หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงทางความคิดและทัศนคติว่าด้วยความลับและความปกปิดกว่า 2000 ปีในยุโรป ที่ครอบคลุมมิติทางด้านศาสนา เทววิทยา ปรัชญาและเหตุการณ์ทางการเมือง การศึกษาประวัติศาสตร์ของแนวคิดเรื่องความลับชิ้นนี้มาจากคำถามที่ว่า ระบอบเสรีประชาธิปไตยสมัยใหม่อันวางอยู่บนอุดมคติของความเป็นสาธารณะทางการเมืองและความโปร่งใสของรัฐบาล แต่ทำไมหลักคิดเรื่องความลับกลับมีที่ทางอย่าง มั่นคงในปริมณฑลต่างๆ ของการเมืองสมัยใหม่ โดยหนังสือเล่มนี้พยายามชี้ให้เห็นว่าหลักคิดเรื่องความลับและความลี้ลับนั้นดำรงอยู่ และมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรตลอดช่วงเวลากว่า 2000 ปี
ความมั่นคงของรัฐมีความสำคัญสูงสุด ดังนั้นรัฐจึงจำเป็นต้องสั่งสมความรู้และสร้างกลไกในการจัดการกับความรู้เพื่อสร้างรัฐที่เปี่ยมไปด้วยปัญญา
หลักความลับและการปกปิดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของหลักคิดว่าด้วยรัฐมาตั้งแต่ช่วงต้นสมัยใหม่ ไม่เพียงแต่มีแนวคิดว่ารูปลักษณ์ของรัฐนั้นวางอยู่บนอุปมาเป็นร่างกาย (body politics) ซึ่งมีอยู่ตั้งแต่สมัยกลาง หากแต่มีแนวคิดว่ารัฐนั้นมิติทางจิตใจด้วย โดยแนวคิดดังกล่าวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นราวศตวรรษที่ 16 ในอิตาลี เนื่องจากนครรัฐในคาบสมุทรอิตาลีในช่วงเวลาดังกล่าวมีลักษณะสำคัญคือ เป็นหน่วยการเมืองที่ขึ้นกับประชาสังคม (civil society) โดยมิติทางจิตใจของรัฐวางอยู่บนความมีเหตุผล ซึ่งเป็นที่มาของหลัก “เหตุผลแห่งรัฐ” (reason of state) ที่เห็นว่าความมั่นคงของรัฐมีความสำคัญสูงสุด ดังนั้นรัฐจึงจำเป็นต้องสั่งสมความรู้และสร้างกลไกในการจัดการกับความรู้เพื่อสร้างรัฐที่เปี่ยมไปด้วยปัญญา เพื่อการล่วงรู้ถึงรัฐอื่นและมีความรู้ความเข้าใจพลเมืองของตน ผ่านข้อมูลข่าวสารและข้อมูลเชิงสถิติขององค์ประกอบต่างๆ ทั้งจากภายในและภายนอกรัฐ นอกจากนี้ความสามารถในการเก็บความลับยังมีความสำคัญอย่างมากในรัฐที่ผูกติดกับประชาสังคม ซึ่งโดยหลักแล้วมีการเรียกร้องให้รัฐเปิดเผยตนเองต่อสายตาของพลเมืองอยู่เนือง ๆ
มีการทำความเข้าใจลักษณะสำคัญของวัฒนธรรมการเมืองสมัยใหม่จากหลายสาขา โดยค่อนข้างเห็นพ้องกันว่ามีสภาวะ “ความเป็นสาธารณะ” (publicness) ซึ่งเกิดขึ้นราวศตวรรษที่ 17 และ 18 โดยแนวคิดว่าด้วย “พื้นที่สาธารณะ” (public sphere) ของเยอร์เกน ฮาเบอร์มาส (Jürgen Habermas) นักปรัชญาและสังคมวิทยาชาวเยอรมนี ได้ชี้ว่ามีการเกิดขึ้นของพื้นที่แบบใหม่ เช่น สิ่งพิมพ์และการสมาคมในหลายรูปแบบ ซึ่งนำไปสู่การเปิดกว้างขึ้นของพื้นที่ทางการเมือง เกิดความเห็นว่ากิจการต่างๆของบ้านเมืองควรนำมาพูดคุยและถกเถียงกันในพื้นที่ที่เกิดขึ้นใหม่นี้
อย่างไรก็ตาม ฮาเบอร์มาสได้ชี้ให้เห็นว่าวัฒนธรรมการเมืองที่สำคัญในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดพื้นที่สาธารณะ คือวัฒนธรรมการเมืองที่ให้ความสำคัญกับความลับ การปกปิด และการเซ็นเซอร์ที่ได้เสื่อมคลายลงโดยความลับเป็นหลักปฏิบัติสำคัญของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาโดยตลอด
ระบอบเสรีประชาธิปไตยสมัยใหม่กลับสร้างกลไกและใช้เทคโนโลยีในการจัดการกับความลับและการปกปิดได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยใช้เครื่องมือและกลไกที่มาจากระบอบเสรีประชาธิปไตยเอง
ในโลกสมัยใหม่ หลังจากการปฏิวัติดิจิตอล (Digital Revolution) ได้อุบัติขึ้นและพัฒนาไปอย่างเข้มข้น เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารและวัฒนธรรมโลกออนไลน์ในปัจจุบัน ส่งผลให้การควบคุมพลวัตของข้อมูลข่าวสารเป็นไปได้ยากกว่ายุคของสิ่งพิมพ์มาก ทั้งจากมุมของปัจเจกและจากมุมของรัฐบาล ภายใต้สภาวะดังกล่าว ประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวของปัจเจกกลายเป็นข้อคำนึงอันดับต้นๆ ขณะเดียวกันการปฏิวัติดิจิตอลก็ส่งผลให้รัฐบาลทบทวนกระบวนการทำงานของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากกรณีการรั่วไหลของข้อมูลในเว็บไซต์วิกิลีกส์ แม้ว่าข้อมูลและข่าวสารปริมาณมหาศาลจะอยู่ในรูปแบบดิจิตอลอันไหลลื่น รัฐบาลต่างๆ ในยุคปัจจุบันก็เปี่ยมล้นไปด้วยกลไกรัฐและเครื่องมือทางกฎหมาย รวมไปถึงพัฒนากระบวนการและมีเทคโนโลยีในการรักษาความลับราชการ อีกทั้งรัฐบาลเหล่านั้นยังมีกลไกทางกฎหมายและมีเทคโนโลยีในการเข้าถึงความลับและการล่วงเข้าสู่ความเป็นส่วนตัวของพลเมือง ความมุ่งหวังอันมีต่อระบอบประชาธิปไตยที่มาแต่โบราณที่ว่า จะนำไปสู่ระบอบการเมืองที่เปิดเผย โปร่งใสและเป็นของประชาชนกลับไม่บรรลุผล ระบอบเสรีประชาธิปไตยสมัยใหม่กลับสร้างกลไกและใช้เทคโนโลยีในการจัดการกับความลับและการปกปิดได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยใช้เครื่องมือและกลไกที่มาจากระบอบเสรีประชาธิปไตยเอง และใช้เทคโนโลยีที่มาจากการปฏิวัติดิจิตอลซึ่งครั้งหนึ่งเคยให้ความหวังว่าจะมีเครื่องมือที่ช่วยให้การเมืองโปร่งใสและเปิดกว้างมากขึ้น
ในกรณีของการเมืองไทยที่ดูจากห่างไกลจากระบอบเสรีประชาธิปไตยอยู่มาก ความโปร่งใสเคยปรากฏอยู่ในวาทกรรมการเมืองไทยอยู่ในช่วงสั้น ๆ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของบัญชีศัพท์การเมืองไทยเลย ขณะที่ความลับและความเร้นลับยังคงอยู่ที่ศูนย์กลางของแนวคิดเรื่องอำนาจการเมืองที่มาจากเบื้องบน และคงไม่น่าแปลกใจที่คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับความลับและความเร้นลับของอำนาจทางการเมืองก็ไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีคำศัพท์เช่นกัน ขณะที่ในโลกตะวันตกยังมีการกล่าวถึง arcana imperii ในรูปแบบต่างๆ เช่น แนวคิดเรื่อง Deep State หรือความลับราชการ (state secret) มาอย่างค่อนข้างยาวนาน แต่ในกรณีประเทศไทยกลับไม่มีการยอมรับว่ามีอำนาจลักษณะนี้อยู่ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า วลี “มือที่มองไม่เห็น” (invisible hand) ซึ่งมีความหมายในทางเศรษฐศาสตร์อันเป็นที่เข้าใจสอดคล้องกันทั่วโลกว่า หมายถึงกลไกของตลาด แต่ในภาษาไทยวลีนี้กลับมีความหมายติดอยู่กับภาษาปากอันมีความหมายแตกต่างไปมาก โดยวลีนี้หมายถึง บุคคลที่คาดว่าอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ แต่ไม่สามารถชี้ชัดได้ หากแต่สภาวะการ “มองไม่เห็น” นี้ มิได้มาจากการขาดซึ่งหลักฐานหรือความยากที่จะล่วงรู้ หากแต่มาจากสถานะของการห้ามกล่าวถึง สอดคล้องกับที่ฟรานซิส เบคอนได้เคยกล่าวถึงรัฐบาลในช่วงต้นสมัยใหม่ไว้ว่า รัฐบาลต่าง ๆ นอกจากจะประกอบด้วยส่วนที่เป็นความลับหรือต้องปกปิดแล้ว ยังประกอบไปด้วยส่วนที่ห้ามกล่าวถึงด้วย