โดย อภิมุข มงคลธนานนท์
“นักอัตถิภาวนิยมไม่ได้มองว่าชีวิตถูกอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าบางอย่าง (พระเจ้า ประวัติศาสตร์ วิวัฒนาการ พรหมลิขิต) ตั้งโปรแกรมไว้ให้ มีความหมายและเป้าหมาย แต่เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเองในฐานะปัจเจก นี่คือปรัชญาสำหรับคนกล้าและเป็นไทแก่ตัว ... ชีวิตนี้มีอะไรบ้างที่มีความหมาย”[1] (หน้า 22)
หนังสือ “เข้าใจ ‘อัตถิภาวนิยม’ ด้วยตนเอง” (Understand Existentialism: Teach Yourself) เขียนโดย ไนเจล รอดเจอร์ส และ เมล ธอมป์สัน แปลโดย รติพร ชัยปิยะพร พิมพ์โดย สนพ.อิลลูมิเนชั่นส์ เอดิชั่นส์ เป็นหนังสือระดับแนะนำ (Introduction) สำหรับผู้อ่านทั่วไปที่สนใจเรื่องความหมายของ 'การดำรงอยู่' (existence)
อัตถิภาวนิยม (Existentialism) ดูจะเป็นแนวคิดทางปรัชญาที่ถูกพูดถึงอย่างมากมายในหลากหลายวงการและหลากหลายมิติการศึกษาอย่างเป็นวงกว้างจนดูจะเป็นกระแส (fashion) ทางความคิดไปเสียช่วงหนึ่ง (ทำนองเดียวกันกับแนวคิดแบบ ‘วาทกรรม’ ของฟูโกต์ที่ดูจะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในช่วงขณะหนึ่ง)
ทั้งนี้แนวคิดแบบอัตถิภาวะนิยมก็ไม่ใช่อะไรที่ “ใหม่ถอดด้าม” เสียทีเดียว และกระแสคิดนี้ก็ดูจะเสื่อมความนิยมไปในช่วงหนึ่งเสียด้วยซ้ำ
รูปที่ 1. หนังสือปรัชญาและวรรณกรรมแนวอัตถิภาวนิยมในไทยรุ่นแรก ๆ
แต่แนวอย่าง Existentialism ก็ใช่ว่าจะถูกเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งหรือเข้าใจกันอย่างถูกต้องในสังคม (หรือกระทั่งในแวดวงทางวิชาการ) เสียทีเดียว เนื่องจากธรรมชาติของการสื่อสารทางความคิดและการที่ผู้คนในสังคมมักนำเสนอเป็นรูปแบบวลีหรือ “ประโยคเด็ด” มากกว่าจะหยิบความคิดอย่างเป็นองค์รวมออกมาอรรถาธิบายหรือชี้แจงให้กระจ่างแจ้ง
เราจึงมักรับรู้แนวคิดทางปรัชญาหรือระบบคิดทางสังคมศาสตร์อื่น ๆ ในรูปแบบของการอ้างคำ (Quote) สั้น ๆ เช่น “ฉันคิด ฉันจึงมีอยู่” หรือ “การดำรงอยู่มาก่อนสารัตถะ” เป็นต้น ทำให้การเข้าถึงปรัชญาทั้งหลายดูเป็นเรื่องของการผลิตซ้ำ “คำคม”
ในขณะเดียวกันที่ภาพลักษณ์โดยทั่วไปของปรัชญาเป็นเรื่องของความ “เพ้อเจ้อ” “หลุดโลก” และมีความเป็นนามธรรมสูง แต่การนำเสนอของปรัชญาแบบอัตถิภาวนิยมมักเป็นรูปแบบที่สังคมชื่นชอบและไม่โหดร้ายกับผู้อ่านหน้าใหม่ เช่น งานที่เป็นบทละครเวทีของ ฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ หรือบรรดานิยายต่าง ๆ ของ อัลแบร์ กามู เป็นต้น
รูปที่ 2. นิยายของชาติ กอบจิตติ โดยเฉพาะ ‘คำพิพากษา’ ซึ่งพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2525 โดย สำนักพิมพ์ต้นหมาก ได้รับการวิจารณ์ว่าเป็นการนำเอาปรัชญาอัตถิภาวนิยมของฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ มาประยุกต์ใช้
หนังสือ เข้าใจ ‘อัตถิภาวนิยม’ ด้วยตนเอง เล่มนี้ก็เป็นหนังสือที่พาให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายที่เป็น “หน้าใหม่” มองเห็นภาพกว้าง ๆ ของแนวคิดอัตถิภาวนิยม และพยายามช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นต่าง ๆ ของปรัชญาแบบอัตถิภาวนิยม เช่นปัญหาตั้งต้นพื้นฐานอย่าง ความหมายของการดำรงอยู่, มนุษย์มีเสรีภาพไหม? หรือกระทั่งมิติต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับอัตถิภาวนิยม เช่น นวนิยายและความคิดแบบอัตถิภาวนิยมในช่วงก่อนการก่อรูปทางความคิดอย่างเป็นทางการของฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์; อัตถิภาวนิยมกับศิลปะในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองในบทที่ 7 และอัตถิภาวนิยมและศาสนาในบทที่ 8 เป็นต้น
เนื้อหาในหนังสือนั้นแบ่งเป็นประเด็นและหัวข้อต่าง ๆ ที่เป็นความคิดหลักของอัตถิภาวนิยมไว้อย่างรวบยอดและย่อยมาแล้ว ทำให้ผู้อ่านที่แม้ไม่คุ้นเคยกับระเบียบทางความคิดหรือศัพท์เฉพาะทางปรัชญาก็พอจะเข้าใจได้ เช่นประเด็นเรื่อง ความตาย การดำรงอยู่ ชีวิตที่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง อิสรภาพ อัตถิภาวนิยมและศาสนา ความไร้แก่นสาร และรวมไปถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่าง ๆ ที่แทรกในทุกบทของหนังสือ
รูปที่ 3. นักปรัชญาและนักเขียนแนวอัตถิภาวนิยม
โดยเริ่มที่การพาสำรวจรากฐานทางความคิดก่อนที่จะมาถึงนักที่เป็นหัวหอกอย่าง ฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ ,ซิโมน เดอ โบวัวร และ อัลแบร์ กามู โดยพาย้อนไปที่ผู้บุกเบิกที่สำคัญอย่าง โซเรน เคียร์เคอการ์ด[2] จนถึงผู้เป็นแนวทางสำคัญในจุดอ้างอิงของบรรดานักคิดอัตถิภาวนิยมในศตวรรษที่ 20 อย่าง ฟรีดริช นิตเช่ และบรรดานักเขียนที่เป็นแนวทางสำคัญเช่น ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี และ ฟรันซ์ คาฟคา ที่ชี้ให้เห็นถึงความไร้แก่นสาร (Absurd) ทั้งหลายในการดำรงอยู่ของมนุษย์และพาให้ย้อนถาม / สะท้อนถึงความหมายและทิศทางของชีวิตมนุษย์ในรูปแบบของนวนิยายมากมาย
คำถามว่าด้วยความตาย , เสรีภาพของชีวิตและเป้าหมายในการดำรงอยู่ดูจะเป็นปัญหาที่ดำรงอยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างช้านานนับตั้งแต่ยุคกรีกโบราณมาจนช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ของนักคิดอัตถิภาวนิยม มาจนกระทั่งในช่วงเวลาปัจจุบัน
สิ่งเหล่านี้เองก็เป็นโจทย์ที่นักคิดแนวอัตถิภาวนิยมพยายามให้คำตอบและสร้างความหมายหรือแนวทางให้แก่สังคมและมวลมนุษย์ชาติ ในบทที่ 3 ของหนังสือจะพาให้ผู้อ่านได้รู้จักกับ มาร์ติน ไฮเดกเกอร์และมโนทัศน์ว่าด้วยชีวิตในฐานะ “การดำรงอยู่” ณ ช่วงขณะหนึ่ง ๆ (หรือ 'ชีวิตคือความชั่วคราว') ระหว่างจุดเริ่มต้นคือ การเกิด และจุดสิ้นสุดคือ ความตาย ชีวิตคือภาวะของการ “ถูกโยน” (Throwness) ให้มาดำรงอยู่อย่างเลือกไม่ได้ในชุดของสภาวการณ์เฉพาะบางอย่างที่เราไม่ได้เลือกเอง[3] (เช่น การเกิดในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ การดำรงอยู่ในพื้นที่ ท่ามกลางภาษา วัฒนธรรมหนึ่ง ๆ เป็นต้น)
รูปที่ 4. เนื้อบางส่วนของเพลง Riders on the Storm (1971) ของวง The Doors ที่แสดงถึงแนวคิดการ “ถูกโยน” (Throwness)
ในบทที่ 4 และ 5 หนังสือจะพาผู้อ่านให้รู้จักกับแนวคิดทางอัตถิภาวนิยมพื้นฐานของ ฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ อาทิ “การดำรงอยู่มาก่อนสารัตถะ” , ความว่างเปล่า (Nothingness) , ความคิดว่าด้วย ‘ใน-ตัวเอง’ / ‘เพื่อ-ตนเอง’ (in-itself) / (for-itself) , นรกคือคนอื่น (Hell is other people) , เจตนาลวง (bad faith) , ความซื่อสัตย์ต่อตนเอง (Authenticity / Eigentlichkeit) , ความทุกข์ (Angst) อันเป็นการปูทางและให้ภาพที่จำเป็นในการทำความเข้าใจเป้าหมายและที่ทางของชีวิตมนุษย์ในแบบที่ปรัชญาอัตถิภาวนิยมนั้นเป็น
เป้าหมายและข้อเสนอแบบอัตถิภาวนิยมนั้นก็คือการทำความเข้าใจชีวิตมนุษย์และให้มนุษย์นั้นมีสำนึกในวิถีทางในการดำรงอยู่ของตนอย่างใส่ใจ ไม่ปิดบัง และสร้างความหมาย / ความเข้าใจ ในวิถีทางของแต่ละปัจเจกบุคคลให้ใช้ชีวิตอย่างกล้าหาญ อย่างซื่อสัตย์ต่อตนเอง และรับผิดชอบต่อการยืนยันในเสรีภาพของตน ที่ทะนงในการดำเนินไปในโลกที่ดูจะไร้ความหมาย เป้าหมายและความหมายของมนุษย์เป็นสิ่งที่มนุษย์แต่ละปัจเจกชนต้องสร้างขึ้น , แสวงหา และยืนยันคุณค่าเหล่านั้นด้วยตนเอง โดยใช้เสรีภาพในการดำรงอยู่ในโลกอย่างเข้มแข็ง แม้ทั้งโลกดูจะเหมือนไร้ความหมายในการมีชีวิตและปราศจากความหวังก็ตามที
รูปที่ 5. ประโยคว่า ‘นรกคือคนอื่น’ มาจากบทละครเรื่อง “NO EXIT” ของซาร์ตร์
จริยศาสตร์แบบอัตถิภาวะนิยมจึงพยายามพาให้มนุษย์นั้นดำเนินชีวิตท่ามกลางโลกที่ความหมายของคุณค่าต่าง ๆ นั้นล้วนเปราะบางและพร้อมจะพังทลายอยู่ทุกเมื่อ และชีวิตมนุษย์ที่ดำรงอยู่นั้นต้องกล้าหาญ เข้มแข็ง และซื่อสัตย์ต่อตนเองเพื่อดำเนินไปในโลกที่ว่างเปล่าและยืนยันคุณค่าทางความคิด ศีลธรรมและหลักการด้วยตนเอง โดยการแบกรับเสรีภาพอันหนักอึ้งเพื่อยืนยันถึงหลักการแต่ละปัจเจก
ในบทที่ 9 ของหนังสือจะทำการสำรวจความคิดเกี่ยวกับมโนทัศน์ว่าด้วยอัตถิภาวนิยมของซาร์ตร์และกามู โดยอธิบายและชี้แจงอย่างกระชับรวบรัดและเข้าใจง่าย ผ่านการพาวิเคราะห์และพาเข้าไปในงานเขียนนวนิยายชื่อดังของทั้งสองท่านไม่ว่าจะเป็น The Wall , No Exit , The Outsider , The Plague เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเป็นแนวทางเบื้องต้นในการทำความเข้าบทประพันธ์ดังกล่าวก่อนการลงมืออ่านนิยายเหล่านี้ด้วยตัวท่านเอง !
รูปที่ 6. ปกหน้าแบบต่าง ๆ ของ The Plague (1947) นิยายของอัลแบร์ กามู
ในหนังสือเล่มนี้ยังมีทั้งการแนะนำบุคคลอย่างย่อและ อภิธาณศัพท์บรรจุไว้ท้ายเล่มสำหรับผู้ที่สนใจจะศึกษาต่อยอดในอนาคต ผู้เขียนบทความแอบเสียดายที่หนังสือดังกล่าวใช้การอ้างอิงน้อยไปเสียหน่อย และ 10 สิ่งควรจำ ณ ท้ายของแต่ละบทนั้น ผู้เขียนบทความมองว่า ไม่ค่อยจะได้ประโยชน์เท่าไหร่นักที่จะใส่มา มันไม่ต่างกับการใส่ไว้ให้ท่องสั้น ๆ โดยไม่ได้เข้าใจเนื้อหา / ข้อเสนอทางความคิดของแนวคิดแบบอัตถิภาวนิยมเท่าใดนัก
โดยผู้เขียนบทความนี้หวังว่าผู้อ่านจะได้รู้จักกับความคิดแบบ Existentialism อย่างหลากหลายและกว้างขวางมากกว่าการยกเอาคำพูดสั้น ๆ ไปพูดเท่ห์ ๆ อย่างไม่เข้าใจและไม่รู้เรื่องอะไรเลย (เรามักมีมนุษย์ประเภทนี้อยู่ในวงสนทนาเสมอ ฮา !?)
เพราะการทำปรัชญา (Do Philosophy) คือการตรวจสอบความเชื่อ ภาษา วิถีชีวิต และความเป็นจริง ของมนุษย์ผู้ดำรงอยู่และยังดำเนินต่อไป การทำปรัชญาแบบที่นักปรัชญาอัตถิภาวนิยมทำก็เป็นกระบวนการและรูปแบบหนึ่ง ๆ ที่จะพาให้เราทั้งหลายตั้งคำถาม ฉุกคิด และหาความเป็นไปได้อื่น ๆ ในวิถีแห่งการดำรงอยู่อยู่เสมอ ๆ
ทั้งนี้ขอให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายพึงระลึกไว้ว่า “อัตถิภาวนิยมคือปรากฏการณ์มากกว่าสำนักคิด” ขอท่าน “จงอย่าคาดหวังว่าจะได้พบกับชุดหลักการหนึ่งที่นักคิดอัตถิภาวนิยมทุกคนต่างยอมรับ”[4]
รูปที่ 7. ตัวอย่างหนังสือที่พูดถึงมิตรภาพและความขัดแย้งระหว่างซาร์ตร์และกามู
สุดท้ายนี้อยากฝากให้ผู้อ่านทั้งหลายระลึกเสมอว่าปรัชญาคือกระบวนการคิดการตั้งคำถามเพื่อแสวงหาและไปต่อที่ก้าวต่อไปของมนุษย์ในสังคม ปรัชญาอัตถิภาวนิยม (Existentialism) ที่ท่านได้อ่านมานี้ก็เช่นกัน มันมิใช่แนวทางสำเร็จรูปแบบของผลิตภัณฑ์ที่หยิบฉวยมาใช้ได้อย่างไม่ต้องสนใจหรือคิดอะไร มันคือแนวทาง / กระบวนการ ที่พาให้ท่านทั้งหลายได้คิด ได้พินิจ ได้ตรวจสอบ และสำนึกต่อการดำรงตนอยู่ในโลกว่าท่านได้ผ่านการดำรงอยู่ , กำลังดำรงอยู่ , ดำเนินไป และจะไปสิ้นสุดอย่างเป็นองค์รวมอย่างไร
คำถามของคุณค่า หลักการ เสรีภาพ และวิถีทางของชีวิตล้วนเป็นสิ่งที่ปัจเจกทั้งมวลต้องแสวงหา / สร้างขึ้น และดำเนินไปอย่างกล้าหาญด้วยการยืนยันสิ่งเหล่านั้นด้วยตนเองอย่างจริงแท้และหัวใจที่แน่วแน่
______________________________________________________
เชิงอรรถ
[1] ไนเจล รอดเจอร์ส และเมล ธอมป์สัน, เข้าใจ ‘อัตถิภาวนิยม’ ด้วยตนเอง (กรุงเทพฯ: Illuminations Editions, 2567), หน้า 22
[2] ดูความคิดและแนวทางปรัชญาของเคียร์เคอการ์ดได้ใน เคียร์เคอการ์ด: ฉบับกระชับ ลิ้งค์สั่งซื้อคือ https://shope.ee/20LoTdADQ0
[3] ไนเจล รอดเจอร์ส และเมล ธอมป์สัน, เข้าใจ ‘อัตถิภาวนิยม’ ด้วยตนเอง, หน้า 337
[4] ไนเจล รอดเจอร์ส และเมล ธอมป์สัน, เข้าใจ ‘อัตถิภาวนิยม’ ด้วยตนเอง, หน้า 28
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |