ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ศาสตราจารย์แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงหนังสือ 'แผนที่สร้างชาติ: รัฐประชาชาติกับการทำแผนที่หมู่บ้านไทยในยุคสงครามเย็น' ไว้ว่า
" หนังสือเล่มนี้ตั้งหัวข้อศึกษาน่าสนใจมาก เป็นเรื่องธรรมดา คนรู้จักทั่วไป แต่ไม่รู้ลึกถึงบทบาท โดยเฉพาะในเรื่องการสร้างรัฐชาติ ซึ่งสมมติฐานหลักคือ รัฐชาติไทย ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดมาแต่สมัยปฏิรูปการปกครอง สมัย ร.๕ ไม่เคยขยายอำนาจรัฐลงไปถึงระดับหมู่บ้านเลย จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ จากยุคสงครามเย็นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาครอบงำไทย นำเทคโนโลยีการทำแผนที่ทางอากาศเข้ามา ถึงมีการสร้างหมู่บ้านขึ้นมา ทำให้รัฐไทยสามารถใช้อำนาจการควบคุมลงไปถึงหน่วยที่เป็นพื้นฐานของการปกครองได้ในที่สุด "
ข้อค้นพบใหม่หรือข้อสำคัญในหนังสือ แผนที่สร้างชาติ
- แยกแยะให้เห็นความต่างกันระหว่างแผนที่ของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กับแผนที่ของรัฐประชาชาติ อันแรกทำได้เพียงขีดเส้นพรมแดนของรัฐ แต่ไม่มีรายละเอียดของหน่วยย่อยๆ ต่างๆ ในรัฐนั้น เช่นหมู่บ้าน
- การสร้างรัฐสมัยใหม่เป็นกระบวนการ ไม่อาจทำได้ในเวลาอันสั้น ต้องปรับวิธีคิดการมองการสร้างรัฐใหม่
- คุณสมบัติของแผนที่สมัยใหม่ทำให้หมู่บ้านและผู้คนหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่มีการเคลื่อนไหว เพื่อจะได้ปกครอง ควบคุม กำหนดแนวทางและทิศทางให้คนเหล่านั้นได้
- บทบาทของมหาอำนาจ ในกรณีนี้คือสหรัฐอเมริกา ที่เข้ามาทำหน้าที่สร้างแผนที่ตามยุทธศาสตร์ในสงครามเย็น
- บทบาทของเจ้าหน้าที่ไทย นักวิชาการ หน่วยงานราชการ ไปถึงมหาวิทยาลัย
ข้อวิจารณ์และข้อแนะนำ
1. อธิบายความหมาย นัยสำคัญในทางประวัติศาสตร์และการเมืองของแผนที่ ทั้งเก่าและใหม่ยังไม่มากเท่าที่ควร แต่หนังสือทำให้รู้สึกเหมือนว่าแผนที่แบบเก่านั้นไม่มีความหมาย ที่จริงมันมีบทบาทในบริบทของสังคมโบราณ เช่น แผนที่แบบไตรภูมิ สะท้อนโลกทัศน์ของจักรวาลทรรศน์แบบพุทธ เป็นโลกในแนวตั้งตามคติศาสนา ส่วนแผนที่สมัยใหม่เป็นแบบแนวราบ ไม่มองความเหลื่อมล้ำ ความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งต่าง ๆ เน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างจุดต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน ในกรณีสยาม จุดเปลี่ยนผ่านระหว่างการใช้และคิดแบบแผนที่จารีตกับแบบใหม่ปะทะกันช่วง ร.๔ ถึง ร.๕ จบลงด้วยชัยชนะของแผนที่แบบใหม่และการสร้างรัฐรวมศูนย์ เกิดสิ่งที่เรียกว่า state-mind หรือ ความคิดที่มีรัฐแบบใหม่ ไม่ใช่เขาพระสุเมรุอีกต่อไป แต่ความคิดดังกล่าวกลับยังอยู่ภายใต้โครงสร้างอำนาจแบบจารีต นี่เป็นความขัดกันของความเป็นสมัยใหม่แบบไทย หรือที่เราเรียกว่า ความ(ไม่)เป็นสมัยใหม่ อีกข้อคือ แผนที่ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของรัฐฝ่ายเดียว มันเองก็ให้ผลสะเทือนที่ปฏิวัติต่อประชากรที่อยู่เหนือการควบคุมของรัฐได้ด้วย เช่น ให้ความรู้สึกชาตินิยมต่อต้านเจ้าอาณานิคม หรือการเสียดินแดนในภาพแผนที่ไทย เป็นต้น
แม้ ร.๖ ปลุกระดมความคิดเรื่องรักชาติ กรมพระยาดำรงราชานุภาพสร้างคำบรรยายประวัติศาสตร์ชาติไทย แต่ก็เป็นการสร้างจากบนลงล่าง เป็นจินตนาการของชนชั้นนำมากกว่าเป็นความรับรู้ในความเป็นมาของชาติตนที่เป็นของราษฎรจริงๆ
2. การสร้างรัฐชาติเป็นกระบวนการ แต่ในนั้นมีสองสิ่งเกิดขึ้นเคียงข้างกันไปตลอดเวลา นั่นคือการสร้างรัฐที่เป็นกลไกในการปกครองทั้งหลาย กับการเกิดชาติที่เป็นจินตกรรมร่วมกันของคนจำนวนมากภายในรัฐหรือประเทศนั้นๆ การปฏิรูปการปกครองของ ร.๕ เป็นการสร้างระบบและกลไกของรัฐใหม่ เช่น กระทรวง ฯ กองทหารประจำการสมัยใหม่ ฯลฯ งานเหล่านี้ทำได้เลยเพราะเกณฑ์คนจากลูกหลานขุนนางหรือเจ้านายให้มาประจำทำงาน แต่ถ้าเป็นการปฏิรูปที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับลึกและกว้างลงไปยังราษฎร เช่น ระบบการศึกษา ที่ทำได้จำกัด สำหรับลูกคนมีฐานะ โรงเรียนก็มีแต่ของหลวง รวมถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย การปฏิรูปแบบหลังนี้เองที่จะนำไปสู่การเกิดชาติในความคิดของราษฎร แม้ ร.๖ ปลุกระดมความคิดเรื่องรักชาติ กรมพระยาดำรงราชานุภาพสร้างคำบรรยายประวัติศาสตร์ชาติไทย แต่ก็เป็นการสร้างจากบนลงล่าง เป็นจินตนาการของชนชั้นนำมากกว่าเป็นความรับรู้ในความเป็นมาของชาติตนที่เป็นของราษฎรจริง ๆ ดังนั้นกระบวนการสร้างรัฐไทยจึงดำเนินมาอย่างขัดกันโดยตลอด ด้านที่ปฏิรูปและทำให้เห็นได้ง่ายคือระบบราชการ และนโยบายที่รัฐต้องการเห็น ส่วนชาติที่เป็นจินตนาการร่วมกันของราษฎรไม่ค่อยเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าราษฎรไม่พยายามสร้างคติชาติของพวกเขาขึ้นมา กลุ่มลูกจีนในไทยยุคแรกสร้างสิ่งที่เป็นของชาติไทยเพื่อแสดงอัตลักษณ์ของพวกตนในนั้น เช่น มวยไทย หนังไทย ฯลฯ
ในยุคสงครามเย็น จอมพล ป. พิบูลสงครามรับความช่วยเหลือจากอเมริกา แต่ก็พยายามสร้างความเป็นไทย ผ่านการสร้างชาติในความคิดของราษฎร ได้หลวงวิจิตรวาทการสร้างละคร การรำ การร้อง รวมไปถึงนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่เนื้อเรื่องไม่ใหม่เพราะไม่เคยเป็นอาณานิคม จึงต้องไปยืมพล๊อตเรื่องประวัติศาสตร์สุโขทัยจาก ร.๖ และกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาใช้ใหม่ แต่ปรับเอาคติบูชิโดของญี่ปุ่นมาทำให้คนต้องสละเลือดเพื่อชาติ กระทรวงวัฒนธรรมในสมัยนั้นจึงมีภารกิจในการสร้างชาติให้แก่ราษฎร จะเป็นว่าชาติไทยไม่เคยสร้างขึ้นโดยราษฎรเองเลย
3. ไม่เห็นผลจากการใช้แผนที่และการสร้างหมู่บ้านในการปฏิบัตินโยบายของรัฐบาลไทยว่าเอาไปใช้อย่างไร เมื่อไร และได้ผลประการใด การเสนอรายงานของแฮงค์ (๑๙๗๔) ที่ทำให้ข้อมูลเดิมซึ่งไม่แน่นอนนั้นมีความชัดเจนและนิ่งมากขึ้น กับรายงานของชาร์ป ซึ่งเสนอให้รัฐไทยสนับสนุนการดำรงชีพของชาวเขาให้มีหลักฐานมั่นคงขึ้น หลังจากได้รับรายงานแล้ว รัฐบาลไทยและหน่วยงานต่างๆ มีใครรับไปปฏิบัติบ้าง และทำอย่างไร(บทที่ ๕) เช่นเดียวกับบทที่ ๖ การทำงานของศูนย์วิจัยชาวเขาจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ตำรวจตระเวนชายแดนกับมหาดไทยก็ทำสำรวจ แต่ไม่มีรายละเอียด ไม่เห็นภาพรวมของการทำแผนที่โดยฝ่ายไทยว่าเป็นอย่างไร มีความรู้ประเภทไหน
4. จุดหมายของรัฐไทยในการใช้แผนที่ คือ การควบคุมหมู่บ้าน ในทางปฏิบัตินั้นทำได้ยาก หากชาวบ้านไม่เห็นประโยชน์ของการตั้งรกรากแบบถาวร อันโยงไปถึงการผลิต การจำหน่าย การบริโภคและการสาธารณูปโภค รวมไปถึงหน่วยสุขภาพและโรงเรียนนั้น คือการทำให้ชาวบ้านเป็นเจ้าของตัวเองและเจ้าของพื้นที่ที่เขาอยู่ คือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน มีอำนาจในการค้าขาย พัฒนาคุณภาพชีวิต ป้องกันโรคภัย ดูแลวัฒนธรรม ฯลฯ ดังนั้นการเข้าใจและใช้แผนที่อย่างได้ผลต้องอาศัยร่วมมือกับสถาบันและเครื่องมืออื่นๆด้วย เช่น จากทัศนะของรัฐในการรู้และจัดการประชากร คือการทำสำมะโนประชากร การจัดลำดับของอดีตเช่น พิพิธภัณฑ์ เป็นต้น
เครื่องบินสอดแนม RF–101 หรือ Voodoo ที่ติดตั้งกล้องถ่ายภาพทางอากาศจำนวน 4 ตัวที่ด้านหน้าของเครื่องบิน