เกริ่นนำ
แม้หนังสือ “ปรัชญาหมาและสัตว์ศึกษาที่มี(ห)ม(า)นุษย์เป็นศูนย์กลาง” อาจไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อโต้แย้งกับศาสนาเป็นหลัก แต่เพราะศาสนาส่วนใหญ่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง คือมองว่ามนุษย์ประเสริฐกว่าสัตว์อื่นๆ ศาสนาจึงกลายเป็นคู่ถกเถียงของหนังสือเล่มนี้ไปด้วย นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ศาสนิกควรอ่านเพื่อเข้าใจมุมมองอื่นๆ เช่น จริงหรือที่ชีวิตมนุษย์มีความหมายมากที่สุด มีคุณธรรมและสร้างคุณูปการแก่โลกมากที่สุด หรือที่เป็นเช่นนั้นเพราะยกยอตัวเอง ใช้เครื่องมือของตัวเองมาตัดสินสัตว์อื่นๆ
ศาสนาสายอับราฮัม คือ ยูดาย คริสต์และอิสลาม มักจะเริ่มด้วยเรื่องพระเจ้าสร้างโลก และมนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้างที่สำคัญที่สุดเสมือนเงาของพระเจ้า มนุษย์เป็นเหมือนลูกรัก แต่ก็จะถูกทดสอบศรัทธาให้ตั้งอยู่ในความดี และพฤติกรรมของพวกเขาในโลกนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าจะได้ใช้ชีวิตนิรันดร์อย่างมีความสุขในสวรรค์ไหม
เมื่อเป็นเช่นนี้ สัตว์อื่นๆ จึงเป็นเหมือนสิ่งถูกสร้างมาเพิ่มเติม ประดับตกแต่ง หรือเป็นอาหาร/เครื่องมือให้มนุษย์ดำรงอยู่ได้
รูปที่ 1. พระเจ้าสร้างสัตว์ต่างๆ เพื่อมนุษย์
ศาสนาที่สอนเรื่องกรรม/การเวียนว่ายตายเกิด เช่น ฮินดู พุทธ เชน มองว่าการได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก และเป็นโอกาสที่ดีในการฝึกตนให้พ้นกิเลสเพื่อเข้าสู่โมกษะหรือนิพพาน ขณะที่สัตว์อื่นๆ มีข้อจำกัด
ความเหมือนกันอีกอย่างของศาสนาทั้งสองแบบนี้คือ แม้จะมองว่ามนุษย์สูงกว่าสัตว์อื่นๆ แต่ก็ยังสอนให้มนุษย์มีเมตตาต่อสัตว์ ในแบบที่เคร่งมากๆ ก็ให้งดเว้นการฆ่า/กินเนื้อสัตว์ไปเลย แบบที่เบาลงมาก็ให้ทำร้ายสัตว์เท่าที่จำเป็นหรือหากต้องฆ่าก็ให้ใช้มีดที่คมเพื่อลดความทรมานเช่นที่ปรากฎในอิสลาม การเกิดขึ้นของศาสนาคริสต์ก็ช่วยยกเลิกการฆ่าสัตว์บูชายัญแบบศาสนายูดาย (DeMello, 2012, p. 137)
รูปที่ 2. เดรัจฉานภูมิ ซึ่งอยู่ต่ำกว่ามนุษยภูมิ (
ข้อจำกัดของสัตว์ในมุมมองพุทธ
แน่นอนว่าอาจมีการตีความอื่นๆ เพื่อยกย่องสัตว์เช่นกัน อิสลามเองได้ระบุว่า สัตว์ประเภทอื่นๆ ทั้งในสวรรค์และโลกก็ล้วนบูชา/สรรเสริญพระเจ้า แค่มนุษย์อาจไม่เข้าใจวิธีการ/รูปแบบในการสรรเสริญของพวกเขา (Quran 17:44) แต่คำสอนแบบนี้ก็ถูกเอามาสอนเพื่อชี้ให้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามากกว่า ในศาสนาพุทธเอง เรื่องราวของสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมาก เพราะสัตว์เดรัจฉานเป็นหนึ่งใน 31 ภูมิแห่งการเวียนว่ายตายเกิด และพระพุทธเจ้าเองก็เคยเป็นสัตว์มาหลายครั้ง
จวมานสูตร ได้พูดถึงภพภูมิมนุษย์ว่าเป็นสุคติหรือเป็นความปรารถนาของเทวดาทั้งหลาย คือเมื่อหมดบุญจากการเป็นเทวดา การได้มาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะมีโอกาสทำความดีแล้วไปเกิดในสวรรค์ได้อีก เช่นเดียวกับคำสอนของสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในหนังสือที่โด่งดังชื่อ “ชีวิตนี้น้อยนัก” ที่เสนอว่าชีวิตของมนุษย์สำคัญมากๆ เพราะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ การจะไปสูงไปต่ำก็เลือกได้ในชีวิตนี้เท่านั้น (2549, น. 61)
รูปที่ 3. หนังสือ “ชีวิตนี้น้อยนัก” ของสมเด็จพระญาณสังวรฯ
ศาสนาพุทธมองว่าสัตว์ก็มีขันธ์ 5 แบบเดียวกับคน (แต่มีข้อจำกัดในการบรรลุธรรม) การเกิดเป็นสัตว์จึงมีความรู้สึกหรือมีคุณธรรมบางอย่างที่สามารถสร้างประโยชน์หรือทำให้ไปเกิดในภพที่ดีกว่าได้ด้วย เช่น โฆษกเทพบุตร ที่เคยเป็นหมาแต่มีความรักต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า พระได้ให้เศษข้าวแก่เขา เขาเคยวิ่งนำทาง (นิมนต์) ให้พระมารับอาหารที่บ้าน ช่วยเห่าไล่สัตว์ร้ายข้างทาง เมื่อพระเหาะจากไป หมาก็ใจสลายและตายไปเกิดเป็นเทพบุตร (สามาวดี ขุททกนิกาย)
อรรถกถามัณฑูกเทวปุตตวิมาน ขุททกนิกาย เล่าถึง “กบ” ที่กำลังฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ แม้ไม่เข้าใจเนื้อหาเพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ก็ยึดเอาว่านั่นเป็นธรรมะ มีใจผูกกับการฟัง ถูกคนเลี้ยงวัววางไม้เท้าทับหัวจนตาย ก็ไปเกิดเป็นเทวดา ศาสนาพุทธดูจะเปิดโอกาสแก่สัตว์อยู่บ้าง ซึ่งจริงๆ สัตว์ดูจะมีศักยภาพมากหากเป็นตัวละครในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าเองเช่นที่พบในชาดก บ้างก็สอนผู้คนให้อยู่ในศีลธรรมด้วย แต่เพราะคำสอนส่วนมากในคัมภีร์โปรโมทสถานะของมนุษย์ กอปรกับการตีความแบบสมัยใหม่ ชาวพุทธจึงมองชาดกว่าเป็นนิทานสอนธรรมะ มากกว่าจะเชื่อว่ากวางเข้าวังไปเทศน์สอนพระราชาได้จริงๆ
รูปที่ 4. ตัวอย่างคำสอนที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (
พุทธมหายานมีตัวอย่างที่ยอมรับว่าสัตว์สามารถบรรลุธรรมได้ เช่นในคัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตร ธิดาของสาครนาคราชบรรลุโพธิญาณเพราะฟังสัทธรรมปุณฑริกสูตรทั้งที่ตนเป็นนาค (Kubo & Yuyama, 2007, p. 184) ซึ่งขัดกับวิธีคิดแบบเถรวาทมาก พระสูตรนี้อาจใช้เพื่อโปรโมทมหายานที่ว่า “ทุกสรรพสัตว์มีศักยภาพในการบรรลุธรรม” แต่มหายานก็ยังรักษาขนบเดิมไว้ คือเมื่อบรรลุแล้วเธอก็หายจากการเป็นนาค มีรูปร่างเหมือนมนุษย์/เทพและเป็นเพศชายด้วย เพราะพระพุทธเจ้าไม่สามารถเป็นหญิงได้ นี่เป็นข้อจำกัดที่ศาสนาพุทธมีต่อสัตว์และผู้หญิง
ศาสนาที่มองว่าสัตว์สูงส่งกว่ามนุษย์
จริงๆ เราเคยมีศาสนาที่ให้ความสำคัญกับสัตว์มากกว่ามนุษย์ นั่นคือ Church of Euthanasia (CoE) ที่ก่อตั้งโดย Chris Korda และ Robert Kimberk ที่เมืองบอสตัน ปี ค.ศ. 1992 คำสอนหลักของศาสนานี้คือ “หากอยากปกป้องโลก จงฆ่าตัวตายซะ” เพราะเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ได้ทำลายความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตบนโลกลงอย่างมาก แต่มนุษย์ก็หลงคิดว่าตัวเองสำคัญที่สุด ทั้งที่โลกจะดีกว่านี้หากไม่มีมนุษย์
รูปที่ 5. Church of Euthanasia
พิธีกรรมทางศาสนาของ CoE คือการร่วมรณรงค์ให้มีการทำแท้งถูกกฎหมายเป็นต้น เพื่อลดจำนวนประชากร วิธีคิดของ CoE ถูกนิยามให้เป็น anti-humanism ซึ่งขัดกับการตีความกระแสหลักของศาสนาต่างๆ ในแง่ที่ว่า ชีวิตมนุษย์มีค่ามาก การฆ่าคนจึงเป็นบาปใหญ่หรือไม่ควรทำ และนี่คือตัวอย่างบทสวดมนต์ที่พวกเขาใช้
“ข้าแต่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ฉันเป็นผู้ไม่คู่ควร เผ่าพันธุ์ของฉันได้ทำให้ตัวเองเสื่อมเสีย ในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่หรือเคยมีชีวิตอยู่ เผ่าพันธุ์ของฉันต่ำต้อยที่สุด ต่ำกว่าดอกไม้ที่เติมเกสรอันหอมหวานในอากาศ ต่ำกว่าต้นไม้ที่ห้อมล้อมโลกด้วยรากของมัน ต่ำกว่าเหล่าแมลง ซึ่งเป็นผู้ปกครองโลก” (Buaban, 2024, p. 166)
เราตัดสินชีวิตสัตว์อื่น/คนอื่นได้จริงหรือ
หนังสือ “ปรัชญาหมา” ชวนให้เราทำความเข้าใจสัตว์อื่นมากขึ้น เช่นในบทที่ 2 “ชีวิตของสุนัข: สัตว์สามารถใช้ชีวิตที่มีความหมายได้หรือไม่” เขียนโดย ไมเคิล เฮาส์เคลเลอร์ แปลโดย คริษฐป์ จิญญา ที่เล่าให้เห็นว่าคนมักมองว่าสัตว์อยู่ในสถานะที่ต่ำกว่า หากจะเปรียบเทียบว่าชีวิตคนไร้ค่าก็มักจะเทียบกับสัตว์ ซึ่งใช้ชีวิตซ้ำซากจำเจ ไม่ทะเยอทะยาน
ธาดดีอุส เมตซ์ (Thaddeus Metz) เป็นต้น เสนอว่า เราจะพบความสุขได้ด้วยการก้าวข้ามธรรมชาติของความเป็นสัตว์ในตัวเรา และเชื่อมโยงกับความดีงามที่อยู่เหนือสิ่งที่เรามีร่วมกับสัตว์อื่นๆ และเป็นไปไม่ได้สำหรับสัตว์อื่นๆ ที่จะรู้จักใช้เหตุผลแบบคน (น. 14)
รูปที่ 6. เมตซ์เชื่อว่าชีวิตของสัตว์ไม่มีความหมาย
การตัดสินว่าการกระทำใดมีคุณค่าหรือมีความสุขจริงไหมเป็นสิ่งที่ทำยาก ไม่ใช่แค่ความเป็นอัตวิสัยที่ความชอบ/เหตุผลของแต่ละคน/ตัวไม่เหมือนกัน แต่เพราะความเป็นภววิสัยหรือการพยายามหาคุณค่า/ตัวชี้วัดกลางๆ ก็มีปัญหาด้วย เช่นที่คริษฐป์ จิญญา ตั้งคำถามว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่านกที่ทำรังหรือลิงที่กระโดดโหนไปมาไม่มีความคิดสร้างสรรค์ (น. 10) เช่นเดียวกับคนที่นั่งดูซีรี่หรือละครน้ำเน่าได้ทั้งวัน ว่าไม่น่าจะมีประโยชน์หรือเป็นความสุขที่แท้จริง แต่อย่างน้อยถ้าเขาทำแล้วทุกข์ เขาคงอดทนทำแบบนั้นนานๆ ไม่ได้ (น. 18)
การอ้างว่าสิ่งที่ดี/มีความหมายจะต้องสร้างคุณูปการต่อสังคมก็มีปัญหา สัตว์ที่ถูกทดลองทางการแพทย์ แม้จะไม่มีความสุข ก็จะถูกคนมองว่ามีประโยชน์ ชีวิตมีความหมาย “แก่มนุษยชาติ” (น. 35) จริงๆ แล้วเราตัดสินไม่ได้เลย ว่าหากคน/สัตว์อื่นใช้ชีวิตต่างจากเรา เขาจะไม่มีความสุขหรือไม่มีความหมาย เช่น เดินจงกรม นั่งสมาธิ หรือ ละหมาด อ่านกุรอาน วันละ 10 ชั่วโมง คนที่ไม่เชื่อแบบนั้นก็มองว่าเป็นการกระทำที่เสียเวลาเปล่า ไปเก็บขยะข้างถนนวันละชั่วโมงยังเกิดประโยชน์กว่า แต่สำหรับศาสนิกแล้ว สิ่งที่พวกเขาทำอยู่เป็นสิ่งที่ยากกว่าและมีความหมายมากกว่าด้วย
รูปที่ 7. ไลกาคือตัวอย่างหนึ่งของสุนัขที่ทำประโยชน์ให้กับมนุษยชาติ
เมื่อต้องมองมุมอื่นๆ แบบที่หนังสือเล่มนี้นำเสนอเกี่ยวกับสัตว์ มันกลับช่วยให้เราหันมามองมนุษย์ด้วยกัน ผู้ที่เรามักตัดสินคุณค่าชีวิตของเขา อ่านเล่มนี้แล้ว ศาสนิกอาจเห็นว่าการเข้าถึงความสุขมีในแนวทางอื่นๆ ที่นอกเหนือจากที่คัมภีร์ศาสนาของตนสอน คนอื่นๆ ควรมีสิทธิที่จะเลือกสร้างความหมาย (หรือไม่สร้างความหมายอะไรเลย) ในแบบของเขาเอง มิใช่แค่ใช้ความเชื่อทางศาสนาของตนไปตัดสินผู้อื่น แบบที่เรามักทำเช่นนั้นกับสัตว์
สุดท้าย ข้อเสนอของเฮาส์เคลเลอร์ (ซึ่งคิดแตกต่างจากเมตซ์) ในหนังสือเล่มนี้ที่ว่า "ชีวิตของสุนัขก็สามารถมีความหมายได้" อันมาจากการใช้เหตุผล (justification) ที่ไม่อิงคำสอนของศาสนาใด ๆ เป็นประเด็นที่ศาสนิกและผู้สนใจปรัชญาน่าจะลองอ่านและคิดตาม ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับเฮาส์เคลเลอร์ก็ตามที
________________________________________________________________
อ้างอิง
จวมานสูตร ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ. เข้าถึงจาก https://tinyurl.com/m7dy4w2s
ภูริทัตชาดก ภูริทัตนาคราช ผู้ยิ่งด้วยศีลบารมี. เข้าถึงจาก https://tinyurl.com/5cfk96k2
สมเด็จพระญาณสังวร. (2549). ชีวิตนี้น้อยนัก. นนทบุรี: ก้อนเมฆแอนด์กันย์กรุ๊ป. เข้าถึงจาก https://tinyurl.com/5n887cc2
สามาวดี อรรถกถาขุททกนิกาย ธรรมบท. เข้าถึงจาก https://tinyurl.com/37s9zuzp
อรรถกถามัณฑูกเทวปุตตวิมาน ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ. เข้าถึงจาก https://tinyurl.com/4ct4rucb
Buaban, J. (2024). Save the Planet-Kill Yourself: Repositioning Relations between. Journal of Religious Anthropology, 6(2), 150-173. Link: https://tinyurl.com/335fhacf
DeMello, M. (2021). Animals and society: An introduction to human-animal studies. Columbia University Press.
Kubo, T. & Yuyama, A. (2007). The Lotus Sutra. California, Numata Center for Buddhist Translation and Research.
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |