โดย ชุติเดช เมธีชุติกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
รูปที่ 1. เมื่อทหารไม่ทำตามกฎอัยการศึกที่ประกาศโดย ยุน ซอกยอล อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้
แต่สิ่งที่ปรากฏนั้น ไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมดา หรือเป็นเรื่องใช้เวลาไม่มาก แต่การอ่านหนังสือ ทหารมีไว้ทำไม บอกพวกเราว่าไม่ได้เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เราคิดกัน เกาหลีใต้ใช้เวลากว่า 40 ปีเพื่อหลุดพ้นวงจรของกองทัพปกครองประเทศ และวางกฎเกณฑ์ต่าง ๆ สร้างโครงสร้างเชิงสถาบัน และวัฒนธรรมอื่น ๆ เพื่อให้แน่ใจว่ากองทัพจะไม่กลับมาแทรกแซงการเมืองอีก ให้เรื่องการเมืองและการบริหารประเทศเป็นหน้าที่ของพลเรือนเท่านั้น
รูปที่ 2. แง่มุมสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือน-ทหาร
สำหรับผมแล้วจุดเด่นและน่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ นั่นคือการเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับกองทัพ (civil-military relations) ผ่านแนวคิดเรื่องการควบคุมทหารด้วยพลเรือนตามกรอบทฤษฎีใน 5 ประเด็นดังที่กล่าวมา นอกจากจะทำให้หนังสือน่าสนใจแล้ว ยังช่วยทำให้การเล่าเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองเกาหลีใต้และการเมืองไทยไม่น่าเบื่อด้วยวิธีการเล่าตามลำดับเหตุการณ์ แต่เป็นการเล่าที่มีจุดเน้นหรือช่วงเวลาที่สำคัญ ทำให้เห็นแง่มุมบางประการที่มองไม่เห็น เช่น บทบาทและพลวัตของกองทัพว่าส่งผลอย่างไรต่อระเบียบทางการเมืองของทั้งสองประเทศ ทำไมประเทศประเทศหนึ่งประสบความสำเร็จในการควบคุมกองทัพอย่างเกาหลีใต้ แต่กลับไทยกลับไปประสบความสำเร็จ เป็นต้น
รูปที่ 3. หน้าปกของหนังสือ The Soldier and the State: The Theory and Politics of Civil–Military Relations ของ Samuel Huntington พิมพ์ในปี 1957 (เล่มสีส้ม) และหนังสือ The Professional Soldier: A Social and Political Portrait ของ Morris Janowitz พิมพ์ในปี ในปี 1960 และแก้ไขใหม่ในปี 1971
ในคำถามข้อหลังนี้ก็ถูกตอบในหนังสือเล่มนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยนิธิได้พูดถึงประเด็นนี้อยู่เรื่อย ๆ ซึ่งอาจพูดโดยรวม ๆ ได้ว่าคือเรื่องวัฒนธรรมของกองทัพที่แตกต่างกันของทั้งสองประเทศ ภายใต้บริบททางประวัติศาสตร์และการเมืองที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องวัฒนธรรมนั้น ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ในตอนท้ายของบทความนี้ผมนำเสนอทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับกองทัพที่ไม่เชิงว่าใหม่ล่าสุดหรือร่วมสมัย แต่พอเทียบกับแนวคิด “ความเป็นมืออาชีพของทหาร” (military professionalism) หรือ “ตัวแบบการแยกพลเรือน-ทหาร” (segregation model) ของ Samuel Huntington (ในปี 1957) และ “ตัวแบบการบูรณาการพลเรือน-ทหาร” (integration model) ของ Morris Janowitz (ในปี 1960 และแก้ไขใหม่ในปี 1971) ก็ถือว่าเป็นทฤษฎีใหม่ล่าสุดซึ่งถูกนำเสนอครั้งแรกในปี 1995[4] ผมคิดว่าทฤษฎีดังกล่าวน่าจะเป็นหมุดหมายสำคัญต่อการตั้งคำถามต่อความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับกองทัพทั้งของไทยและประเทศอื่น ๆ ในอนาคตต่อไป
ทั้งหมดนี้น่าจะพอชี้ชวนให้ผู้อ่านพอเห็นภาพของหนังสือ ทหารมีไว้ทำไม ว่าหนังสือกับฉายภาพอะไรให้เราเห็น ก็คงเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อท่านอ่านมาถึงจุดนี้แล้ว จะไปกดซื้อหนังสือหรือทักไปทางเพจเพื่อขอซื้อหนังสือเลย หวังว่าคำโปรยที่ผ่านมาจะพอเชื้อเชิญให้ท่านได้ซื้อที่ดีมาก ๆ เล่มหนึ่งมาไว้ในครอบครองนะครับ
รูปที่ 4. หน้าปกของหนังสือ การยึดมั่นในอาชีพการเมือง (Politics as a Vocation) ภาคภาษาไทย โดย กมลรัตน์ ศีลประเสริฐ[5]
ก่อนที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับกองทัพนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่ากองทัพที่กล่าวนี้คือกองทัพสมัยใหม่ (modern military) ที่มีการถกเถียงกันว่าเป็นผู้สร้างหรือเป็นถูกสร้างขึ้นโดยรัฐสมัยใหม่ (modern state) ดังนั้นการเข้าใจกองทัพในความหมายนี้ จึงจะเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจก่อนว่ารัฐสมัยใหม่คืออะไร และกองทัพมีหน้าที่อะไรในรัฐสมัยใหม่
รูปที่ 5. Charles Tilly ผู้เขียนบทความชื่อ “War Making and State Making as Organized Crime” ในหนังสือ Bringing the State Back In[8]
หากพิจารณาในแง่ของทฤษฎีตามที่กล่าวมาก็จะเห็นว่าโดยทั่วไปนั้น กองทัพก็ควรอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลในฐานะผู้ได้รับสิทธิอันชอบธรรมผ่านกระบวนการการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือรัฐบาลสามารถสั่งการกองทัพได้ตามบทบาทหน้าที่ของตน นั่นคือการป้องกันภัยคุกคามจากภายนอกรักษาเขตแดนอธิปไตย กระนั้นจะเห็นว่าประวัติศาสตร์ไทยหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลและกองทัพนั้น กลับกลายความสัมพันธ์ที่มีแนวโน้มไปในทางที่กองทัพเข้ามาแทรกแซงการเมืองตลอดเวลากว่า 90 ปีนับตั้งแต่การปฏิวัติสยาม กองทัพทำรัฐประหาร (coup d'état) มา 13 ครั้ง ไทยถูกปกครองโดยรัฐบาลที่นำโดยคณะผู้นำทางทหาร (junta) มาเป็นเวลายาวนานตลอดในช่วงเวลา 90 ปีนี้ จึงดูเหมือนว่าประเทศไทยนั้นเป็นเสมือนราชอาณาจักรเสนานุภาพ (praetorian kingdom)[9] กองทัพชี้นำการปกครองและร่วมมือกับชนชั้นนำ ข้าราชการ เทคโนเครต และกลุ่มทุน หรือที่เรียกว่าระบอบการปกครองสีกากี (khakistocracy)[10] ประหนึ่งเป็นรัฐสมบัติส่วนตัว (patrimonial state)[11] ที่ยังไม่มีความเป็นรัฐสมัยใหม่ที่เอื้อต่อระบอบประชาธิปไตย โดยจะต้องกระทำการในนามของรัฐผ่านการสั่งการต่าง ๆ ด้วยระบบและโครงสร้างเชิงสถาบันที่ถูกออกแบบเอาไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามระบบกฎหมายหรือนิติรัฐ (rule of law) ไม่ว่าจะเป็นระบบราชการ พลเรือน กองทัพ และตุลาการ และเป็นการกระทำเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ อีกทั้งตัวรัฐเองจะต้องรับผิดชอบในเชิงประชาธิปไตย หรือพร้อมถูกตรวจสอบ หากกระทำผิดจริงก็ต้องพร้อมที่จะรับโทษตามกฎหมาย
หากพิจารณาเหตุผลแห่งการแทรกแซงทางการเมืองโดยกองทัพ จะมี 2 เหตุลผลหลัก ๆ ด้วยกัน คือ[12] 1) ความอ่อนแอของโครงสร้างทางสถาบันและการเมือง เช่น ความขัดแย้งรุนแรงจนอาจเป็นสงครามการเมือง เศรษฐกิจกำลังพังทลาย สังคมไม่มีระเบียบ การทุจริตคอร์รัปชัน รัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ รัฐบาลโกงกิน นักการเมืองเห็นแก่ตัว เป็นต้น และ 2) ความเข้มแข็งของกองทัพ ซึ่งเป็นลักษณะพื้นฐานที่กองทัพมีลักษณะเฉพาะ เป็นสังคมเป็นสายบังคับบัญชา มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย ไม่ยอมให้ใคร หรือกลุ่ม หรือหน่วยงานใครมาแทรกแซงการทำงานโดยง่าย และความเป็นมืออาชีพกับความเชี่ยวชาญของทหาร ทำให้ในลักษณะหนึ่งโครงสร้างเชิงสถาบันและสังคมของกองทัพจึงมีความเข้มแข็งและขีดความสามารถมากกว่าหน่วยงานอื่นของรัฐ และหากเราพิจารณานิยามของรัฐจากทฤษฎีมาร์กซิสม์ (Marxism) จะเห็นว่ารัฐเป็นเพียงเครื่องมือของระบบทุนนิม เป็นกลไกที่ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ทางชนชั้นเท่านั้น ในแง่นี้จึงอาจมองกองทัพว่าเป็นกลุ่มผลประโยชน์ (interest group) กลุ่มหนึ่งก็ว่าได้[13]
ลักษณะความสัมพันธ์แบบนี้คงจะบอกได้ว่ารัฐบาลของแพทองธาร ชินวัตร ไม่สามารถควบคุมกองทัพได้จริงหรือ? คำตอบคือ ‘ใช่’ และยิ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ในประเด็นพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ก็เป็นการตอกย้ำว่ารัฐบาลไม่สามารถสั่งการกองทัพได้โดยตรง กลับกลายเป็นว่าต้องใช้กระบวนการของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และมอบอำนาจเรื่องการควบคุมชายแดนและการปิดเปิดด่านชายแดนให้แม่ทัพภาคแทน[17] ทั้ง ๆ ที่กองทัพอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีรัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากรัฐบาลพลเรือน
ในเมื่อหนังสือ ทหารมีไว้ทำไม ช่วยให้เรากลับมาคิดใคร่ครวญต่อสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว ผมคิดว่าเราก็ควรคิดพินิจไปอีกระดับหนึ่ง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นประเด็นปัญหากลไกการควบคุมกองทัพโดยพลเรือน ที่ดูเหมือนจะพยายามแยกขาดและสร้างความเป็นคู่ตรงข้าม (dichotomy) ที่มิอาจผสานกันได้ ผลที่เกิดขึ้นทำให้สังคมบางสังคมไม่สามารถคิดถึงความเป็นไปได้อื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องแยกขาดพลเรือนและกองทัพขนาดนั้น ดังนั้นผมจึงขอเสนอ Concordance Theory มาลองสะท้อนย้อนคิดลองใช้ชุดคำถามหรือคำอธิบายนี้มาทำความเข้าใจสังคมไทยดูเสียหน่อย
รูปที่ 6.
Concordance Theory เป็นทฤษฎีที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหารในประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือประเทศประชาธิปไตยตะวันตก อย่าง สหรัฐอเมริกา อิสราเอล หรือประเทศประชาธิปไตยในละตินอเมริกาและเอเชีย อย่าง อินเดีย อาร์เจนตินา ปากีสถาน ใน 4 ประเทศเป็นประเทศที่มีขีดความสามารถของกองทัพค่อนข้างสูง และ 4 ใน 5 ของประเทศเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยและมีอาวุธนิวเคลียร์ นอกจากนี้กรณีของอิสราเอล อินเดีย และปากีสถาน ก็เป็นประเทศที่อยู่ภายใต้ภัยคุกคามจากภายนอกสูง แต่ก็ไม่มีการรัฐประหารเกิดขึ้น หรือกองทัพเข้ามาแทรกแซงการเมืองแต่อย่างใด ซึ่งทฤษฎีนี้มองว่าเวลาพิจารณาความสัมพันธ์ในประเด็นดังกล่าวที่ทำให้ทหารไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลยนั้น เพราะความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นใน 3 กลุ่ม ได้แก่ กองทัพ (military) ชนชั้นนำทางการเมือง (political elite) และพลเมือง (citizenry) ที่มีลักษณะความสัมพันธ์ของการเป็นหุ้นส่วน (partner) ที่พึ่งพาอาศัยกัน เป็นการสร้างความสัมพันธ์ในเชิงการร่วมมือและการอาศัยการเจรจาเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องแบ่งแยกหรือแยกขาดกันเลย[21]
นอกจากนี้ทฤษฎีนี้ยังชี้ว่าปัจจัยที่เอื้อให้เป็นเช่นนั้นได้ จะต้องพิจารณาปัจจัยเชิงสถาบันและวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ช่วยให้สร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้และจะต้องมีข้อตกลงร่วมกันระหว่างกองทัพ ชนชั้นนำทางการเมือง และพลเมืองใน 4 เรื่องด้วยกัน[22] ได้แก่ 1) องค์ประกอบทางสังคมของเจ้าหน้าที่ทหารในกองทัพ (the social composition of the officer corps) นั่นคือควรจะต้องทหารมืออาชีพที่ทำงานเพื่อหน้าที่ทหาร ความมั่นคง และความปลอดภัยของประเทศ ไม่ใช่เพื่อทหารที่มุ่งหวังในทางการเมือง 2) กระบวนการตัดสินใจทางการเมือง (political decision-making process) คือการที่มีโครงการเชิงสถาบันสำหรับการตัดสินใจต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกองทัพ เช่น งบประมาณ โครงสร้าง ขนาด เป็นต้น 3) กระบวนการสรรหาบุคลากร (recruitment method) ในกองทัพ หรือก็คือระบบการเกณฑ์ทหารที่ไม่ควรเป็นระบบบังคับ (coercive recruitment) ในลักษณะของการบังคับหากไม่เข้าร่วมจะใช้แนวทางของกฎหมายหรือภาษี แต่ควรเป็นระบบการสรรหาแบบโน้มน้าว (persuasive recruitment) มากกว่า การโน้มน้าวสำหรับ Schiff แล้วเป็นได้ทั้งสมัครใจหรือไม่สมัครใจ แต่เป็นลักษณะที่ขับเน้นด้วยความเชื่อในหน้าที่ความเป็นพลเมือง ความรักชาติและมาตุภูมิ (patriotism) 4) สไตล์ของกองทัพ (military style) ซึ่งเป็นทั้งมุมมองจากภายในและภายนอกทั้งในเชิงสัญลักษณ์และการปรากฎในที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาพลักษณ์ของกองทัพ วัตรปฏิบัติของกองทัพ และในสายตาของประชาชนมองกองทัพเป็นเช่นไร
ในแง่นี้ Concordance Theory จะเห็นได้ว่าเงื่อนไขที่จะทำให้ตัวแสดงทั้ง 3 มีความร่วมมือสอดประสานกันนั้น จะต้องมีการตกลงใน 4 เรื่องนี้ให้ดีจึงจะทำให้ความสัมพันธ์ที่สอดรับกันมีความยั่งยืน อีกทั้งก็จำเป็นที่จะต้องเข้าใจวัฒนธรรม ความเชื่อ และบริบทของตัวแสดงทั้ง 3 ในสังคมนั้น ๆ เป็นอย่างดี ดูว่าการจัดความสัมพันธ์แบบไหนจะทำให้กองทัพไม่เข้ามาแทรกแซงการเมือง แต่ละตัวแสดงรู้หน้าที่ของตนเอง ทำตามหน้าที่เพื่อผลประโยชน์สาธารณะ และไม่จำเป็นที่จะต้องใช้กลไกลการควบคุมกองทัพโดยพลเรือน
ทั้งหมดนี้จะเห็นว่า Concordance Theory ไม่ได้เพียงท้าทายความคิดของ Huntington เท่านั้น แต่ยังพยายามกระตุ้นให้พวกเราคิดและตระหนักถึงคำถามที่ว่า ท้ายที่สุดแล้ว “พลเรือน” ควรทำงานในทุกพื้นที่ของกองทัพจริงหรือ? หรือควรทำงานระดับไหนและแค่ไหน? หน้าที่ของกองทัพหรือหน้าที่ของทหารในรัฐสมัยใหม่คืออะไร? อะไรคือความหมายของทหารอาชีพ (professional soldiers)? หากเป็นการปกป้องอธิปไตยของดินแดนแล้ว ควรจัดวางความสัมพันธ์ในหน้าที่นี้ระหว่างรัฐบาลพลเรือนและกองทัพไว้เช่นไร? ปัจจัยเชิงสถาบันและวัฒนธรรมแบบใดที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหารจะสามารถเอื้ออำนวยและพึ่งพาซึ่งกันและกันได้ รับผิดชอบหน้าที่และรู้หน้าที่ของตน ต่างมุ่งมั่นเพื่อผลประโยน์สาธารณะ? แล้วสังคมไทยล่ะ? เราควรพิจารณาคำถามนี้หรือยัง? หรือเราต้องกลับไปอยู่ในภาวะแห่งความตึงเครียดที่มองพลเรือนและกองทัพเป็นคู่ตรงข้ามเสมือนหนึ่งศัตรูคู่อาฆาตมิอาจร่วมมือกันได้?
เช่นนั้นแล้วผมจึงขอให้แนะนำให้ทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ลองซื้อหนังสือ ทหารมีไว้ทำไม: การปฏิรูปกองทัพและสร้างประชาธิปไตยไทย-เกาหลี ของนิธิ เนื่องจำนงค์ มาอ่านเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะฉุกคิดและมองภาพสังคมไทยผ่านความสัมพันธ์พลเรือนและกองทัพดูเสียหน่อย…
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |