โดย ผศ. ดร. เหมือนมาด มุกข์ประดิษฐ์ (สาขาปรัชญา ธรรมศาสตร์)
ส่วนนี้ของหนังสือ ‘ว่าด้วยความหมายของชีวิต ทั้งของคนและสัตว์’ โดยแสดงบทความของ ไมเคิล เฮาส์เคลเลอร์ (Michael Hauskeller) ชื่อว่า (สำนวนของผู้รีวิวเอง) "อยู่อย่างหมา: ชีวิตของสัตว์ที่ไม่ใช่มนุษย์จะมีความหมายได้หรือไม่?" ("Living Like a Dog: Can the Life of Non-Human Animals Be Meaningful?" ผู้เขียน คือเฮาส์เคลเลอร์สรุปว่าชีวิตของสัตว์มีความหมายได้ เพราะมันมีชีวิตที่ดีได้ โดย “ดี” หมายถึง มีชีวิตที่มีสุขภาพจิต สุขภาพกาย ดีตามธรรมชาติของมัน มีสิ่งที่เป็นความสุขของมัน การที่มนุษย์ไม่สามารถเห็นโลกของหมาได้อย่างหมา หรือมีความสุขแบบแมวได้อย่างแมว ไม่ได้หมายความว่าชีวิตของสัตว์เหล่านั้นไม่มีความหมาย
เรื่องที่น่าสังเกตก่อนก็คือ คนที่สนใจสวัสดิภาพสัตว์ มักจะใช้คำว่า "non-human animal" แทนที่จะใช้ว่า "animal" เฉย ๆ นัยตรงนี้มีความสำคัญ เพราะถ้าเราพูดว่า animal หรือ สัตว์ โดยจัดวางให้ตรงข้ามกับ มนุษย์ มันสื่อว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นสัตว์ และยังมีนัยต่อไปอีกว่ามนุษย์นั้นมีสถานภาพพิเศษเหนือกว่าสัตว์ (จากวิธีคิดของปรัชญาตะวันตกที่ให้ค่ากับการใช้เหตุผล หรือ rationality) นักคิดฝ่ายที่ใส่ใจสวัสดิภาพสัตว์ หรือนักคิดที่ต้องการจะคิดเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง จึงมักใช้คำว่า non-human animal เพื่อหมายถึงสัตว์ ซึ่งสื่อว่า สัตว์คือ “สัตว์ที่ไม่ใช่มนุษย์” แปลว่า มนุษย์ก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง เป็นการทำให้มนุษย์กับ “สัตว์” เข้ามาอยู่ในสเปคตรัมเดียวกัน มาอยู่ในเส้นเดียวกัน แต่อาจจะแตกต่างกันเรื่องระดับของความรู้ตัว (self-consciousness) และการเป็นผู้ตัดสินการกระทำของตัวเอง ซึ่งบางครั้งใช้ว่าเป็น moral agent ซึ่งในบทความนี้ก็ดูเหมือนจะมีการใช้คำว่า agency หรือ agent ที่หมายถึงการเป็นผู้ตัดสินใจเอง เป็นผู้คิดเองว่าจะทำหร่ือไม่ทำอะไร จะมีชีวิตแบบไหน ดังนั้นลำพังชื่อบทความภาษาอังกฤษก็บอกแล้วว่าคนเขียนตั้งใจจะไม่ “ลำเอียง” โดยเอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง คนเขียนเห็นว่า มนุษย์ก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งด้วย มีความเกี่ยวโยงกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์ (ที่ไม่ใช่มนุษย์)
รูปที่ 1. ชีวิตของสัตว์ที่ไม่ใช่มนุษย์ สามารถมีความหมายได้หรือไม่?
ผู้เขียนบทความ (เฮาส์เคลเลอร์) ต้องการจะปัดเป่าข้อหาทั้งหลายทั้งปวงที่จะทำให้เราสรุปว่าสัตว์ไม่อาจมี “ชีวิตที่มีความหมาย” ("meaningful life") โดยยกกระแสการคิดสามแบบ จากนักคิดสามคนที่คิดเรื่องความหมายของชีวิต ผู้เขียนได้แยกแยะประเด็นพื้นฐานให้เห็นกรอบของการพิจารณาอย่างแจ่มชัด ตามแบบของบทความทางปรัชญา คือวิเคราะห์ก่อนว่า เวลาเราถามถึง “ความหมาย” มันหมายถึงอะไร ทีนี้คำว่าความหมาย มันมีความหมายได้หลายอย่าง เช่นเราบอกว่า ประโยคภาษาอังกฤษนี้ มีความหมายอย่างไร มันมีความหมายหรือไม่ หมายความว่าเรา แปล สัญลักษณ์หนึ่งให้เป็นอีกแบบหนึ่ง คือแปลภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่ง ถ้าเราบอกว่าประโยคนี้ “ไม่มีความหมาย” เช่นเขียนผิดไวยากรณ์ ทำให้อ่านไม่รู้เรื่อง เราก็หมายความว่า มันสื่อความหมายไม่ได้ แต่ว่าเมื่อเราถามถึง “ความหมาย” ของชีวิต มันต่างกับที่กล่าวมา คือความหมายของชีวิต มันคือความสำคัญของชีวิต ผู้เขียนเล่าถึงการที่ ชีวิตจะมีความสำคัญ ต้องทำอะไรที่สำคัญ ต้องมีเป้าหมาย ชีวิตของคนที่อยู่ไปวัน ๆ เสพสำราญไปวัน ๆ เราคิดว่า “ไม่มีความหมาย” บางทีผู้เขียนใช้ว่า ไม่ “มีค่าที่จะมีชีวิตอยู่” ("not worth living") ดังนั้นเราได้ประเด็นที่ว่า ความหมาย มันเกี่ยวกับเป้าหมายอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับคุณภาพชีวิต เกี่ยวกับความคิดว่าชีวิตนั้น “มีค่่า” ("worth") หรือไม่
รูปที่ 2. ภาพวาด The Death of Socrates (1787) โดย Jacques-Louis David
เมื่อได้พื้นฐานความเข้าใจตรงกันเช่นนี้แล้ว ผู้เขียนก็ได้กล่าวถึงความคิดสามแบบที่จะทำให้เราคิด (อย่างผิดๆ) ได้ว่า ชีวิตสัตว์ไม่มีค่า หรือไม่มีความหมาย (meaningless) ความคิดแบบแรกมาจากงานของนักปรัชญา ซูซาน วูล์ฟ (Susan Wolf) ที่บอกว่า สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย คือการเข้าไปเกี่ยวข้อง มีปฏิสัมพันธ์ (active engagement) ในสิ่งที่เรารัก และสิ่งที่เรารักนั้นต้องเป็นสิ่งดีหรือพึงปรารถนาแบบภววิสัย ("objective attractiveness") มีการยกตัวอย่างเทพปกรณัมกรีก เรื่องตำนานซิซิฟัส ("The Myth of Sisyphus") ซึ่งถูกเอามาเขียนเป็นบทความโดยนักปรัชญาสาย Existentialism ชื่ออัลแบร์ กามูส์ (Albert Camus) เมื่อปี 1942 เป็นเรื่องของคนที่ถูกพระเจ้าลงโทษด้วยการให้ผลักหินขึ้นหน้าผา เมื่อถึงช่วงบนสุดก็ให้หินหล่นลงมายังดิน เพื่อให้ซิซิฟัสผลักหินอยู่เช่นนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ผู้เขียนเล่าว่าวูล์ฟกล่าวว่าชีวิตเช่นนี้ แม้หากตัวผู้มีชีวิตเองมีความสุข แต่ก็ไม่ใช่ชีวิตที่ “มีคุณค่า” (เพราะการผลักหินไป ๆ มา ๆ โดยไม่นำไปสู่อะไรเลยไม่อาจทำให้คิดได้ว่ามันมีคุณค่า)
รูปที่ 3. ทฤษฎีความหมายของชีวิตของซูซาน วูล์ฟ
ความคิดที่สองคือความคิดของ แอนติ เคาพิเนน (Antti Kauppinen) ที่พูดด้วยสำเนียงของนักคิดสายอริสโตเติล (Aristotelians) เมื่อเขาพูดถึง “เป้าหมาย” (telos) ของชีวิต มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เล่าเรื่องให้ตัวเองฟัง เห็นการกระทำของตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของ เรื่องเล่า (narrative) เห็นโมเมนต์ของชีวิตตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของภาพชีวิตโดยรวม ชีวิตที่มีความหมายคือชีวิตที่เล่าได้ว่ามันคือเรื่องอะไร และเราสามารถเห็นได้ว่าเรื่องนั้นมันมีความหมาย จะมีความหมายได้จะต้อง 1. มีเป้าหมาย และเป้าหมายจะต้องมีค่า (valuable) 2. การบรรลุเป้าหมายจะต้องมีความยากลำบากพอสมควร 3. เราทำได้อย่างโดดเด่น ใครแทนไม่ได้ 4. เราประสบความสำเร็จพอสมควร 5. ความหมายนั้นยั่งยืน ไม่อยู่ชั่วคราว
รูปที่ 4. ทฤษฎีความหมายของชีวิตของแอนติ เคาพิเนน โดยใช้ตัวอย่าง ‘เรื่องเล่า’ ของจอห์น แอดัมส์-ประธานาธิบดีคนที่ 2 ของสหรัฐฯ; จะเห็นว่าเรื่องเล่าของแอดัมส์ แสดงให้เห็นว่าเขามีชีวิตที่มีความหมาย โดยได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในกลุ่มบิดาผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา (หมายเหตุ: John Adams (2008) เป็นมินิซีรีย์ซึ่งพอล จิอาแมตติ รับบทเป็นจอห์น แอดัมส์)
ความคิดนี้สื่อว่าชีวิตที่มีค่า จะต้องทำอะไรบางอย่างที่มีค่า จะต้องเป็นโปรเจคใหญ่ที่สำคัญ (ไม่ใช่การได้กินอาหารร้านป้าหน้าปากซอย ซึ่งต่อให้อาหารเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต แต่การเดินไปหน้าปากซอยเพื่อซื้ออาหาร คิดไม่ได้ว่าเป็นโปรเจคสำคัญที่จะทำให้ชีวิตมีความหมาย) เคาพิเนนเห็นว่า ชีวิตที่มีความหมาย จะต้องมีความหมายแบบภววิสัย คือไม่ใช่แค่เราคิดเอาเอง แต่จะต้องเป็นสิ่งที่คนทั่วไปเห็นได้ว่ามีความหมาย เช่นทำดีให้สังคม ต่อสู้เพื่ออะไรสักอย่างที่ดีและยาก เป็นประโยชน์ มีความยั่งยืน ซึ่งนี่เป็นความคิดที่ตรงกับคำว่า Eudaimonia ของอริสโตเติล (แม้ว่าผู้เขียนบทความ คือเฮาส์เคลเลอร์ ไม่ได้กล่าวคำนี้ไว้) ความหมายของชีวิตในแง่นี้จึงเกิดเมื่อเรามองเห็นภาพชีวิตตัวเองแล้วชอบมันได้ เห็นได้เองว่าคุ้มค่าที่จะมีชีวิตอยู่
ความคิดที่สาม คือความคิดแบบ ริชาร์ด เทเลอร์ (Richard Taylor) ที่บอกว่า ความหมายของชีวิตต้องมาจากการสร้างสรรค์อะไรบางอย่าง คนอย่างซิซิฟัสไม่อาจมีความหมายในชีวิตได้เพราะไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเลย เพราะว่าผลักหินอย่างเดียว เหมือนกับที่แมงมุมชักใยก็ไม่สร้างสรรค์อะไรเลยเพราะว่าทำตามสัญชาติญาณ พระอาทิตย์ขึ้นก็ไม่สร้างสรรค์ เพราะว่าเหมือนเดิมทุกวัน แต่ว่าคนนั้นสร้างสรรค์ได้ ศิลปิน นักประดิษฐ์ และมนุษย์ทั่วไป สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ คือ “เลือกทำโดยอิสระ” (freely chosen) จากกลไกของจักรวาลหรือสัญชาติญาณ
รูปที่ 5. ทฤษฎีความหมายของชีวิตของริชาร์ด เทเลอร์ โดยใช้ตัวอย่างของพี่น้องไรต์ ผู้ออกแบบและสร้างเครื่องบินที่บินได้จริงๆ เป็นคนแรก ; งานของพวกเขาเป็นพื้นฐานสำคัญให้กับคนอื่น ๆ ในการประดิษฐ์เครื่องบินที่มีประสิทธิภาพในการบินที่ดีขึ้น บินได้นานขึ้น เร็วขึ้น และปลอดภัยขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายมาเป็นเครื่องบินที่เราเห็นในปัจจุบัน
ผู้เขียน (เฮาส์เคลเลอร์) ไม่เห็นด้วยกับทั้งสามความคิด เพราะว่าเอาประสบการณ์ของมนุษย์เป็นศูนย์กลางที่จะเรียกว่า อะไรคือสร้างสรรค์ อะไรคือสิ่งที่เรียกว่า มีความหมาย ผู้เขียนกล่าวว่า สัตว์ก็มีสิ่งที่มีความหมายในชีวิตของมัน มีสิ่งที่มันสนใจ มีสิ่งที่ทำให้ชีวิตของมันคุ้มที่จะอยู่หรือไม่คุ้มที่จะอยู่ (ที่ไม่คุ้มจะอยู่ ยกตัวอย่างเช่นสัตว์ที่ถูกกักขัง ไม่ให้ใช้ชีวิตตามแบบที่จะทำให้มันมีความสุข) สัตว์ไม่อาจมีประสบการณ์ เข้าใจ เข้าถึง “ความหมาย” แบบมนุษย์ มนุษย์ก็ไม่อาจมีประสบการณ์ เข้าใจ เข้าถึง “ความหมาย” แบบสัตว์ด้วยเช่นกัน ถ้าเราถามหมา หมาจะบอกว่าชีวิตมนุษย์ไม่มีค่าที่จะมีชีวิตอยู่ (not really worth living) เพราะวัน ๆ นั่งจ้องแต่คอมพิวเตอร์ ขยับนิ้วไปมา นี่จะนับเป็นชีวิตที่มีค่าควรจะอยู่ได้อย่างไร ผู้เขียนจึงสรุปว่า ถ้าเราจะคิดว่าชีวิตมนุษย์มีคุณค่าได้ในแบบของมนุษย์ เราก็ต้องคิดว่าสัตว์ก็มีชีวิตที่มีคุณค่าได้ในแบบของสัตว์ นักคิดที่ยกมาสามคนข้างต้น ล้วนสร้างเงื่อนไขให้ “คุณค่า” หรือ “ความหมาย” นับเอาในแบบของมนุษย์ จึงไม่เป็นข้อโต้แย้งที่มีน้ำหนัก ที่จะบอกว่าชีวิตของสัตว์ไม่มีความหมาย
ข้าพเจ้า ผู้รีวิว ไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของผู้เขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออ่านฉบับภาษาอังกฤษ จะเห็นชัดว่าผู้เขียนมีการใช้คำหลายคำเหมือนคิดว่าจะแทนกันได้ เช่นคำว่า ความหมาย “ใน” ชีวิต (meaning in life) และความหมาย “ของ” ชีวิต (meaning of life) ซึ่งผู้เขียนไม่ใช้คำว่า ความหมายของชีวิต ตรงๆ แต่ใช้คำว่า “ชีวิตที่มีคุณค่า” (a life worth living) ทั้งสามคำ หรือวลี นี้ความหมายต่างกัน การที่หมา มีความหมาย “ใน” ชีวิต คือมีสิ่งที่มันรัก มีสิ่งที่จะทำให้มันสุขหรือทุกข์ เช่นการไม่ถูกฆ่า ไม่ถูกรังแก ไม่หิวโหย มีขนมหมากิน ได้รับความรักความอาทรจากคนที่ดูแลมัน ถ้ามีสิ่งเหล่านี้ หมาจะมี “ความสุข” (pleasure ไม่ใช่ eudaimonia หรือความสุขในภาพรวม หรือการมีชีวิตที่ดี) ถ้าเป็นทุกข์ทรมานก็อาจจะไม่มี “ชีวิตที่มีคุณค่าพอที่จะอยากมีชีวิตอยู่” (worth living) ซึ่งคนที่เป็นทุกข์ คนทรมาน คนป่วย ก็เป็นเหมือนกัน (จึงมีขบวนการที่เรียกร้องสิทธิในการตาย สิทธิในการได้รับความช่วยเหลือจากแพทย์ให้ตาย)
ดังนั้นเราต้องแยกว่า ชีวิตจะ “คุ้มอยู่” หรือไม่ เป็นคนละเรื่องกับการมี “ความหมายของชีวิต” และทั้งคู่ก็ยังต่างจาก “ความหมายในชีวิต” ความหมายในชีวิตคือมีสิ่งที่ทำให้มีสุขมีความสำราญ อยากจะอยู่; ความหมายของชีวิต คือภาพรวมที่เมื่อเรามองย้อนกลับมาแล้ว เราเห็นว่าชีวิตตัวเองมีคุณค่าไหม และการมีชีวิตที่คุ้มจะอยู่ หมายถึงเมื่อมีความหมาย “ใน” ชีวิตแล้ว เราสามารถเข้าถึงความหมาย “ใน” ชีวิตเหล่านั้น อย่างเพียงพอที่จะทำให้เราไม่อยากตายหรือเปล่า
เมื่อแยกแยะดังนี้ จะเห็นว่า คนที่บอกว่า สัตว์ไม่มีความหมาย “ของ” ชีวิต หมายถึงมันไม่อาจมองเห็นชีวิตตัวเองในภาพรวมได้ ไม่อาจเล่าเรื่องให้ตัวเองฟังได้เหมือนกับที่มนุษย์ทำ (โดยสัญชาติญาณ มนุษย์ไม่อาจไม่เล่าเรื่องให้ตัวเองฟังได้ เราไม่อาจฟังเรื่องคนเล็กคนน้อยถูกบูลลี่รังแก โดยไม่เล่าในภาษา คิดในน้ำเสียง ที่แสดงให้เห็นว่านี่เป็นเรื่องอันควรโกรธได้ เราไม่อาจฟังเรื่องคนที่เสียสละชีวิตตัวเองเพื่อคนอื่น โดยไม่เล่า ไม่คิด ในน้ำเสียง ที่แสดงให้เห็นว่านี่เป็นเรื่องประเสริฐได้ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต “ทางจริยธรรม” หรือ moral being ในความหมายนี้)
สัตว์อย่างหมา ที่เราเชิดชูความจงรักภักดีของมันต่อเจ้าของ ไม่อาจมีการคิดวิเคราะห์ วิพากษ์ เล่าเรื่อง (narrate) ชีวิตของเจ้าของ ได้ หมาของฮิตเลอร์ก็รักฮิตเลอร์ (ฮิตเลอร์มีหมาจริง ๆ ที่รักเขามาก) หมาไม่อาจคิดสะท้อน (เหมือนมนุษย์) ได้ว่า นี่คือคนที่เพิ่งฆ่าคนยิวไปห้าล้านคน ฉันมาทำอะไรกับคนแบบนี้! หมาคิดสะท้อนชีวิตตัวเองไม่ได้ สะท้อนชีวิตคนอื่นก็ไม่ได้ จึงไม่อาจมองในภาพรวมได้ว่า ชีวิตมีหรือไม่มีความหมาย แต่รู้ว่ามี “สิ่ง” ที่มีความหมายสำหรับมัน เช่นขนม เจ้าของ และอื่นๆ
รูปที่ 6. ฮิตเลอร์กับสุนัขที่เขารักชื่อบลอนดี
ผู้เขียนทำประเด็นเรื่องความหมาย ของ ชีวิต และความหมาย ใน ชีวิต ให้สับสน โดยเอาไปปนกับความคิดเรื่องชีวิตที่ คู่ควร จะมีชีวิตอยู่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับความหมายของชีวิตเลย (คนที่มีชีวิตที่มีความหมาย อาจจะป่วยและอยากตายอย่างมีศักดิ์ศรีก็ได้ ในกรณีนั้นก็หมายความว่าเขาตัดสินว่าชีวิตเขา ไม่มีค่าควรจะอยู่ หรือไม่คู่ควรจะอยู่)
ผู้เขียนควรจะคิดว่า ความหมาย “ของ” ชีวิตนั้น เป็นลักษณะของมนุษย์ เพราะมนุษย์เล่าเรื่อง มีภาษา มีความสำนึกเห็นตัวเองมีชีวิตอยู่ในกาลเวลา เห็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต จึงเกิดความอยากจะมีความหมาย “ของ” ชีวิต ขึ้นมา; การที่สัตว์ไม่มีลักษณะเช่นนั้นจึงไม่มีความหมาย “ของ” ชีวิต; แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีความหมาย “ใน” ชีวิต; มันมี มันรู้จักเจ็บ รู้จักกลัว รู้จักสุขทุกข์ ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ที่มีความหมาย “ของ” ชีวิต (ที่เป็นภววิสัยพอสมควร หมายถึงเป็นชีวิตที่ไม่เลวร้าย โหดร้ายทารุณ ไร้ความเวทนาสงสาร) ก็จะต้องให้ความสำคัญกับความหมาย “ใน” ชีวิตสัตว์ (เช่นไม่ไปฆ่ามัน ไม่ทำร้ายมัน)
การบอกว่าสัตว์ไม่มีความหมายของชีวิต ไม่ได้หมายความว่าชีวิตสัตว์สำคัญน้อยกว่าเรา (สำหรับตัวสัตว์เอง) และไม่ได้หมายความว่าเราจะไปละเมิดชีวิตสัตว์ได้ มนุษย์เป็นสิ่งที่ “เลือก” การกระทำของตัวเอง (เป็น agent คือเป็นผู้เลือกกระทำการ) และเราตัดสินการเลือกของตัวเองและผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา มนุษย์จึงควรจะมีชีวิตที่ชอบตัวเองในกระจกได้ นั่นหมายความว่า มนุษย์จะต้องเห็นความสำคัญของความทุกข์และสุขของสัตว์ โดยไม่ต้องบอกว่า ชีวิตของสัตว์มีความหมาย “ของ” ชีวิต
อันที่จริง ความพยายามที่จะทำให้สัตว์ มีความหมาย “ของ” ชีวิต อาจจะเป็นความพยายามทำให้สัตว์เหมือนมนุษย์ และนั่นอาจจะเป็นการคิดแบบมีมนุษย์เป็นศูนย์กลางก็เป็นได้
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |