บทรีวิวหนังสือ ไทยปิฎก ประวัติศาสตร์การเมืองสังคมร่วมสมัยของพุทธศาสนาไทย
โดย ภัทรัตน์ พันธุ์ประสิทธิ์
จากชื่อ "ไทยปิฎก" ก็จะเห็นได้ชัดว่าเป็นการยั่วล้อไปกับคำว่า "ไตรปิฎก" ซึ่งตลอดทั้งเล่มงานชิ้นนี้ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไทยที่สอดแทรกอยู่ในความเป็นพุทธ ขณะเดียวกันความเป็นพุทธก็ฝังตัวอยู่ในความเป็นไทยเช่นกัน อาจกล่าวได้ว่างานเล่มนี้อธิบายความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกและอาจจะไม่มีทางแยกออกระหว่างรัฐไทย พุทธศาสนา การเมือง วัฒนธรรมและสังคม โดยมีช่วงเวลาของการอธิบายลากยาวตั้งแต่การปฏิวัติในปี 2475 จนมาถึงสังคมไทยปัจจุบัน
ภายในเล่มประกอบไปด้วย 3 บทหลัก ได้แก่ ความเยาว์วัย ความกลัว-ความหลงใหล และความเหนือกว่า-ความแปลกแยก ซึ่ง บทแรกภายใต้ชื่อ "ความเยาว์วัย" เป็นการปูพื้นฐานให้กับคนอ่านเห็นภาพรวมเกี่ยวกับพัฒนาการของพุทธศาสนาในฐานะสถาบันหลักสถาบันหนึ่งของไทย โดยเน้นไปที่บริบทหลังการปฏิวัติ 2475 ตั้งแต่การเกิดขึ้นของคณะปฏิสังขรณ์การพระศาสนา อันเป็นการเคลื่อนไหวของสงฆ์ที่ต้องการให้ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นในการปกครองของสงฆ์เอง นำไปสู่การออกพระราชบัญญัติการปกครองสงฆ์ ปี 2484 ที่เป็นเสมือนประชาธิปไตยในโลกของสงฆ์ก็ว่าได้ ตลอดจนการเมืองภายในระหว่างพระสงฆ์มหานิกายและธรรมยุติ การล่มสลายของความเป็นประชาธิปไตยในหมู่สงฆ์ การเกิดขึ้นของสันติอโศก ธรรมกาย และสวนโมกข์ของพุทธทาสภิกขุที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในช่วงที่ทุนนิยมและโลกโลกาภิวัตน์มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อสังคมไทย
บทที่สอง "ความกลัวและความหลงใหล" บทนี้เป็นการลงลึกเข้าไปในการสร้างและเผยแพร่อุดมการณ์พุทธศาสนาที่สัมพันธ์อยู่กับการเมืองและอุดมการณ์ของรัฐในช่วงทศวรรษ 2500 จนถึงปัจจุบัน ในด้านของบริบททางสังคม สภาวะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้คนรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต การคุกคามของภัยคอมมิวนิสต์ การฟื้นฟูบทบาทและความสำคัญของพระมหากษัตริย์และความเป็นไทย เรื่อยมาจนถึงเศรษฐกิจตกต่ำในปี 2540 ทั้งหมดมีส่วนให้สังคมไทยใช้ศาสนาเป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความสำคัญของพุทธศาสนาได้รับการขับเน้นจากรัฐอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเฉลิมฉลองงานกึ่งพุทธกาล การเชิดชูสถาบันทั้งสาม ได้แก่ ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ในฐานะสิ่งที่แสดงถึงความเป็นไทยเพื่อต้านภัยคอมมิวนิสต์ อาจกล่าวได้ว่าทั้งรัฐและศาสนาพุทธจับมือกันอย่างเข้มแข็งในการผลิตอุดมการณ์ความเป็นไทยออกสู่สังคม
สมณะโพธิรักษ์ (รัก รักพงษ์) (2477-ปัจจุบัน)] เดิมเคยบวชในพุทธศาสนาที่ขึ้นตรงต่อรัฐไทย
เริ่มต้นบวชกับธรรมยุติกนิกาย ก่อนจะเปลี่ยนมาอยู่กับมหานิกาย ในตอนหลังประกาศแยกตัวจากคณะสงฆ์ไทยในปี 2518 สมณะโพธิรักษ์เป็นผู้ก่อตั้งสันติอโศกที่มีเครือข่ายกว้างขวางมาก โดยชูแนวคิดเรื่อง "ระบบบุญนิยม" เพื่อสู้กับระบบทุนนิยม
การกล่าวอย่างรวมๆ อาจทำให้มองไม่เห็นกระบวนการนี้อย่างชัดเจน แต่หากเอ่ยชื่อพระสงฆ์ที่สำคัญและคุ้นหูคุ้นตาของพุทธศาสนิกชนไทย ไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อฤาษีลิงดำกับการปลุกเสกเครื่องรางของขลังให้กับทหารและตำรวจเพื่อต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ สำนักปู่สวรรค์ พระกิตติวุฑฺโฑ และพุทธทาสภิกขุ ที่เคลื่อนไหวอย่างแข็งขันในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ผ่านทางการเทศน์และบทความหนังสือต่างๆ หรือการเกิดขึ้นของเรื่องเล่าทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎแห่งกรรม การกลับชาติมาเกิดของ ท.เลียงพิบูลย์ การเขียนชีวประวัติและการธุดงค์ของพระวัดป่าชื่อดังอย่างหลวงปู่มั่นและหลวงตามหาบัว ฯลฯ ทั้งหมดนี้เปรียบประหนึ่งสายธารของเรื่องเล่าที่เน้นย้ำประเด็นเดียวกัน นั่นคือความสำคัญของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
บทที่สาม "ความเหนือกว่า-ความแปลกแยก" ในส่วนของบทสุดท้าย อาจกล่าวโดยรวมได้ว่าเป็นเสมือนการเปรียบเทียบจัดวางให้เห็นขั้วตรงข้ามของความเป็นพุทธ ระหว่างกรณีของพุทธทาสภิกขุและกรณีของธรรมกาย ในส่วนแรกจะพบว่าพุทธทาสภิกขุประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการผลิตอุดมการณ์ที่ว่า "ธรรมะอยู่เหนือการเมือง" การเป็นคนดีนั้นคือที่สุดที่พึงปรารถนา และนั่นเป็นเสมือนคำอธิบายให้กับการเมืองและสังคมไทยเช่นกัน ในแง่ที่ว่าขอเพียงเป็นคนดี สังคมก็จะดำเนินไปได้อย่างผาสุก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความคิดลักษณะนี้ไหลเวียนอยู่ในสังคมไทยอย่างไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด
ขณะเดียวกัน ภาพของธรรมกายกลับถูกมองเป็นความแปลกแยก ดูเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ "พุทธ" ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมอย่างโปรยดอกไม้ให้พระสงฆ์เดินเหยียบ สถาปัตยกรรมของวัดที่มีลักษณะเหมือนกับจานบิน การทำบุญที่หวังแต่ความร่ำรวย ฯลฯ ทั้งหมดดูจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในเชิงติดตลกไปจนถึงการเหน็บแนมว่าเป็น "ลัทธินอกรีต"
ท้ายที่สุดแล้วผู้เขียนชวนให้เราคิดต่อไปถึงอำนาจของสถาบันพุทธศาสนาที่ทวีขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะปัจจุบันที่เราต่างหวนกลับไปหาคำอธิบายทางศาสนาผ่านความไม่มั่นคงของปัจเจกชนและในระดับของสังคมโดยรวม ที่ผ่านมาเรามักจะมองพระสงฆ์และศาสนาเป็นเรื่องของความบริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากการเมืองและอำนาจ อย่างไรก็ตามตลอดทั้งเล่ม งานชิ้นนี้ได้เผยให้เห็นว่าความเป็นจริงนั้นตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราเคยเชื่อ การแย่งชิงทางอำนาจและความวุ่นวายของสงฆ์มีไม่น้อยกว่าหรืออาจจะเท่ากับสังคมฆราวาสด้วยซ้ำ หากแต่ปัญหาคือ เราเชื่อว่าศาสนาเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะถูกตั้งคำถาม ยิ่งไปกว่านั้นไม่ควรจะถูกวิพากษ์วิจารณ์
ดังนั้น หากเราจะวิจารณ์ความประหลาดของธรรมกายได้อย่างสนุกปาก เราจะสามารถตั้งคำถามอย่างเดียวกันกับองค์กรสงฆ์อื่นๆได้หรือไม่ นี่จึงเป็นสิ่งที่เราต้องครุ่นคิดให้มากขึ้น
มีสองสามประเด็นจากงานเขียนชิ้นนี้ที่เรารู้สึกว่าน่าสนใจ ประเด็นแรกคือ "เรื่องเล่า" ทางศาสนาที่เกี่ยวข้องกับกฎแห่งกรรมและโลกเร้นลับ หรือแม้แต่เรื่องจำพวก "พงศาวดารกระซิบ" อย่างเรื่องของพระเจ้าตากสินและราชวงศ์จักรีที่ เรื่องเล่าเหล่านี้ส่งผลให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมแห่งความเชื่ออย่างที่ปฏิเสธไม่ได้
แม้นักมนุษยศาสตร์ประวัติศาสตร์ต่างรับรู้ถึงพลังแห่งเรื่องเล่าไม่มากก็น้อย แต่โดยมากมักจำกัดความสนใจอยู่ที่การรับรู้เรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์กระแสหลักหรือประวัติศาสตร์ชาติจากมุมมองของอนุรักษ์นิยมเท่านั้น แต่เรื่องเล่าเชิงศาสนาที่เต็มไปด้วยเรื่องลี้ลับ กรรม ผีสางเทวดา การเวียนว่ายตายเกิดก็มีส่วนอย่างสำคัญหรืออาจจะส่งผลไม่แพ้งานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานอ้างอิงก็ว่าได้ เพราะเรื่องเล่าเหล่านี้สะท้อนให้เห็นความกลัวของคนไทยต่ออนาคตที่มองไม่เห็นและความกลัวต่ออดีตที่ผ่านมา ทั้งยังเป็นการปลอบประโลมหรืออธิบายว่าทำไมชีวิตของแต่ละคนจึงประสบกับเรื่องร้าย-ดี ในทางหนึ่งการอธิบายในลักษณะนี้จึงทำให้คนยอมรับกับชะตากรรมหรือชีวิตแบบที่เป็นอยู่ได้ง่ายดายยิ่งขึ้นโดยไม่มีการตั้งคำถามต่อสังคมหรือรัฐ
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าศาสนาอื่นจะไม่มีการสร้างเรื่องเล่าประเภทนี้ แต่อาจกล่าวได้ว่าสังคมไทย "ผลิตซ้ำ" เรื่องเล่าเชิงศาสนาให้มีปริมาณมหาศาลและทรงอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการอธิบายความเป็นไปในชีวิตของคนไทย ทำให้ท้ายที่สุดเราจึงกลายเป็นสังคม "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" ไปโดยปริยาย ไม่ใช่สังคมที่ต้องการการพิสูจน์ด้วยตรรกะเหตุผลและข้อเท็จจริง
ประเด็นที่สอง คือ จากงานเขียนชิ้นนี้ แน่นอนว่าเราได้เห็นว่าความเป็นพุทธและความเป็นไทยมีส่วนส่งเสริมค้ำจุนกันอย่างไร หรืออีกนัยหนึ่งคือศาสนาพุทธของชาติไทยเป็นอย่างไร แต่หากจะขยับพรมแดนออกไปอีกสักนิดกับสถานะหรือความเป็น "พระ" ยังเป็นสิ่งที่สมควรหาคำตอบต่อไป ตลอดทั้งเล่มของการอ่านเราจะเกิดคำถามว่าอะไรคือนิยามของพระที่ดีในสายตาของรัฐไทย หลายคนอาจตอบว่า พระดีคือพระที่เคร่งวินัยและบวชเรียนเพื่อเผยแพร่ศาสนาพุทธ ก็อาจจะถูกส่วนหนึ่ง แต่เรากลับมองว่าแม้แต่มาตรฐานของพระที่ดีก็เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา

พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินฺทปญฺโญ) พุทธทาสภิกขุ มีชีวิตอยู่ช่วงปี 2449-2536
เป็นพระที่มีชื่อเสียงมาจากการเทศน์และเขียนหนังสือที่กระตุกให้ชนชั้นกลางจำนวนมากสนใจในธรรมะด้วยศัพท์ที่แปลกใหม่
หรือศัพท์ที่หยิบยืมจากศัพท์ทางสังคมศาสตร์และแวดวงการเมือง หนังสือที่มีชื่อเสียงของพระรูปนี้คือ ตัวกู-ของกู, ภาษาคน-ภาษาธรรม, คู่มือมนุษย์, พุทธประวัติจากพระโอษฐ์, อิทัปปัจจยตา ฯลฯ ความน่าสนใจก็คือ หนังสือไม่น้อยมาจากการเทศน์ โดยเนื้อหาก็มาจากการถอดเทปคาสเส็ตที่ได้รับการอัดเสียงไว้นั่นเอง
ทำไมคำถามถึงบรรทัดฐานหรือนิยามของพระที่ดีในสายตาของรัฐจึงสำคัญ เนื่องจากการเป็นพระไม่ได้หมายความถึงการบวชเรียนเพื่อศึกษาธรรมะและรักษาธรรมวินัยเท่านั้น แต่พระยังต้องสัมพันธ์กับคนอื่นๆในสังคมนอกปริมณฑลของสงฆ์ คำอธิบายเรื่องการเมืองของคณะสงฆ์ของ "ไทยปิฎก" ยิ่งตอกย้ำความจริงนี้ นั่นคือการที่พระต้องพึ่งพิงและสนับสนุนรัฐ/สังคม เพื่อได้มาซึ่งที่ทางของตนในสถานภาพของพระเช่นกัน สมณศักดิ์ของสงฆ์นับเป็นเครื่องยืนยันได้ดีถึงสภาวะดังกล่าว ดังนั้นในทางหนึ่งพระจึงต้องเป็นผู้ที่ผลิตงานทางศาสนาเพื่อสนองตอบ/สนับสนุนนโยบายของรัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หากต้องการจะอยู่ในมาตรฐานของการเป็นพระที่พึงปรารถนาของสังคม
จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าสำหรับพระที่ไม่ได้อยู่ในกรอบที่รัฐกำหนด จะยังนับว่าเป็นพระที่น่าเคารพนับถือได้หรือไม่และเราจะอธิบายความหลากหลายของพระไม่ว่าจะเป็นพระป่า พระบ้าน พระในกรุงเทพและพระต่างจังหวัด พระเคร่งวินัย พระที่เคลื่อนไหวเพื่อสังคม พระนักพัฒนา พระที่เคลื่อนไหวทางการเมือง พระที่ให้หวย พระที่ปลุกเสกของขลัง พระเซเลป ฯลฯ ได้อย่างไร

พระไชยบูลย์ ธมฺมชโย (2487-ปัจจุบัน)] หนึ่งในพระภิกษุรูปสำคัญที่มีบทบาทอย่างสูงในแวดวงพุทธศาสนาไทย
เป็นผู้ก่อตั้งวัดพระธรรมกายที่มีสายสัมพันธ์กับแม่ชีจันทร์ ขนนกยูงผู้ที่ได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย จากพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
ในท้ายที่สุดแล้ว นอกเหนือไปจากความเป็น “พุทธ” ที่ทั้งรัฐและองค์กรศาสนาร่วมกันสร้างเป็นแบบแผนอุดมการณ์ขึ้นในสังคมไทย ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ารัฐก็มีส่วนในการสร้างความเป็น “พระ” ให้กับพระสงฆ์อีกด้วย ในส่วนท้ายเล่มที่ภิญญพันธ์ชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของพุทธเถรวาทต่อปริมณฑลของรัฐ ในทางกลับกันเราก็ควรที่จะตระหนักถึงอำนาจของรัฐในปริมณฑลของสงฆ์เช่นเดียวกัน
ต่อคำถามที่ว่าพระควรเข้ามายุ่งกับการเมืองหรือแสดงความคิดเห็นหรือไม่ พระควรรับเงินหรือปัจจัยจากญาติโยมมากเพียงใด พระควรจะทำตัวเป็นคนดังหรือ "เซเลป" หรือไม่ เราจะทำอย่างไรกับ "พระตุ๊ด" ฯลฯ คำถามทั้งหมดทั้งมวลที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมจึงไม่ควรถูกมองข้าม เพราะการที่ศาสนาถือเป็นปริมณฑลศักดิ์สิทธิ์สำหรับสังคมไทยทำให้การวิจารณ์พระและศาสนาดูจะไม่ใช่เรื่องเหมาะสมหรือเป็นเรื่องที่ฆราวาสไม่มีศีลธรรมจะเข้าไปตัดสินจะยิ่งทำให้ปัญหาของความเป็นพระและปัญหาของความเป็นพุทธยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากขึ้น
สำหรับคนที่สนใจเรื่องพุทธศาสนาในสังคมไทย แต่ไม่ชอบอ่านหนังสือวิชาการที่เต็มไปด้วยศัพท์แสงศาสนาชวนง่วง เราขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของคนเขียนหรือไม่ ที่มีการแบ่งซอยหัวข้อออกถี่ยิบแทบจะเป็นหัวข้อละหน้าครึ่งถึงหนึ่งหน้า ทำให้จังหวะการอ่านเลื่อนไหลไปอย่างรวดเร็ว
____________________________________________________

ไทยปิฎก ประวัติศาสตร์การเมืองสังคมร่วมสมัยของพุทธศาสนาไทย