โดย เสรี พงศ์พันธุ์ภาณี อาจารย์ประจำภาควิชาวัสดุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการยกย่องและเทิดพระเกียรติให้เป็นพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทยจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อปี พ.ศ. 2525 ด้วยพระราชกรณียกิจที่สำคัญที่สุดของพระองค์คือ การคำนวณและทำนายการเกิดสุริยุปราคา ปี พ.ศ. 2411 ได้อย่างแม่นยำล่วงหน้า 2 ปี และอีกผลงานหนึ่งคือการสถาปนาระบบเวลามาตรฐานของสยาม ซึ่งเป็นผลมาจากการเสนอในงานวิชาการของ ดร.ขาว เหมือนวงศ์ ซึ่งได้ถูกนำมาตีพิมพ์ในหนังสือ ‘พระจอมเกล้าฯพยากรณ์’เล่มนี้ จำนวณสองบทความ ซึ่งบทความของดร.ขาว นี้ถือได้ว่าเป็นบทความวิชาการชิ้นสำคัญในด้านการเชิดชูเทิดพระเกียรติและพระอัจฉริยภาพของของพระองค์ท่านในด้านดาราศาสตร์ และได้ถูกนำไปเผยแพร่ พิมพ์ซ้ำ ในสื่อ หนังสือ เว็บเพจ ฯลฯ ในสังคมไทยเป็นจำนวนมาก
บทความแรกของ ดร.ขาวฯ ที่ได้พิมพ์ในหนังสือเล่มนี้ เป็นความพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสถาปนาเวลามาตรฐานขี้นในสยาม โดยอาศัยหลักฐานหลักคือ พระราชหัตถเลขาที่ทรงมีไปถึงกรมหมื่นวรจักร์ธรานุภาพ ซึ่งเนื้อหามีใจความให้ปรับเทียบการตีบอกเวลาตามที่พระองค์ได้กำหนดไว้ต่างๆในช่วงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ถึง 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2401 เช่น กำหนดให้ย่ำรุ่ง และย่ำค่ำในวันที่ 2 ถึง 4 กุมภาพันธ์ เป็นเวลา 5:48 น. และ 6:12 น. ตามลำดับ
ดร.ขาวฯยังได้คำนวณเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและตก รวมไปถึงเวลาย่ำรุ่งและย่ำค่ำ ทั้งที่กรุงเทพฯและที่กรีนิช ที่กรุงเทพฯ เวลาย่ำรุ่งและย่ำรุ่ง ของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เป็น 6:4:27 น. และย่ำค่ำเป็น 18:23:39 น. ตามเวลาเฉลี่ยที่กรุงเทพฯ หรือ local mean time at Bangkok และดร.ขาวได้ทำการปรับให้เป็นเวลาปรากฎ หรือ apparent time ซึ่งเป็นเวลาตามนาฬิกาแดดหรือ เวลาตามตำแหน่งพระอาทิตย์ เช่น ถ้าพระอาทิตย์อยู่แนวกึ่งกลางท้องฟ้าก็เป็นเที่ยงวันพอดี แต่เวลาระบบนี้จะให้เวลาที่แตกต่างกับ mean time ซึ่งการแปลงให้เป็น apparent time จะต้องทำการบวกหรือลบค่าเวลาแปลงไป ซึ่งขึ้นอยู่กับช่วงเวลาว่าเป็นวันไหนของปี
สำหรับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ดร.ขาวฯได้คำนวณไว้ว่าจะต้องทำการลบ 13นาที 57 วินาที ออกจาก mean time ก็จะได้ apparent time ซึ่งเมื่อปรับแล้วค่าเวลาย่ำรุ่งและย่ำค่ำที่กรุงเทพฯตามเวลาระบบ apparent time ในระดับนาทีจากการคำนวณของดร.ขาวจะได้เป็น 5:50 น. และ 18:10 น. ดังนั้นจะต่างกับเวลาของพระองค์อยู่สองสองนาทีคือ เวลาย่ำรุ่งในระบบ apparent time ของดร.ขาวฯช้ากว่าของพระจอมเกล้าฯอยู่สองนาที ดังนั้นดร.ขาวฯจึงได้ให้เหตุผลว่าพระองค์ได้ใช้เวลามาตรฐานที่ เส้นแวง 100 หรือที่เพชรบุรี ซึ่งต่างกับที่กรุงเทพประมาณสองนาที เมื่อปรับให้เป็นไปตาม apparent time ของเวลาที่เพชรบุรีแล้วทำให้ได้ผลที่ใกล้เคียงยิ่งขี้นสำหรับเวลาย่ำรุ่ง
ส่วนเวลาย่ำค่ำเองเมื่อเทียบผลที่ ดร.ขาวฯ ปรับแก้โดยเลื่อนเวลาไปที่เพชรบุรีแล้วปรากฎว่ายิ่งห่างออกไป คือเวลาย่ำค่ำของดร.ขาวฯ นั้นเร็วกว่าของพระจอมเกล้าฯอยู่สี่นาที แต่ดร.ขาวฯได้ละทิ้งการวิเคราะห์เวลาย่ำค่ำที่ตัวเองคำนวณไว้ และอ้างว่ามีการสมมาตรกันระหว่างเวลาย่ำรุ่งและย่ำค่ำซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง กล่าวคือถ้าไม่มีการเลื่อนเวลาจากกรุงเทพไปที่เพชรบุรี ก็ควรมีการสมมาตรของเวลาย่ำรุ่งและย่ำค่ำ เช่น ย่ำรุ่งเกิดตอนก่อนหกโมงสิบสองนาที และย่ำค่ำก็จะเกิดหลังหกโมงเย็นสิบสองนาทีเช่นกัน แต่ทว่าดร.ขาวฯเลื่อนเวลาให้ไปคิดตามที่เพชรบุรี เวลาย่ำรุ่งและย่ำค่ำจึงไม่ควรที่จะมีสมมาตรของเวลาย่ำรุ่งและย่ำค่ำ
พระราชหัตถเลขาฉบับที่ 38 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงกรมหมื่นวรจักรธรานุภาพ
หลักฐานที่ ดร.ขาวฯได้อ้างเพื่อสนับสนุนว่ามีการสถาปนาเวลามาตรฐานนั้น หนึ่งก็คือการเทียบข้อความในพระราชหัตถเลขากับผลการคำนวณเวลาย่ำรุ่งดังที่กล่าวไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีการอ้างถึง ประชุมประกาศในสมัยรัชกาลที่ 4 เรื่องนาฬิกา ซึ่งเป็นเพียงการวิจารณ์ระบบเวลาดั้งเดิมของสยามว่าหยาบ ดร.ขาวฯยังอาศัยหลักฐานที่ว่ามีการทรงโปรดให้สร้างหอนาฬิกาในพระบรมหาราชวัง และสร้างพระที่นั่งที่เขาวัง แต่อย่างไรก็ตามหลักฐานเหล่านั้นเพียงแต่ระบุว่ามีการสร้างหอนาฬิกา แต่ไม่ได้ระบุว่ามีการกำหนดพิกัดเส้นแวง หรือกำหนดให้มีระบบเวลาใดเป็นเวลามาตรฐาน และการมีหอนาฬิกาก็ไม่ได้หมายถึงการมีเวลามาตรฐานเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น ทางยุโรปนั้นมีการสร้างหอนาฬิกามาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 แล้ว แต่สมัยนั้นก็ยังไม่ได้มีการกำหนดเวลามาตรฐาน
นอกจากนี้ผลของบทความ ดร.ขาวฯ นี้ทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนโดยได้ทำให้เกิดการขยายต่อด้วยการบอกว่า พระองค์ทรงสถาปนาเวลามาตรฐานของสยามก่อนพระราชบัญญัติเวลามาตรฐานของประเทศอังกฤษ ซึ่งไม่เป็นความจริง เนื่องจากเวลากรีนิช (Greenwich) ถูกใช้เป็นมาตรฐานมาก่อนหน้าที่จะมีพระราชบัญญัติเวลามาตรฐานในปี ค.ศ. 1884 นานแล้ว ในเอกสารเช่น Nautical amanac ก็ใช้เวลา Mean time at Greenwich และที่จริงแล้ว เวลามาตรฐานที่เกิดก่อนหน้าในประเทศอังกฤษนั้นถือกำเนิดเนื่องมาจากกิจการเดินรถไฟ และเวลามาตรฐานกรีนิชถูกนำมาใช้เป็นเวลามาตรฐานของอังกฤษตั้งแต่ปีค.ศ. 1847 หรือ พ.ศ. 2390 ยิ่งกว่านั้นในสมัยนั้นยังมี Paris mean time ที่เป็นเวลามาตรฐานของฝ่ายฝรั่งเศสอีกด้วย แต่ดร.ขาวฯมีการการเปรียบเทียบโดยกล่าวว่าหอนาฬิกาที่พระที่นั่งภูวดลทัศไนยถูกสร้างเสร็จก่อนหอนาฬิกา Big Ben เพื่อที่จะเสนอว่าประเทศสยามมีหอนาฬิกาก่อนประเทศอังกฤษ ทั้งๆ ที่ Big Ben นั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความอย่างยิ่งใหญ่จนเป็น Landmark ของกรุงลอนดอน ส่วนหอนาฬิกาอื่นๆ ของอังกฤษนั้นก็มีสร้างมาก่อนหน้าสยามนานแล้ว
หอนาฬิกา Big Ben
อีกบทความหนึ่งของ ดร.ขาวฯ นั้นเป็นบทความที่ต้องการที่จะแสดงให้เห็นว่าพระองค์ใช้วิธีการทางตะวันตกที่สลับซับซ้อนในการคำนวณและทำนายปรากฎการณ์สุริยุปราคาที่หว้ากอ โดย ดร.ขาวฯ ได้อาศัยหลักฐานจากจดหมายเหตุเสด็จหว้ากอ (1) ที่ระบุว่า “ได้ทรงคำนวณไว้แต่เมื่อปีขาลอัฐศกว่า ในปีมะโรงสัมฤทธิ จุลศักราช ๑๒๓๐ จะมีสุริยุปราคาจับหมดดวงเมื่อเดือน ๑๐ ขึ้นค่ำ ๑ ซึ่งยากนักที่จะได้เห็นในพระราชอาณาจักร” นั่นหมายความว่าพระองค์ทรงคำนวณล่วงหน้าได้สองปีก่อนเกิดเหตุการณ์ที่หว้ากอ และในหลักฐานเดียวกันยังระบุอีกว่า “ได้ทรงพิจารณาเลเอียดถ้วนถี่แล้ว ว่าพระอาทิตย์จะจับหมดดวง แลจะเห็นบนน่าแผ่นดินไปไกลถึงต่อที่ตำบลหว้ากอแขวงเมืองประจวบคิรีขันธ์ ตรงเกาะจานเข้าไป เปนท่ามกลางที่มืดหมดดวง ขึ้นมาข้างบนถึงเมืองปราณบุรี ลงไปข้างใต้ถึงเมืองชุมพร” (1) ดร.ขาวฯ จึงนำทั้งสองประเด็นนี้เป็นหลักในการบอกว่า พระองค์ทรงคำนวณการเกิด และระบุตำแหน่งที่จะเกิดได้ล่วงหน้าสองปี อีกทั้งบอกว่าพระองค์ทรงระบุแนวที่เกิดคราสเต็มดวงได้
อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่ว่านี้เป็นเพียงการกล่าวอ้างถึงบันทึกหลังจากเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นไปแล้ว จวบจนถึงปัจจุบัน หลักฐานการคำนวณหรือการพยากรณ์ล่วงหน้าของพระองค์นั้น มีการพบผลการพยากรณ์ล่วงหน้าในประกาศสุริยุปราคาหมดดวงซึ่งประกาศล่วงหน้าประมาณสองอาทิตย์ก่อนเหตุการณ์หว้ากอ และอีกชิ้นหนึ่งคือพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีไปถึงชาวต่างชาติลงวันที่ก่อนเหตุการณ์หว้ากอสามวัน และในบทความนี้ ดร.ขาวฯ ได้ยึดถือหลักฐานที่ว่า พระองค์ได้ทรงคำนวณและระบุตำแหน่งล่วงหน้าได้สองปี และอ้างว่าหนังสือ Nautical amanac ที่ตีพิมพ์ล่วงหน้าสี่ปีของตะวันตกนั้นไม่สามารถให้ข้อมูลแนวคราสเต็มดวงได้ และวิธีการทางโหราศาสตร์ของสยามเองก็ไม่สามารถให้ผลดังกล่าวได้เช่นกัน ดังนั้น ดร.ขาวฯ จึงสรุปว่าพระองค์ต้องทรงคำนวณด้วยพระองค์เองทั้งหมดโดยใช้วิธีวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ของตะวันตก และในบทความนี้ ดร.ขาวฯได้ทำการคำนวณเวลาเกิดคราสด้วยวิธีของดร.ขาวฯเองโดยไม่มีหลักฐานใดๆว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้วิธีการเช่นนี้ในการคำนวณ และผลเวลาที่เกิดนั้นเท่ากับผลในประกาศสุริยปราหมดดวงที่ประกาศไว้ที่ใช้เวลาระบบสยามโดยบอกเป็นโมงเป็นบาท (หนึ่งบาทมีหกนาที) แต่ก็มีที่น่าสังเกตุคือว่าบทความที่สองนั้น ผลการคำนวณที่นำไปเปรียบเทียบกับค่าพยากรณ์นั้นไม่ได้ใช้ระบบ apparent time แต่ทว่าใช้ระบบ mean time และกำหนดให้ใช้เวลาที่เส้นแวง 100 องศา 29 ลิปดา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่กรุงเทพฯ โดยไม่ได้ใช้ เส้นแวง 100 ดังเช่นในบทความแรก
นอกจากนี้การอ้างว่าพระองค์เป็นผู้เลือกจุดสังเกตุที่หว้ากอนั้นยังไม่น่าจะเป็นไปได้ ด้วยเหตุผลว่าไม่มีหลักฐานการสำรวจใดๆจากสยามเลย แต่มีหลักฐานการสำรวจจากทีมฝรั่งเศสที่ล่องเรือมาจากไซ่ง่อนเข้ามาที่กรุงเทพฯเพื่อขออนุญาติสำรวจหาสถานที่และล่องออกไปสำรวจจนได้สถานที่สังเกตุในเดือนพฤษภาคมของปีที่เกิดสุริยุปราคา เรื่องการเข้ามาของเรือฝรั่งเศสนี้ก็ยังถูกบันทึกในบางกอกคาเลนดาร์ของหมอบลัดเลย์ฯ และแผนที่สยามในยุคนั้นเองก็ไม่ได้ละเอียดเหมือน google map ที่ถึงขนาดที่ว่ากำหนดพิกัดแล้วจะบอกว่าเป็นหมู่บ้านหว้ากอได้ ดังนั้นถ้าไม่มีการสำรวจใดๆจากฝั่งสยามเลย พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงไม่สามารถระบุได้ว่าจะต้องไปสังเกตุที่หมู่บ้านหว้ากอ
ในหนังสือ ‘พระจอมเกล้าฯพยากรณ์’ ยังมีบทความที่คิดต่างจากงานของ ดร.ขาวฯ ในเรื่องวิธีการคำนวณสุริยุปราคาของพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือบทความที่ถอดจากการบรรยายของอาจารย์ ลอย ชุนพงษ์ทอง และบทความของอาจารย์ วรพล ไม้สน โดยทางอาจารย์ลอยฯได้วิเคราะห์โดยการตีความหมายของพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการคำนวณสุริยุปราคาสองฉบับ ฉบับแรกเป็นภาษาอังกฤษซึ่งทรงส่งถึงชาวต่างชาติและได้ถูกนำไปตีพิมพ์ในหนังสือบางกอกคาเลนดาร์ และหนังสือ Le royaume de Siam, By Amédée Gréhan ซึ่งลงวันที่ 15 สิงหาคม หรือก่อนการเกิดเหตุการณ์ 3 วัน ส่วนอีกฉบับนั้นเป็นพระราชหัตถเลขาที่ทรงส่งให้ถึงสเตฟานหัวหน้าคณะนักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่ไปทำการสังเกตุการณ์ทางดาราศาสตร์ที่หว้ากอ ที่พระองค์ทรงพระราชทานขณะที่ประทับที่หว้ากอ
อาจารย์ลอย ฯ ได้ให้น้ำหนักกับเอกสารจากลายพระหัตถ์มากกว่าหลักฐานบันทึกอื่นๆ โดยได้บอกว่า “ไม่จําเป็นต้องเชื่อในสิ่งที่ผมบอก ไม่จําเป็นต้องเชื่อในสิ่งที่ข้าราชบริพารนํามาบอก นักการทูตนํามาเขียน เชื่อจากพระโอษฐ์ จากลายพระหัตถ์ที่พระองค์ทรงบอกเอง และไม่ควรทําให้มันผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่พระองค์ทรงบอกไว้ ” รวมไปถึงคำพูดของอาจารย์ลอยฯ ที่อาจจุดประกายให้หลายคนร่วมศึกษาเรื่องราวของพระองค์ท่าน
กระดานปักขคณนา
อาจารย์ลอยฯได้กล่าวถึงพระอัจฉริยภาพทางคณิตศาสตร์ในด้านการประดิษฐ์คิดค้นกระดาณปักขคณนาและการคำนวณปฏิทินของพระองค์ และได้กล่าวต่อว่า “แต่พระองค์ไม่ได้ทรงมีพระอัจฉริยภาพทางดาราศาสตร์อย่างตามที่หลายหน่วยงานได้ประกาศเทิดทูนไว้ และมันเป็นเรื่องจริงในสังคมไทย เรื่องเทิดทูนพระปรีชาของพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่ทางราชการสนับสนุน มีงบมีเวทีให้พูด เพราะทำแล้วมีแต่ได้ดีกับเสมอตัว ในทางตรงข้าม ความคิดเห็นที่คัดค้านสิ่งที่ได้เทิดพระเกียรติเอาไว้แล้ว ด้วยความไม่รู้ไว้แล้ว เป็นเรื่องที่ต้องมีหลักฐานแน่น โดยอย่าหวังการสนับสนุนจากทางราชการ มีแต่เสมอตัวกับโดนด่า เป็นสิ่งที่ไม่นิยมทำกัน”
อาจารย์ลอยฯนั้นเห็นต่างกับ ดร.ขาวฯ ว่าพระองค์ท่านไม่น่าทรงเป็นผู้คำนวณและกำหนดแนวคราสได้ แต่สิ่งที่อาจเป็นได้คือพระองค์ได้แผนที่แนวคราสมา ซึ่งมีการบอกเวลาการเกิดตามแนวคราส แล้วพระองค์ก็ทรงทำการหาเวลาการเกิดคราสที่หว้ากอจากแผนที่
อีกบทความเป็นของอาจารย์ วรพล ไม้สน ได้อาศัย keyword ที่ปรากฎอยู่ในพระราชหัตถเลขาถึงชาวต่างชาติฉบับเดียวกับที่อาจารย์ลอยฯได้วิเคราะห์ โดยใช้คำว่า geometry projection แล้วรวบรวมหลักฐานทั้งของสยามและของตะวันตก ปรากฎหลักฐานการคำนวณอุปราคาของพระบรมวงศานุวงศ์หลายท่านในสมัยหลังจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (คือในสมัยรัชกกาลที่ 5) ซึ่งเป็นวิธีการที่ต้องใช้ค่าในตารางของ Nautical almanac และเข้าสูตรคำนวณ อาจารย์วรพลฯจึงคาดว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้วิธีการเหล่านั้นด้วยเช่นกัน (คือมีการทรงใช้ Nautical amanac ประกอบในการคำนวณด้วย )
ผลการคำนวณหาปีอธิกมาสที่ถกเถียงกันว่าควรแทรกใน พ.ศ. 2414 หรือ 2415 โดยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพบว่าควรแทรกใน พ.ศ. 2415 (จากบทความของอาจารย์ลอยฯ)
นอกจากบทความที่วิเคราะห์ด้านดาราศาสตร์แล้ว ยังมีบทความของคุณวิภัส เลิศรัตนรังษี ที่ได้เขียนเกี่ยวกับเส้นสมมติทางภูมิศาสตร์กับการทำนายสุริยุปราคาของพระจอมเกล้าฯ ในบทความนี้ได้รวบรวมและวิเคราะห์หลักฐานที่ชี้ให้เห็นถึงว่า พระองค์ได้ทรงทราบว่ามีเส้นพิกัดทางภูมิศาสตร์ เส้นรุ้งเส้นแวง หรือที่เรียกว่า เส้นละติจูดและลองติจูด และการรู้จักเส้นเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นของการทำนายอุปราคาของพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทำให้ทรงคำนวณได้แม่นยำกว่าผลจากโหราศาสตร์ตะวันออก แต่อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญของการวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์ในยุคสมัยนั้นก็คือแผนที่ บทความนี้ขาดการวิเคราะห์แผนที่ว่าแผ่นที่ใดเป็นแผนที่ที่พระองค์ทรงใช้? การวัดพิกัดด้วยกล้อง Sextant และ Marine chronometer นั้นควรต้องใช้ควบคู่กับแผนที่ ทำให้ขาดความวิเคราะห์เรื่องความคลาดเคลื่อนของการวัดและของแผนที่ไป เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลไปถึงการทำนายสุริยุปราคาให้แม่นยำ (อนึ่งในบทความของ อาจารย์วรพลฯจะกล่าวถึงแผนที่ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้)
คาดว่าหนังสือเล่มนี้จะได้มีส่วนในการจุดประกายสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนในการค้นหาคำตอบ และพยายามร่วมกันทำความเข้าใจถึงเหตุการณ์ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะที่สำคัญที่สุดคือเหตุการณ์คราวเสด็จหว้ากอว่าพระองค์ท่านทรงทำอะไร ? แค่ไหน ? และทรงทำอย่างไร ? และร่วมกันช่วยแก้ไขประวัติศาสตร์ให้ถูกต้อง เพราะว่าข้อมูลที่ประวัติศาสตร์ไม่จริงหรือบิดเบือนในเรื่องสุริยุปราคาที่ทำให้เกิดการยกย่องพระเกียรติจนเกินเลยจากความเป็นจริงนั้นได้ปรากฎอยู่ทั่วไป
แม้กระทั่งหน่วยงานที่สำคัญอย่างกรมศิลปากร เว็ปไซต์ของกรมฯก็เขียนว่า “ทรงเชิญนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติและทูตานุทูตมาร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งก็เท่ากับว่าเป็นการท้าพิสูจน์ หากไม่เป็นไปตามที่ทรงคำนวณ ก็จะเป็นการเสียพระเกียรติอย่างยิ่ง นับว่าทรงมีความเชื่อมั่นและกล้าหาญอย่างมาก” หรือกระทั่งในหนังสือที่ได้รับการยกย่องเป็นหนังสือสำคัญสุดเล่มหนึ่งในวงการไทยศึกษาและอุษาคเนย์ระดับสากล อย่าง Siam Mapped ของอาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล ก็ได้สรุปเช่นว่าพระองค์ทรงเชิญทั้งฝั่งฝรั่งเศสและฝั่งอังกฤษมา แต่อันที่จริงแล้วการเชิญคณะนักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสมาร่วมเป็นพยานการคำนวณนั้นไม่เป็นเรื่องจริง คณะนักดาราศาสตร์ฝรั่งเศสที่เดินทางข้ามทวีปข้ามน้ำข้ามทะเลมาสยามเองเพื่อต้องการทำการวัดและสังเกตุข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญอย่างการวัดสเปคตรัมขณะเกิดสุริยุปราคา และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อมาเป็นพยานยืนยันอะไรทั้งสิ้น ชาวต่างประเทศที่ทรงเชิญมามีแค่ฝั่งอังกฤษคือเซอร์เฮนรี ออด ซึ่งเป็นข้าหลวงอังกฤษที่สิงคโปร์ และพวกฝรั่งชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่กรุงเทพฯ การเชิญคณะนักดาราศาสตร์เข้ามาสังเกตุสุริยุปราคาเต็มดวงในสยามนั้นมีครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 คือเมื่อคราวหลังจากเหตุการณ์หว้ากอเจ็ดปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเชิญนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ
นอกจากนี้ในหนังสือ Siam Mapped ยังได้บอกว่าพระจอมเกล้าฯ ได้ทรงคำนวณตำแหน่งและเป็นผู้เลือกจุดสังเกตุที่หว้ากอ ซึ่งจนปัจจุบันมีเพียงบันทึกของสยามที่เป็นแค่การกล่าวอ้าง แต่ไม่มีหลักฐานถึงวิธีการคำนวณให้ได้ตำแหน่งพิกัดคราสบนพื้นผิวโลก หรือไม่สามารถระบุวิธีการอะไรที่ให้ได้แนวคราสบนพิกัดพื้นผิวโลกได้เลย และไม่มีหลักฐานที่แสดงว่ามีการส่งทีมสำรวจจากฝั่งสยามเพื่อหาตำแหน่งจุดสังเกตุ มีปรากฎเพียงแต่ทีมสำรวจหาสถานที่จากทางฝรั่งเศส การกล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เลือกจุดสังเกตุให้เป็นที่หว้ากอจึงไม่มีความน่าเชื่อถือ แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลที่ผิดพลาดไม่น่าเชื่อถือต่างๆนั้นยังถูกอ้างต่อ ๆ กันไป และการนำข้อมูลที่ผิดพลาดไม่น่าเชื่อถือนี้มาใช้ในการวิเคราะห์ทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ต่อไป ก็ย่อมทำให้ได้ประวัติศาสตร์ที่ผิดพลาดตามไปด้วย