครัฐ หรือ นักวิทยาศาสตร์ เป็นองค์ประธานในงานเขียนประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ จากการพรรณนาเรื่องราวของตัวแสดงเหล่านี้ในบางมิติเท่านั้น กล่าวคือ องค์ประธานของ “วิทยาศาสตร์นิพนธ์” ทั้งหลายต่างมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติให้นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางเศรษฐกิจ) เช่น ข้อเขียนของ ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ที่กล่าวว่า
“[เรา]ต้องเร่งขวนขวายมากขึ้น เพื่อให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเราสามารถนำไปสู่นวัตกรรมในการผลิตและบริการ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ดียิ่งขึ้น จะได้ไม่ต้อง ประสบกับสภาวะวิกฤตที่มีต้นตอมาจากการไร้ความสามารถนี้อีกต่อไป [หมายถึงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 – ผู้เขียน]”
และตัวอย่างจากหลักฐานอีกชิ้น คือ
“มีความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าสังคมใดประกอบด้วยคนที่มีความรู้วิทยาศาสตร์อย่างกว้างขวาง และรู้เท่าทันและมีมากพอที่จะควบคุมผลผลิตทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เข้ามาได้โดยเสรี ให้อยู่ในลักษณะที่สมดุล สังคมนั้นก็จะไม่ตกเป็นทาสของผลผลิตของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตรงกันข้าม กลับจะสามารถใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์สูงสุด และสร้างความสุขสงบแก่สังคมตามครรลองที่ควรเป็น”
เพราะฉะนั้น ข้อเสนอประการหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์สามารถกระทำได้ในการศึกษาวิทยาศาสตร์โดยอาศัยแนวพินิจทางประวัติศาสตร์ (historical approach) ที่ผสมผสานกรอบแนวคิดและทฤษฎีทางสังคมศาสตร์-มนุษยศาสตร์ เพื่อปรับเปลี่ยนมุมมองของโครงเรื่องหรือการให้ความหมายของข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขแวดล้อมต่างๆ อย่างสลับซับซ้อน และนำผลกระทบหรือปัญหาของความรู้เชิงเทคนิคหรือปฏิบัติการทางอำนาจของรัฐที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโครงเรื่องประวัติศาสตร์ด้วย ดังที่ผู้ช่วยวิจัยคนหนึ่งในโครงการวิจัยสำรวจสถานภาพประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ – ทวีศักดิ์ เผือกสม – ได้ริเริ่มวางแนวทางการเขียนประวัติศาสตร์ “วิทยาศาสตร์ประยุกต์” รูปแบบอื่น ที่ไม่ตกอยู่ภายใต้เรื่องเล่า (narrative) แบบ “วิทยาศาสตร์นิพนธ์” ผ่านหนังสือที่รู้จักกันดีในนาม เชื้อโรค ร่างกาย และรัฐเวชกรรม
คุณูปการและข้อวิจารณ์ของ เชื้อโรค ร่างกาย และรัฐเวชกรรม ในประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ไทย
นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยสรุปใจความสำคัญของข้อเสนอในหนังสือเรื่อง เชื้อโรค ร่างกาย และรัฐเวชกรรม ไว้ว่า “อันที่จริงหนังสือเล่มนี้คือ “ประวัติศาสตร์การเถลิงอำนาจเหนือเรือนร่างของรัฐไทย”...[โดย]อำนาจรัฐที่จะเข้าไปแทรกแซงเรือนร่างได้แทบทุกขุมขน เกิดขึ้นจาก...ความรู้ทางการแพทย์ที่เปลี่ยนมาสู่ทฤษฎี “เชื้อโรค”...[หรือ]พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือการแพทย์สมัยใหม่นั่นแหละ ที่ยิ่งเปิดโอกาสให้รัฐขยายอำนาจเหนือเรือนร่างของประชาชนได้มากขึ้นอย่างล้นเหลือ” จะเห็นได้ว่าคำสรุปสั้นๆ ไม่กี่ประโยคของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ช่วยทำให้เห็นถึงคุณูปการของหนังสือเล่มนี้ต่อการเขียนประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ไทยได้เป็นอย่างดี และเมื่อพิจารณาลำดับการเล่าเรื่องของทวีศักดิ์ในการเนื้อหาฉบับพิมพ์ครั้งที่สอง ดังนี้
1. กำเนิด “เชื้อโรค”: ความรู้ทางการแพทย์ “ก่อนสมัยใหม่” ของตะวันตกในสังคมไทย
2. สรรพเยิมไมโคร๊ป: เชื้อโรค หนู และยุงในประวัติศาสตร์สังคมไทย
3. เรือนร่างที่ถูกทำให้เชื่องแล้ว: พลเมือง สถาบันความรู้ รัฐเวชกรรม และโครงการร่างกาย
4. รัฐเวชกรรม: จากโรงพยาบาลสู่โครงการสาธารณสุขมูลฐาน
5. (ภาคผนวก) คำสัญญาของกิเลส: การเมืองเรื่องสุขภาพกับวาทกรรมของศีลธรรมในช่วงทศวรรษ 2490-2550
จากรายชื่อที่แสดงมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าทวีศักดิ์ได้กำหนดตัวแสดงของหนังสือทั้งที่เป็นความรู้ทางการแพทย์ เช่น “ทฤษฎีเชื้อโรค” “การแพทย์หลังปาสเตอร์” สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ (non-human) เช่น เชื้อโรค หนู ยุง สิ่งที่เป็นผลลัพธ์ของการประกอบสร้างจากมนุษย์ เช่น แนวคิด “รัฐเวชกรรม” สถาบันความรู้ทางการแพทย์ นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ฯลฯ และนำมาเรียงลำดับเรื่องราวจาก “เริ่ม-กลาง-จบ” ถึงการเปลี่ยนแปลงความรู้ทางการแพทย์จากทฤษฎีอายพิศม์ (แนวคิดที่เสนอว่าสาเหตุของอาการเจ็บป่วยเกิดจากสภาพอากาศที่เป็นพิษ) มาเป็นทฤษฎีเชื้อโรค (แนวคิดที่เสนอว่าเชื้อโรคเป็นสาเหตุของอาการเจ็บป่วย) ที่ทับซ้อนกับรอยต่อของการเข้ามาของ “อิทธิพลตะวันตก” ในสมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงการสถาปนารัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มีการบริหารราชการแบบเจ้าอาณานิคมตะวันตกของรัชกาลที่ 5 ที่รับทฤษฎีเชื้อโรคเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการขยายตัวของอำนาจรัฐไปสู่พลเมืองของรัฐในนามของความรู้ เช่น การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ทั้งยังเกิดจินตนากรรม “รัฐเวชกรรม” ที่เพ้อฝันว่าอำนาจของความรู้ทางการแพทย์จะได้รับการสถาปนาอย่างมั่นคงทุกซอกทุกมุมจากโรงพยาบาลไปจนถึงแอ่งน้ำขังที่มีลูกน้ำยุงลายหน้าบ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่ชนบทที่อาสาสมัครจากโครงการสาธารณสุขมูลฐานจะต้องคอยพยายามกำจัด ผู้อ่านหนังสือเล่มนี้จะมองเห็นถึงความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นของความรู้ทางการแพทย์กับปฏิบัติการทางการเมืองของผู้เชี่ยวชาญที่ไม่อาจจะแยกขาดจากกันได้ เพราะต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับผลประโยชน์ตามที่ต้องการ
การจัดลำดับการเล่าเรื่องของที่มาที่ไปของทฤษฎีเชื้อโรคที่สัมพันธ์กับการวิพากษ์ปรากฏการณ์การขยายตัวของอำนาจของรัฐไทยนั้นถือได้ว่าเป็นคุณูปการของทวีศักดิ์ที่แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า “ประวัติศาสตร์” กับ “วิทยาศาสตร์(การแพทย์)” ก็สามารถถูกจัดให้อยู่ในโครงเรื่องแบบเดียวกันได้ แม้ผู้เขียนจะมีข้อวิจารณ์ว่าทวีศักดิ์ยังไม่ได้อภิปรายการเกิดขึ้นของทฤษฎีเชื้อโรคมากเพียงพอ เพราะทวีศักดิ์กล่าวถึงพัฒนาการของการพิสูจน์สมมติฐานของทฤษฎีเชื้อโรคถึงแค่การตรวจสอบข้อเสนอจากการทดลองของ โรเบิร์ต ค็อค ที่มีคณะแพทย์จากอังกฤษไปตรวจสอบสาเหตุของการระบาดโรคอหิวาต์ที่อินเดียในปี ค.ศ. 1884 และจัด ทำรายงานเพื่อปฏิเสธทฤษฎีเชื้อโรค และกระโดดไปถึงการที่แพทย์ชาวตะวันได้ยอมรับทฤษฎีของค็อคไปเสียดื้อๆ โดยที่ผู้อ่านยังไม่ทันมองเห็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (paradigm shift) ถึงการยอมรับว่าเชื้อโรคเป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อย่างชัดเจนพอ
ข้อวิจารณ์ของผู้เขียนแม้จะดูเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยละเอียดยิบย่อย แต่ก็มีความสำคัญในการเขียนประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์เช่นเดียวกัน กล่าวคือการให้ความสำคัญกับความถูกต้องของความรู้เชิงเทคนิคในแต่ละช่วงเวลาถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งสำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ ผู้เขียนเห็นว่าการให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ผิดพลาดกลับจะทำให้ผู้อ่านที่อยู่นอกวงการประวัติศาสตร์ไม่ยอมรับหรือมีอคติต่องานเขียนประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์จากมุมมองของนักประวัติศาสตร์ การเชื่อมโยง “วิทยาศาสตร์” กับ “ประวัติศาสตร์” เข้าด้วยกันก็จะมีอุปสรรคมากขึ้นอีกประการหนึ่ง
บทส่งท้าย : โพ้นขอบฟ้าวิทยาศาสตร์นิพนธ์
การที่ผู้เขียนได้วิจารณ์แนวทางการเขียนประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ในโครงเรื่องแบบ “วิทยาศาสตร์นิพนธ์” ก็มิได้หมายความว่าผู้เขียนจะปฏิเสธความสำคัญของความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีต่อสังคม ในทางกลับกัน ผู้เขียนยังคงเชื่อมั่นในความสำคัญของวิทยาศาสตร์และการใช้ความรู้ไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมไม่แพ้คนอื่นในวงการวิทยาศาสตร์เลย
แต่ผู้เขียนเห็นว่าการพิจารณาสรรพสิ่งและปรากฏการณ์รอบตัวด้วย “แว่น” ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว โดยปราศจากการเชื่อมโยงกับเงื่อนไขแวดล้อมทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น (หรือมองไม่เห็น) “อคติ” และ “ความเป็นการเมือง” ที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ของสังคมไทย ตลอดจนให้ความสำคัญกับ “วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม” เกือบทุกอย่างยกเว้นการสร้างความรู้ในสาขา Science and Technology Studies หรือ STS (ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็เป็นหนึ่งใน STS เช่นเดียวกัน) ที่มีการตั้งภาควิชาในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหลายแห่งทั่วโลกแล้ว – ยกเว้นประเทศไทย ที่การกำหนดนโยบายทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ได้ถูกผูกขาดอยู่กับสถาบันหรือหน่วยงานของภาครัฐเท่านั้น
ความพยายาม “ทะลวงกรอบ/ทะลายกรง” ขอบฟ้าการเล่าเรื่องแบบ “วิทยาศาสตร์นิพนธ์” น่าจะทำให้สังคมไทยได้คำตอบว่าเหตุใดวิทยาศาสตร์ถึงยังไม่สามารถทำให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาได้เสียที
________________________________________________________________________________________________________