โดย ฐนพงศ์ ลือขจรชัย
ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นับเป็นหนึ่งในปัญหาที่สำคัญและกินระยะเวลายาวนานที่สุดของไทย โดยนับตั้งแต่การลงนามในสนธิสัญญาอังกฤษ-สยาม ค.ศ. 1909[1] พื้นที่ดังกล่าวก็กลายเป็นดินแดนแห่งความสับสนและวุ่นวายใน “รัฐไทย” ตราบจนปัจจุบัน ดังคำกล่าวของ เติงกู มะห์หมูด มะห์ยิดดีน บุตรคนสุดท้ายของรายาแห่งปาตานีที่ว่าการแบ่งเขตแดนเช่นนี้ “เสมือนกับมีหนามฝังอยู่ใต้ผิวหนังซึ่งจะสร้างความเจ็บปวดให้แก่สยามในภายภาคหน้า”[2]
รูปที่ 1. แผนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีพื้นที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมเชื้อสายมลายู
การกระทำอันกดขี่และเลวร้ายของรัฐบาลไทยต่อผู้คนในพื้นที่ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกเห็นใจต่อชาวปาตานี ประวัติศาสตร์ปาตานีถูกเขียนขึ้นเป็นจำนวนมากเพื่อยืนยันถึงการดำรงอยู่ของ “ราชอาณาจักรปาตานี” ซึ่งเคยเป็นรัฐเอกราชก่อนที่จะถูกสยามเข้าครอบครองในภายหลัง การต่อสู้ของผู้คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงเป็นไปด้วยความจำเป็นในการดิ้นรนจากความอยุติธรรมที่ได้รับ โดยเฉพาะในงาน “ความเป็นมาของทฤษฎีแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของไทย” ของ ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ[4] อันเป็นงานชิ้นสำคัญที่วางรากฐานต่อความเข้าใจว่าเรื่องราวการแบ่งแยกดินแดนนั้นอาจเป็นเพียงวาทกรรมที่รัฐไทยได้สร้างขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมในการปราบปรามความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งได้กลายมาเป็นความเข้าใจพื้นฐานต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
รูปที่ 2. หนังสือ “ความเป็นมาของทฤษฎีแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของไทย” ของธเนศ อาภรณ์สุวรรณ
อย่างไรก็ดี หนังสือ “พยัคฆ์แห่งมาลายา: ชีวประวัติเติงกู มะห์หมูด มะห์ยิดดีน ผู้ต่อสู้เพื่อเอกราชของปาตานี” โดย โมฮัมหมัด ซันเบอรี อับดุล มาเล็ก กลับให้ข้อมูลอีกด้านที่น่าสนใจ หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงชีวประวัติและเรื่องราวการต่อสู้ของ เติงกู มะห์หมูด มะห์ยิดดีน บุตรคนสุดท้องของรายาคนสุดท้ายแห่งปาตานี นับตั้งแต่เด็กที่ได้รับการศึกษาในกรุงเทพฯ การเข้ารับตำแหน่งด้านการศึกษาในกลันตัน การเป็นผู้นำกองกำลัง 136 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงการต่อสู้เพื่อปาตานี
รูปที่ 3. พันตรี เติงกู มะห์หมูด มะห์ยิดดีน ผู้นำของกองกำลัง 136 ที่อินเดีย กับโมฮัมหมัด ซันเบอรี อับดุล มาเล็ก ผู้เขียนอิสระชาวชาวมาเลเซีย
หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอหลักฐานและให้ข้อมูลในฝั่งมลายูที่มักขาดหายไปจากการศึกษาในงานวิชาการไทย รวมทั้งได้แสดงให้เห็นมุมมองและทัศนคติที่ชาวมลายูมีต่อปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่นอกเหนือไปจากงานสองกลุ่มที่กล่าวในข้างต้นของไทย นั่นคือ การยืนยันว่ามีความต้องการอย่างชัดเจนในการเรียกร้องเอกราชจากรัฐไทยและต้องการให้ปัตตานีเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐมาลายา[5] เช่น มีความต้องการให้ปัตตานีต้องได้รับเอกราชพร้อมกับรัฐอื่น ๆ ในมลายู โดยการปลุกใจด้วยคำขวัญว่าว่า “รายาปาตานีจงเจริญ” (long live the King of Patani) [6]
หนังสือยังให้ข้อมูลต่อไปว่า เติงกู มะห์ยิดดีน และผู้นำคนอื่นในปัตตานีได้ส่งข้อเรียกร้องในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1945 ไปยังนายกรัฐมนตรีอังกฤษให้ช่วยปลดปล่อยสี่จังหวัดมลายูในภาคใต้ของสยามรวมทั้งได้อ้างคำประกาศซานฟรานซิสโกที่ระบุว่า “ทุกประเทศที่ตกเป็นอาณานิคมควรได้รับอิสรภาพและผู้ที่อาศัยอยู่ในอาณานิคมควรได้รับสิทธิเพื่อปกครองตนเองตามความประสงค์ของพวกเขา” โดยในคำร้องระบุว่า “ที่จริงแล้วรัฐปาตานีเป็นรัฐมลายูแห่งหนึ่งที่ปกครองโดยรายามลายูหลายองค์ตั้งแต่สมัยโบราณ แต่อยู่ภายใต้การควบคุมของสยามเมื่อ 50 ปีที่แล้วนี้เอง ณ ตอนนี้ สหพันธ์รัฐมลายูต้องให้ความช่วยเหลือเพื่อเอารัฐแห่งนี้คืนมาให้แก่คนมลายู และรวมตัวกับรัฐอื่น ๆ ที่อยู่ในคาบสมุทร”[7]
รูปที่ 4. วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2488 เซอร์ แฮโรล์ด แมคไมเคิล มาถึงกลันตันเพื่อรับเซ็นชื่อยินยอมจากบรรดารายามลายูที่คาบสมุทร เพื่อใช้รูปแบบการปกครองใหม่ที่เรียกว่า ‘สหภาพมาลายา’ (Malayan Union) แต่เขาได้รับการต่อต้านจากบรรดารายามลายูและชาวพื้นเมือง
แนวทางการนำเสนอของหนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นความย้อนแย้งอย่างน่าสนใจ กล่าวคือ แม้ว่าผู้เขียนจะนำเสนอเรื่องราวของ เติงกู มะห์หมูด มะห์ยิดดีน และขบวนการปาตานีในเชิงบวกอย่างมาก แต่หลักฐานและข้อมูลที่ถูกบรรยายกลับสะท้อนให้เห็นว่าขบวนการเรียกร้องเอกราชหรือแบ่งแยกดินแดนปาตานีนั้นมีอยู่จริง ไม่ใช่เพียงวาทกรรมที่รัฐไทยสร้างขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมในการควบคุมพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่แตกต่างจากแนวทางของงานวิชาการไทยในปัจจุบันซึ่งมักมองว่าการแบ่งแยกดินแดนเป็นเพียงแค่วาทกรรม
ที่สำคัญ เติงกู มะห์ยิดดีน ได้ก่อตั้ง “ฆึมปาร์” (GEMPAR: Gabungan Melayu Pattani Raya) ใน ค.ศ. 1948 เพื่อเรียกร้องเอกราชจากรัฐไทยและต้องการให้ปัตตานีเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐมาลายา
รูปที่ 5. เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 ด้วยความร่วมมือของสาขากลันตันของพรรคแห่งชาติมลายา คณะกรรมการผู้แทนของชาวมลายูปาตานีได้จัดการประชุมขึ้นที่โกตาบารู เพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาของชาวมลายูปาตานีการประชุมซึ่งมีผู้เข้าร่วม 500 คน ได้ตัดสินใจจัดตั้งสมาคมสำหรับชาวมลายูปาตานีที่เรียกว่า “ฆึมปาร์” (GEMPAR)
สิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษคือการเปิดเผยข้อมูลจากฝ่ายอังกฤษในปัญหาปาตานี เช่น มีรายงานจากฝ่ายอังกฤษคาดการณ์ว่ามีประชาชนที่ปัตตานีกว่า 250,000 คน ได้ลงนามหรือลงลายนิ้วมือแสดงความเห็นชอบและความต้องการเข้าร่วมกับดินแดนมลายู[8] หรือ มีรายงานว่า พบค่ายทหารที่เขตเบอลุม อำเภอฮูลู ในเปรัก เพื่อฝึกซ้อมกองกำลังแบบกองโจรเพื่อเตรียมปฏิบัติการในภาคใต้ของสยาม[9] ซึ่งขัดแย้งกับงานวิชาการไทยที่มองว่าขบวนการนี้เป็นเพียงการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์และขาดความเป็นจริงทางยุทธศาสตร์
อย่างไรก็ตาม การทำความเข้าใจข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่นำเสนอในหนังสือเล่มนี้จำเป็นต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะในเรื่องความสืบเนื่องของรัฐ/ชาติปาตานี หนังสือเล่มนี้นำเสนอการต่อสู้ของชาวปัตตานีว่าเป็นการปกป้องอธิปไตยของราชอาณาจักรปาตานีที่สืบทอดกันมากว่า 100 ปี[10] แต่ข้อความนี้กลับขัดแย้งกันเองกับข้อมูลในหนังสือที่ระบุเองว่า อำนาจอธิปไตยของรายาปัตตานีก็สิ้นสุดลงในต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อปัตตานีถูกแบ่งออกเป็น 3 จังหวัดชายแดนใต้ของไทย[11]
รูปที่ 6. เพื่อให้ข้อเรียกร้องเอกราชบรรลุผลสำเร็จ เติงกู มะห์หมูด มะห์ยิดดีนหันไปให้ความสนใจเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากการเคลื่อนไหวชาตินิยมในอินโดนีเซีย เขาได้เดินทางมาถึงชวาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 และได้พบกับผู้นำบางคน เช่น รัฐมนตรีต่างประเทศ ดร. อับดุลฆานี และประธานาธิบดีซูการ์โน
โดยรวมแล้วหนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอข้อมูลที่มีคุณค่าและท้าทายความเข้าใจเดิม ๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของ “ปาตานี” งานชิ้นนี้ไม่เพียงให้ภาพชีวประวัติของ เติงกู มะห์หมูด มะห์ยิดดีน เท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงกระแสความคิดของชาวมลายูในช่วงเวลาดังกล่าวและแนวทางที่พวกเขาใช้ในการต่อสู้ แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะให้มุมมองจากฝ่ายมลายูเป็นหลักแต่ก็เป็นการเปิดพื้นที่ให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากวงวิชาการไทยซึ่งทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับแนวทางการศึกษาปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน
ท้ายที่สุด หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งในปาตานีไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความรุนแรงหรือการปกครองของรัฐไทยเท่านั้นแต่ยังเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ การเมือง และประวัติศาสตร์ที่มีความซับซ้อนรวมทั้งยังเกี่ยวพันกับตัวแสดงหลายฝ่ายที่มีการปรับเปลี่ยนท่าทีและมุมมองไปตามบริบทของผลประโยชน์และช่วงเวลา การอ่านและทำความเข้าใจหนังสือเล่มนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในเชิงลึก ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เข้าใจรากเหง้าของความขัดแย้งได้ดียิ่งขึ้นแล้วยังอาจนำไปสู่แนวทางในการสร้างสันติภาพและความเข้าใจที่ดีขึ้นในอนาคต
[1] อ่านเพิ่มเติม ฐนพงศ์ ลือขจรชัย. เสียดินแดนมลายู ประวัติศาสตร์ชาติ ฉบับ Plot twist. กรุงเทพฯ: มติชน, (2562).
[2] Barbara Andaya and Leonard Andaya, Sejarah Malaysia (Kuala Lumpur: MacMillan Publisher, 1893), 180.
[3] อดัม จอห์น, “สนธิสัญญาและบทบาทของบริเตนต่อการยึดครองพื้นที่ภาคใต้ของไทย,”http://prachatai.com/journal/2016/03/64566, (สืบค้นเมื่อ 24 มีนาคม 2559).
[4] ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, ความเป็นมาของทฤษฎีแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของไทย (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราฯ, 2551).
[5] โมฮัมหมัด ซันเบอรี อับดุล มาเล็ก, พยัคฆ์แห่งมาลายา: ชีวประวัติเติงกู มะห์หมูด มะห์ยิดดีน ผู้ต่อสู้เพื่อเอกราชของปาตานี, แปลโดย ฮาร่า ชินทาโร (กรุงเทพฯ: illumination editions, 2567), XXii
[6] เรื่องเดียวกัน, 127
[7] Nik Anuar Nik Mahmood, 1994b ใน เรื่องเดียวกัน, 132
[8] เรื่องเดียวกัน, 155-156
[9] เรื่องเดียวกัน, 161
[10] เรื่องเดียวกัน, 10
[11] เรื่องเดียวกัน, 13
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |