หนังสือของนิธิ เนื่องจำนงค์เรื่อง ทหารมีไว้ทำไม?: การปฏิรูปกองทัพและสร้างประชาธิปไตยไทย-เกาหลีใต้ เป็นการศึกษาในสาขาการเมืองเปรียบเทียบที่เน้นบทบาทของกองทัพต่อพัฒนาการทางการเมืองไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบตามหลักการอุปนัยของจอห์น สจ๊วต มิลล์[1] กรณีศึกษาที่นิธิใช้คือเกาหลีใต้เปรียบเทียบกับไทย ประเด็นหลักของหนังสือเล่มนี้คือ “เกาหลีใต้กับไทยต่างเคยอยู่ภายใต้การปกครองของเผด็จการทหารและผ่านการต่อสู้ให้ได้มาเพื่อประชาธิปไตย แต่หนทางในระบอบประชาธิปไตยกลับเป็นเส้นขนาน หนึ่งกลายเป็นประเทศประชาธิปไตย อีกหนึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยล้มเหลว กองทัพเป็นส่วนหนึ่งในตัวแสดงที่มีอำนาจในการล้มล้างการปกครองประชาธิปไตย จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่พลเรือนจะปฏิรูปองค์กรที่ทรงอำนาจเช่นกองทัพและธำรงรักษาความสัมพันธ์ที่กองทัพอยู่ใต้การควบคุมของพลเรือน”[2]
รูปที่ 1. Timeline เปรียบเทียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้กับนายกรัฐมนตรีไทย
บทแสดงความคิดเห็นนี้จะนำเสนอประเด็นเรื่องวิธีการแสวงหาความรู้ผ่านหลักปรัชญาสังคมศาสตร์และพยายามชี้ให้เห็นว่าถึงแม้ความรู้สาขารัฐศาสตร์จะเป็นวิทยาศาสตร์น้อยกว่าวิทยาศาสตร์กายภาพก็ตาม วิธีการศึกษาของนิธิยังคงรักษาความเป็นกลางตามหลักการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และด้วยเหตุนี้เอง ความเป็นวิทยาศาสตร์ของหนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์มหาศาลต่อผู้กำหนดนโยบายทางการเมืองเรื่องการเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยจะทำให้บริหารนโยบายได้ตรงประเด็นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทของกองทัพที่มีต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยในอนาคต และเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านทั่วไปที่ต้องการเข้าใจความถดถอยของประชาธิปไตยไทย เมื่อพิจารณาบทบาทของกองทัพเป็นหลัก
ปรัชญาสังคมศาสตร์กับความเป็นกลางในการแสวงหาความรู้ทางสังคม
เพราะเหตุใดผู้ศึกษาหาความรู้ทางสังคมจึงต้องเข้าใจปรัชญาสังคมศาสตร์ ผู้ศึกษาสังคมมักจะเผชิญปัญหาเรื่องความเป็นกลางในการนำเสนอความรู้ที่ตนเองค้นคว้าวิจัยมาเพราะความรู้ทางสังคมเกิดจากการ “ประกอบสร้าง (construct)” ความคิดและประสบการณ์ในทางสังคมขึ้นมา เช่น ความเป็นทาส (slavery) เป็นความจริงที่เกิดจากการประกอบสร้างทางสังคมเพราะลักษณะการเป็นทาสยังปรากฏอยู่ในโลกปัจจุบันถึงแม้ประเทศต่าง ๆ จะตกลงร่วมกันแล้วว่าการทำให้ใครก็ตามเป็นทาสของตนเองไม่ชอบธรรมอีกต่อไป เป็นต้น เนื่องจากความรู้ทางสังคมเกิดจากการประกอบสร้าง ความรู้ทางสังคมจึงต้องเผชิญกับปัญหาความเป็นกลางทางความรู้ หรือกล่าวอย่างง่ายว่าผู้ศึกษาสังคมศาสตร์มีอคติหรือธงคำตอบของตนเองอยู่แล้วก่อนเขียนงาน หรือไม่ก็มีแนวโน้มที่จะเขียนงานลักษณะเดิมที่ตนเองคุ้นชินมาโดยตลอด ดังนั้น ผู้ศึกษาสังคมจึงต้องเข้าใจเบื้องหลังของความรู้ทางสังคมเสียก่อนเพื่อจะได้ลดอคติหรืออย่างน้อยตระหนักรู้ถึงอคติของตนเองเสียก่อนเพื่อแก้ปัญหาความเป็นกลางทางความรู้ในการสร้างผลงานจากการวิจัย วิชาที่ศึกษาเบื้องหลังความรู้ทางสังคมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าปรัชญาสังคมศาสตร์
รูปที่ 2. ปกหน้าหนังสือ Philosophy of Social Science: A Contemporary Introduction (2022) ของ Mark Risjord
ปรัชญาสังคมศาสตร์คืออะไรและมีวิธีการอย่างไร ปรัชญาสังคมศาสตร์คือสาขาหนึ่งของปรัชญาที่ศึกษาเกี่ยวกับพื้นฐาน ระเบียบวิธีวิจัย และความรู้ทางสังคมศาสตร์ เช่น รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา จิตวิทยาเพื่อทำความเข้าใจธรรมชาติของสังคม พฤติกรรมมนุษย์ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสังคม รวมถึงวิพากษ์และปรับปรุงวิธีการศึกษาทางสังคมศาสตร์ ปรัชญาสังคมศาสตร์จึงตอบคำถามพื้นฐานทางปรัชญาว่าด้วยสังคมมนุษย์[3] ปรัชญาสังคมศาสตร์ประกอบด้วยวิชาย่อยสี่วิชา
วิชาสุดท้ายคือจริยศาสตร์ (ethics) จริยศาสตร์ในการวิจัยศึกษาเกี่ยวกับประเด็นทางจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยทางสังคมศาสตร์ เช่น การปกป้องสิทธิของผู้เข้าร่วมวิจัย การหลีกเลี่ยงการสร้างความเสียหายต่อสังคมและการนำเสนอผลการวิจัยอย่างซื่อสัตย์ จากวิชาย่อยในปรัชญาสังคมศาสตร์ทั้งสี่วิชา วิชาที่เกี่ยวข้องกับบทแสดงความคิดเห็นนี้จะเป็นเรื่องญาณวิทยา
รูปที่ 3. ปกหน้าหนังสือ ปรัชญาสังคมศาสตร์ฯ (2559) ของพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
การแสวงหาความรู้ทางสังคมหรือญาณวิทยาในปรัชญาสังคมศาสตร์ไม่ได้มีแบบเดียว นักปรัชญาสังคมศาสตร์แบ่งญาณวิทยาออกเป็นสามสำนัก ได้แก่ ปฏิฐานนิยม (positivism) สัจนิยม (realism) และการตีความ (hermeneutics)[7] แต่จะเป็นแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับความจริงทางสังคมหรือภววิทยาที่ต้องการศึกษา ถึงแม้ว่าสิ่งที่ความจริงทางสังคมมีร่วมกันคือการเป็นความรู้ที่ประกอบสร้างขึ้นมา แต่ความซับซ้อนของความรู้นั้นแตกต่างกัน หากเรื่องที่ศึกษาเป็นภววิสัย (objective) เช่นศึกษาหน่วยงานหรือองค์กรที่ต้องการเชื่อมโยงตัวแปรต้นกับตัวแปรตามเหมือนกับวิทยาศาสตร์กายภาพ เช่น เพศ อายุ กับระดับความพึงพอใจของลูกค้า ผู้ศึกษาจะใช้วิธีการของปฏิฐานนิยมเพราะสามารถตีค่าตัวแปรออกมาเป็นค่าสถิติได้ แต่หากเรื่องที่ศึกษามีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นอัตวิสัย (subjective) สูง เช่นเรื่องชีวิตของชาวอาข่าในมณฑลยูนนาน ผู้ศึกษาจะต้องใช้วิธีการของการตีความเพราะการวิจัยต้องอาศัยความรู้ตรง (intuition) เพื่อเข้าถึงสิ่งที่กำลังศึกษาในแบบองค์รวม
รูปที่ 4. ญาณวิทยาในปรัชญาสังคมศาสตร์ (อนึ่ง Interpretivism มีความหมายเดียวกับ ‘การตีความ’ (hermeneutics))
ส่วนอีกสำนักหนึ่งคือสัจนิยมจะสอดคล้องกับงานของนิธิมากที่สุด เพราะงานของนิธิเป็นความพยายามฉายภาพรวมเชิงเปรียบเทียบระหว่างพัฒนาการทางการเมืองของเกาหลีใต้กับไทยไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยซึ่งมีความซับซ้อนผ่านช่วงเวลายาวนาน สัจนิยมในญาณวิทยาของปรัชญาสังคมศาสตร์ต้องอาศัยการใช้ทฤษฎีและหลักฐานเชิงประจักษ์จำนวนมหาศาลเพื่อพิสูจน์ว่าประเด็นที่ต้องการนำเสนอนั้นสะท้อนความจริงและสมเหตุสมผลเป็นกลางตามหลักวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้เรื่องที่ศึกษามีทั้งความเป็นภววิสัยและอัตวิสัยผสมกันอยู่ จึงต้องแสดงผลการศึกษาออกมาอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ตรงกันมากที่สุด
การประเมินความเป็นวิทยาศาสตร์ในหนังสือ ทหารมีไว้ทำไม?
การประเมินความเป็นวิทยาศาสตร์ในงานของนิธิจะอาศัยหลักปรัชญาสังคมศาสตร์ตามที่กล่าวมาในส่วนแรกซึ่งดูจากความเป็นกลางในกรอบทฤษฎีที่ใช้ในการวิเคราะห์และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่นำมาสนับสนุน นอกจากนี้ ความพิเศษประการหนึ่งในการศึกษาสังคมศาสตร์คือสัมพันธภาพหรือความสอดคล้องไปกันได้ระหว่างกรอบการวิเคราะห์กับหลักฐานเชิงประจักษ์ที่มาจากการนำเสนอ การตัดสินว่าสัมพันธภาพดังกล่าวมีจริงหรือไม่นั้นจะมาจากผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ ที่เข้าใจทฤษฎีที่นำมาสร้างกรอบการวิเคราะห์ ดังนั้น ส่วนนี้จะตอบคำถามว่างานของนิธิใช้กรอบการวิเคราะห์ใด มีหลักฐานเชิงประจักษ์ใดปรากฏเพื่อสนับสนุนความคิดหลักของงาน และกรอบการวิเคราะห์กับหลักฐานเชิงประจักษ์สอดคล้องกันหรือไม่ อย่างไร
งานของนิธิใช้กรอบการวิเคราะห์ใด ทฤษฎีการเมืองเปรียบเทียบที่ว่าด้วยการสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้แก่ประชาธิปไตยมีมากมายมหาศาล แต่นิธิเลือกใช้บทความของฮวน ลินซ์ในปี ค.ศ.1990 เป็นจุดตั้งต้นที่ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งเพราะเป็นตัวชี้วัดความเป็นประชาธิปไตยได้ดีที่สุด จากนั้นจึงมาพิจารณาตัวแปรต้นที่สำคัญในการสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้แก่ประชาธิปไตยนั่นคือบทบาทของกองทัพ นิธิทบทวนตัวแบบว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหาร เช่น ตัวแบบการแยกพลเรือน-ทหารของซามูเอล ฮันทิงตัน ตัวแบบการบูรณาการพลเรือน-ทหารของมอร์ริส จาโนวิตซ์ เป็นต้น
รูปที่ 5. ตัวแบบว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหาร
จากนั้นนิธิชี้ให้เห็นถึงวัฒนธรรมขององค์กรทหารที่มีธรรมชาติเป็นแบบอนุรักษ์นิยมซึ่งจะกลายเป็นปัญหาต่อไปหากประนีประนอมกับค่านิยมประชาธิปไตยไม่ได้ นิธิยังทบทวนงานของออเรล ครัวซองต์และคณะที่ศึกษาอิทธิพลทางการเมืองของกองทัพซึ่งประกอบด้วยปัจจัยห้าประการ ได้แก่ การแต่งตั้งทหารในตำแหน่งทางการเมือง บทบาทของทหารในกระบวนการนโยบายสาธารณะทั่วไป นโยบายความมั่นคงภายใน นโยบายการป้องกันประเทศ และการจัดโครงสร้างภายในกองทัพ จากนั้นเสริมด้วยแนวทางของอู จงซอกแสดงให้เห็นอิทธิพลของกองทัพตั้งแต่การควบคุม การมีส่วนร่วม การมีอิทธิพล และการอยู่ภายใต้การสั่งการ ตัวแบบเหล่านี้เป็นตัวอย่างของการทบทวนวรรณกรรมที่นิธิพยายามแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของการศึกษาบทบาทของกองทัพที่มีต่อการสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้แก่ประชาธิปไตยและตรงกับญาณวิทยาแบบสัจนิยมในปรัชญาสังคมศาสตร์
รูปที่ 6. แง่มุมสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือน-ทหาร ของออเรล ครัวซองต์และคณะ
ที่มา: Aurel Croissant et al., Democratization and Civilian Control in Asia (New York: Palgrave Macmillan, 2013), 26.
สุดท้ายนิธิสังเคราะห์ทฤษฎีที่กล่าวมาทั้งหมดเพื่อพัฒนากรอบการวิเคราะห์เงื่อนไขของการสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้แก่ประชาธิปไตยโดยใช้ปัจจัยทั้งห้าประการของครัวซองต์และคณะเป็นหลัก โดยกรณีเกาหลีใต้ นิธิอาศัยงานของฮวน ลินซ์ และอัลเฟรด สเตพัน ที่กำหนดเงื่อนไขขั้นต่ำคือการที่กองทัพอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือนร่วมกับปัจจัยอีกสามประการ ได้แก่ ภาคประชาสังคมที่มีความเป็นอิสระ การมีสังคมการเมืองที่เข้มแข็งและอิสระ และการยึดมั่นในหลักนิติธรรม[8] แต่กรณีของไทยนิธิมองในมุมกลับโดยพิจารณาลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือน-ทหารที่ส่งผลให้ไทยพัฒนาประชาธิปไตยไปได้ไม่ไกลเท่าใดนัก ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแสดง หรือบทบาทของภาคประชาสังคม และจะใช้กรอบการวิเคราะห์นี้ตลอดทั้งเล่ม
จากกรอบการวิเคราะห์ที่สร้างขึ้นในบทที่หนึ่ง คำถามต่อมาคือมีหลักฐานเชิงประจักษ์ใดปรากฏเพื่อสนับสนุนความคิดหลักของงาน และกรอบการวิเคราะห์กับหลักฐานดังกล่าวสอดคล้องกันหรือไม่ เนื้อหาในบทที่หนึ่งเป็นทฤษฎีและแนวทางการวิเคราะห์บทบาทของกองทัพต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ส่วนบทที่สองและสามจะเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ซึ่งเริ่มตั้งแต่พื้นเพทางประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ไปจนถึงจุดเปลี่ยนในความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือน-ทหารของเกาหลีใต้ ได้แก่ การดำเนินคดีกับอดีตผู้นำการยึดอำนาจและปราบปรามประชาชนที่เมืองควังจูในปี ค.ศ.1980 สำหรับบทที่สี่และบทที่ห้าจะเป็นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์พลเรือน-ทหารในเกาหลีใต้และไทยจากปัจจัยทั้งห้าประการจากงานของครัวซองต์และคณะตามลำดับ เมื่ออ่านแล้วจะพบว่าเนื้อหาตั้งแต่บทที่สองถึงบทที่ห้าเป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่นำมาจัดระเบียบผ่านกรอบความคิดที่นิธิสร้างขึ้นมาในบทที่หนึ่ง จึงกล่าวได้ว่ากรอบการวิเคราะห์กับหลักฐานดังกล่าวสอดคล้องกันเป็นลำดับขั้นตอนอย่างชัดเจน
รูปที่ 7. การล้างบางทหารกลุ่มฮานาเฮว (ซึ่งเป็นทหารการเมือง) โดยประธานาธิบดีคิม ยอง-ซัม
ในบทสุดท้าย นิธิสรุปภาพรวมเชิงเปรียบเทียบความสัมพันธ์พลเรือน-ทหารในกรณีเกาหลีใต้กับไทย จากการประเมินความเป็นระบบจากกรอบความคิดมีส่วนช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาในความสัมพันธ์พลเรือน-ทหารได้ดีกว่าการเล่าเรื่องราวแบบนักประวัติศาสตร์ปกติ แต่ก็ยังไม่ทิ้งความเป็นกลางทางวิทยาศาสตร์จากการทบทวนทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาบทบาทของทหารในการพัฒนาประชาธิปไตยให้มั่นคงยั่งยืน ความเป็นกลางเช่นนี้มีประโยชน์ต่อผู้กำหนดนโยบายของประเทศอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการทำให้กองทัพมีส่วนในการพัฒนาประชาธิปไตยในบริบทสังคมวัฒนธรรมแบบไทย เพราะประเทศในโลกต่างมีกองทัพด้วยกันทั้งสิ้นด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง แต่ด้วยบริบทของโลกที่เปลี่ยนไปสู่สันติภาพผ่านองค์การระหว่างประเทศ การค้าเสรี และระบอบการเมืองประชาธิปไตย ทำให้เรารู้สึกว่าทหารไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปเพราะสงครามเกิดขึ้นได้ยากกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม กองทัพในฐานะสถาบันทางการเมืองไม่สามารถล่มสลายลงไปได้ ไม่ใช่เฉพาะของไทยเองเท่านั้นแต่ของทุกประเทศทั่วโลก แล้วบทบาทของกองทัพควรอยู่ที่ใด หนังสือ ทหารมีไว้ทำไม?: การปฏิรูปกองทัพและสร้างประชาธิปไตยไทย-เกาหลีใต้ จะให้คำตอบแก่ผู้อ่านได้ระดับหนึ่งว่าเราควรมองกองทัพแบบใดและกองทัพควรอยู่คู่กับสังคมไทยในอนาคตอย่างไรให้การพัฒนาประชาธิปไตยเป็นไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน
_______________________________________________
อ้างอิง
[1] John Stuart Mill, A System of Logic (La Vergne: True Sign Publishing House, 2023).
[2] นิธิ เนื่องจำนงค์, ทหารมีไว้ทำไม?: การปฏิรูปกองทัพและสร้างประชาธิปไตยไทย-เกาหลีใต้ (กรุงเทพฯ: อิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์, 2568), ปกหลัง.
[3] Mark Risjord, Philosophy of Social Science: A Contemporary Introduction (London: Routledge, 2022), 1.
[4] พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต, ปรัชญาสังคมศาสตร์: การอธิบายทางสังคม รากฐานสำหรับการวิจัยทางสังคมศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: บางกอกบล็อก, 2559), 25.
[5] เรื่องเดียวกัน, 27.
[6] เรื่องเดียวกัน, 34.
[7] อนุสรณ์ ลิ่มมณี, การอธิบายกับการวิเคราะห์ทางการเมือง: แนวคิดและข้อโต้แย้งทางปรัชญาสังคมศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์, 2561), 39.
[8] นิธิ เนื่องจำนงค์, ทหารมีไว้ทำไม?: การปฏิรูปกองทัพและสร้างประชาธิปไตยไทย-เกาหลีใต้, 49.
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |