รูปที่ 1. พระสงฆ์รูปหนึ่งนั่งอยู่ข้างหลังเคาน์เตอร์ที่มีรูปเคารพสมเด็จโต (หลายขนาดและหลายวัสดุ) ไว้สำหรับให้ “เช่า”
วิธีการศึกษาของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เริ่มต้นจากการอธิบายพุทธศาสนาไทยโดยภาพรวม ไม่ได้เริ่มต้นจากการพูดถึงพระไตรปิฎก มหาเถรสมาคม หรือ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ หรือพยายามอ้างอิงคำอธิบายเกี่ยวกับอำนาจ การกดขี่ อาณานิคม หรือความเป็นสมัยใหม่ แต่หนังสือเล่มนี้ค่อย ๆ เริ่มต้นไล่เรียงการศึกษาจากบทสวดทีละบท ภาพจิตรกรรมฝาผนังทีละภาพ เทศกาลหรือพิธีกรรมทีละพิธี วัตถุมงคลทีละชิ้น ๆ วัดทีละแห่ง ๆ โดยมีสมเด็จโตและแม่นากพระโขนงเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษา วิธีการศึกษาของหนังสือเล่มนี้เหมือนกับการตามหาจิ๊กซอว์ของพุทธศาสนาไทยจากแหล่งที่มาที่หลากหลาย ก่อนที่จะนำทั้งหมดมาต่อเป็นจิ๊กซอว์ที่เรียกว่าภาพรวมของพุทธศาสนาไทย
รูปที่ 2. รูปปั้นแม่นากพระโขนงกับลูกน้อยที่วัดมหาบุศย์ (กรุงเทพฯ) ผู้มาเยือนจะมอบเสื้อผ้า เครื่องสำอาง เงินสด เครื่องประดับ และทองเป็นต้นแด่แม่นาก ศาลแม่นากเป็นที่นิยมมากราบไหว้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทหารและผู้หญิง
สมเด็จโต หรือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นอีกกุญแจสำคัญในเรื่อง และน่าจะสำคัญกว่าแม่นากพระโขนงเสียอีก ตรงที่แมคดาเนียลลงทุนถึงขั้นอุทิศบทหนึ่งให้กับการพูดถึงการประกอบสร้างประวัติชีวิตของสมเด็จโต ซึ่งไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์แค่เฉพาะในฐานะผู้ปราบผีแม่นาก แต่สมเด็จโตศักดิ์สิทธิ์เพราะท่านเป็นพระของทุกคน และควบรวมเอาทุกองค์ประกอบที่เป็นไปได้ของสังคมไทยมาเชื่อมโยงไว้กับตัวท่าน สมเด็จโตมีชาติกำเนิด การมรณภาพ และการทำศพที่ลี้ลับเป็นปริศนา ทั้งหมดล้วนเพื่อให้ทุกคนสามารถจินตนาการและเชื่อมโยงเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างเป็นอิสระ วัดของท่านอย่างวัดระฆังและวัดอินทรวิหารต่างก็อยู่ในชุมชนของผู้อพยพ ตำนานเกี่ยวกับท่านว่าด้วยวิชามนตรา คาถา และความศักดิ์สิทธิ์เชื่อมโยงกับเขมรและลาว ท่านจาริกไปทั่วภาคกลางของไทย และฝากเรื่องราวตำนานปรัมปราไว้ในวัดต่าง ๆ มากมาย เรื่องเล่าของท่านเกี่ยวกับชาวบ้าน มีมากมายพอ ๆ กับความเชื่อมโยงระหว่างท่านกับราชสำนัก ซึ่งก็เป็นที่กล่าวขานเช่นเดียวกัน
รูปที่ 3. รูปปั้นแม่สมเด็จโต (แต่งกายแบบแม่ชี) ที่วัดอินทรวิหาร (กรุงเทพฯ) ด้านหลังรูปปั้นเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งอาจสื่อถึงรัชกาลที่ 1 ตอนพบกับแม่ของสมเด็จโตในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ในจังหวัดกำแพงเพชร
คำสอนของสมเด็จโตที่ปรากฏในเรื่องเล่า ที่หนังสือเล่มนี้เอามาเล่าต่อสะท้อนถึงลักษณะของพุทธศาสนาไทยที่หนังสือเล่มนี้ต้องการจะนำเสนอได้ดี สมเด็จโตแทบไม่มีคำสอนเกี่ยวกับการปล่อยวาง การพ้นทุกข์ หรือความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสรรพสิ่ง ไม่มีคำสอนเกี่ยวกับความเมตตากรุณาและการอยู่ร่วมกัน แต่เรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านมักจะสอดแทรกคุณค่าท้องถิ่นอย่างความงาม ความสำรวม ความปลอดภัย ความอุดมสมบูรณ์ และการปกปักรักษา รวมถึงความเป็นชาตินิยม เหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงลักษณะของพุทธศาสนาแบบไทยในแบบฉบับของหนังสือเล่มนี้ทั้งสิ้น
ลักษณะบางอย่างของพุทธศาสนาไทยที่หนังสือเล่มนี้นำเสนอ
หนังสือเล่มนี้วิพากษ์ความคิดที่ถูกส่งผ่านในงานศึกษาพุทธศาสนาไทยหลายชิ้น ว่าพุทธศาสนาไทยสมัยใหม่นั้นเริ่มต้นจากการก่อตั้ง “ธรรมยุติกนิกาย” ของรัชกาลที่ 4 การรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง และการพยายามสร้างพุทธศาสนาไทยจากรัฐส่วนกลาง แต่แมคดาเนียลชี้ให้เห็น ว่าพลังอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของสมเด็จโตในฐานะพระสงฆ์ที่ได้รับการเคารพนับถือมากที่สุดในภาคกลาง รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับตัวท่านอย่างพระสมเด็จและคาถาชินบัญชร ล้วนไม่ได้สร้างจากรัฐ แต่สร้างจากความร่วมมือโดยไม่ได้ตั้งใจของหลากหลายภาคส่วน ตั้งแต่ประชาชนตัวเล็ก ๆ ตาดำ ๆ อย่างชาวบ้านในร้านตลาด แม่ค้าขายผัก วินมอเตอร์ไซค์ พนักงานออฟฟิศ นักเลงพระ นิตยสารพระเครื่อง ไปจนถึงนักวิชาการในมหาวิทยาลัย พระสงฆ์จากหลากหลายสำนัก ผู้พิพากษา นักธุรกิจพันล้าน ชุมชนชาวไทยในต่างประเทศ และบางส่วนของราชสำนัก เรื่องราวทั้งหมดของสมเด็จโตจึงเต็มไปด้วยความหลากหลาย และความขัดแย้งกันเองเต็มไปหมด ผู้ศรัทธาของสมเด็จโตก็ไม่ได้จำเป็นต้องมืดบอด พวกเขาสามารถตั้งคำถาม โต้แย้ง ตลอดจนสร้างเรื่องเล่าใหม่เกี่ยวกับสมเด็จโตได้ทุกเมื่อ เรื่องเล่าของสมเด็จโตจึงไม่เคยหยุดนิ่ง
รูปที่ 4. สติกเกอร์สมเด็จโตบนรถจักรยานยนต์ สติกเกอร์นี้เป็นทั้งเครื่องตกแต่ง และเจ้าของก็หวังให้เป็นเครื่องปกป้องคุ้มครองด้วย
ผมเองเคยเป็นผู้ศรัทธาของสมเด็จโตมาก่อน เมื่อตอนผมเป็นเด็ก ผมเคยสวดมนต์ก่อนนอนทุกเย็นและใส่บาตรพระทุกเช้า ผมอ่านหนังสือได้เพราะการจำถ้อยคำในหนังสือสวดมนต์ที่ถูกอ่านซ้ำไปซ้ำมา และในคอลเลกชั่นรูปวาดสมัยเมื่อผมยังเป็นเด็กก็เต็มไปด้วยรูปของพระพุทธรูป พระสงฆ์ และพระเจดีย์ แม้ว่าผู้คนอาจจดจำผมในบทบาทของชาวพุทธหัวก้าวหน้าที่เรียบเรียง “เล่าไว้เมื่อวัยสนธยาฉบับคนหนุ่มสาว” ซึ่งเป็นหนังสือชีวประวัติของพุทธทาสภิกขุ พระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งถูกจัดประเภทไว้ในหมวดหมู่ของพุทธศาสนาสมัยใหม่ ซึ่งผมจะมากล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างท่านพุทธทาสกับคลังวัฒนธรรมอีกครั้งในช่วงหลังของบทความนี้ หลายคนจดจำผมในฐานะผู้วิพากษ์วิจารณ์พุทธศาสนา จากการอ่านบทความของผมในวารสารมานุษยวิทยาศาสนา ที่มีเจษฎา บัวบาล เป็นบรรณาธิการ ซึ่งวิพากษ์ท่าทีของพุทธต่อชนชั้น และสืบค้นประเด็นการแยกศาสนาจากรัฐ แต่แท้จริงแล้วผมได้รับอิทธิพลจากสมเด็จโตหลายอย่างเหมือนกัน ผมเคยรอดจากอุบัติเหตุระดับคร่าชีวิต 2 ครั้ง เพราะสวดคาถาชินบัญชร ทั้งอุบัติเหตุรถชนที่ทางแยกที่เป็นหัวโค้ง และอุบัติเหตุขับรถฝ่าน้ำท่วมบนสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง ชินบัญชรมักจะเป็นบทสวดที่ผมใช้สวดเวลาเดินทาง สวดเพื่อให้เจอที่จอดรถเมื่อเดินทางด้วยรถส่วนตัว และสวดให้มีรถเมล์หรือรถแท็กซี่มาไว ๆ เมื่อเดินทางด้วยรถสาธารณะ
รูปที่ 5. ผ้ายันต์ท้าวเวสสุวรรณ หนึ่งในสิ่งมงคลที่ควรมีติดรถไว้ให้อุ่นใจ จากเพจ CAR HERO
ผมคิดว่าลักษณะของการปกปักรักษาให้อยู่รอดปลอดภัย รวมถึงการให้ความสำคัญกับความงาม ความสำรวม และความอุดมสมบูรณ์ เป็นลักษณะของพุทธศาสนาไทยที่หนังสือเล่มนี้ต้องการจะฉายให้เห็น ซึ่งเป็นลักษณะที่มักถูกมองข้ามในการศึกษาพุทธศาสนาไทย สำหรับแมคดาเนียลแล้ว พุทธศาสนาที่ปรากฏในสังคมไทยจริง ๆ ไม่ใช่หนทางไปสู่ความหลุดพ้นหรือจริยศาสตร์ของการอยู่ร่วมกัน หรือกฎเกณฑ์ว่าควรทำอะไรไม่ควรทำอะไร แต่เป็นเครื่องมือในการปกป้องคุ้มครองจากภยันตรายและความเสี่ยงที่อยู่รอบตัว และเสริมสร้างสวัสดิภาพในการใช้ชีวิต ที่ในสังคมไทยนั้น มีความเสี่ยงมากมายราวกับแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ลักษณะเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นลักษณะของพุทธศาสนาไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นลักษณะของพุทธศาสนาเถรวาทโดยรวม ๆ ที่ปรากฏในศรีลังกา พม่า ลาว และกัมพูชาอีกด้วย เมื่อพูดถึงเถรวาท หลาย ๆ คนอาจนึกถึงคัมภีร์พระไตรปิฎกภาษาบาลี วัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด การให้ความสำคัญกับสมาธิภาวนา และท่าทีอนุรักษ์นิยมที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง แต่ลักษณะที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องคุ้มครอง ความอุดมสมบูรณ์ และการอำนวยสวัสดิภาพในการใช้ชีวิต ก็เป็นลักษณะที่สำคัญไม่แพ้กัน
รูปที่ 6. ‘มาทำความเข้าใจ คำว่า…โลกียธรรม – โลกุตตรธรรม - ฌานสมาบัติ เพราะคนทั่วไปยังเข้าใจสับสนอยู่’ จากเพจ ธรรมะเพื่อทางพ้นทุกข์ โดย ท.ส. ปัญญาวุฑโฒ
ตัวอย่างแรกคือเรื่องของจิตรกรรมฝาผนัง แมคดาเนียลวิพากษ์งานวิชาการที่พยายามจัดระบบจิตรกรรมฝาผนังจากเรื่องเล่า และการมองจิตกรรมฝาผนังว่าเป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นคำสอน ที่ใช้สอนธรรมผู้มาชม เขาเสนอให้สนใจประวัติการสร้างจิตรกรรม ตลอดจนจิตรกรผู้วาด แมคดาเนียลเอ่ยถึงจิตรกรรมฝาผนังจำนวนมาก ที่มีเนื้อเรื่องไม่ปะติดปะต่อกัน แต่รวมเอาเรื่องเล่าที่หลากหลายของคลังวัฒนธรรมในสังคมไทยเอาไว้ โดยไม่สนใจว่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนาหรือไม่ เขาเสนอมุมมองว่าควรจะมองจิตรกรรมฝาผนังในฐานะพื้นที่แห่งการสร้างสรรค์ ไม่ใช่มองแค่ในเชิงสัญลักษณ์ทางศาสนา
รูปที่ 7. บทวิจารณ์ของ ส.ศิวรักษ์ ต่อหนังสือ ผีอาลัยรักกับพระนักเวทย์ฯ
แมคดาเนียลกลับมองว่าเราควรมองเครื่องรางของขลังในฐานะของประวัติศาสตร์ศิลปะ และเป็นประวัติศาสตร์ร่วมของพุทธศาสนาไทยด้วย สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในพุทธศาสนาไทยตั้งแต่โบราณและวิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้เครื่องรางของขลังยังเป็นสิ่งที่ให้คุณมากกว่าให้โทษ แมคดาเนียลสืบค้นลงไปถึงวัตถุดิบที่ใช้คำเครื่องรางของขลังจำนวนมาก เช่นเปลือกหอยนางรม เม็ดขนุนบด หัวว่านบางชนิด เศษจีวรพระ เศษคำภีร์ใบลาน และกรรมวิธีในการผลิตก็ต้องผ่านพิธีกรรมและบทสวดมากมาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการสร้างองค์ความรู้ทางสังคมทั้งสิ้น และหากมองในเชิงเศรษฐกิจ เครื่องรางของขลังยังช่วยกระจายรายได้ผ่านพิธีพุทธาภิเษก ที่ก่อให้เกิดการเดินทางไปยังท้องถิ่นต่าง ๆ และกระจายรายได้ผ่านร้านค้าในงานวัด การติดตั้งเวทีและให้เช่าเครื่องเสียง รถโดยสารประจำทาง คนขายดอกไม้ธูปเทียน คณะนางรำ ลิเก และมหรสพ ไปจนถึงร้านค้าในย่านท้องถิ่น เครื่องรางของขลังยังเป็นตลาดแข่งขันเสรี ที่ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าสู่ตลาดได้ไม่ว่าในฐานะผู้ขายหรือผู้ซื้อ ไม่สามารถผูกขาดได้ เหมือนกับธุรกิจน้ำมัน อินเตอร์เน็ต หรือร้านสะดวกซื้อ ผู้ผลิตเครื่องรางของขลังมีมากมายทั้งพระสงฆ์และฆราวาส ผู้ค้าเครื่องรางของขลังยิ่งมีจำนวนมากอย่างไม่ต้องพูดถึง นอกจากนี้เครื่องรางของขลังยังก่อให้เกิดประโยชน์ในการสร้างพื้นที่และบทสนทนาทางสังคม ก่อให้เกิดการรวมตัวอย่างชมรมพระเครื่อง และนิตยสารพระเครื่องต่าง ๆ และยังสร้าง “วงวิชาการ” ของตนขึ้นมาอีกวงหนึ่งด้วย
รูปที่ 8. หนังสือต่าง ๆ เกี่ยวกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
ข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่แหลมคมที่สุดของแมคดาเนียล และน่าจะเป็นการสะท้อนถึงลักษณะเฉพาะอีกประการหนึ่งของพุทธศาสนาไทยคือสถานะของพระพุทธเจ้าในสิ่งที่เรียกว่า “วัดครบวงจร” เมื่อพระพุทธเจ้าในฐานะพระประธานถูกปิดอยู่ในโบสถ์ มักถูกล็อกกุญแจไม่ให้เข้าไปสักการะ หรือไม่ก็ไม่มีใครเข้าไป ต่างจากศูนย์กลางของความสนใจของวัดซึ่งอยู่ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ภายในวัดแห่งหนึ่งมักมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เลือกกราบไหว้บูชาหลากหลาย ทั้งในเชิงแหล่งที่มาและวิธีการ บางที่มีทั้งพระพุทธรูปให้ปิดทอง พระประจำวันเกิดให้หยอดเหรียญหรือลอยเทียนสักการะ รูปเคารพของพระสงฆ์อย่างสมเด็จโตหรือหลวงปู่ทวด เจ้าแม่กวนอิม พระราหู หรือเทพฮินดู พื้นที่ให้ปล่อยปลาหรือปล่อยนก ที่เสี่ยงเซียมซีหรือโต๊ะปรึกษาหมอดู และแผงให้เช่าวัตถุมลคล วัดครบวงจรจะต้องมีบริการให้หลากหลายที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อดึงผู้ศรัทธาที่หลากหลายเข้ามาสู่วัด ภายในวัดดังกล่าว เราสามารถบูชารูปเคารพ ตรวจดวงชะตา บริจาคเงิน นั่งสมาธิ อ่านหนังสือในห้องสมุด เล่นฟุตบอล เดินตลาดนัด หรือแม้กระทั่งมีพื้นที่ให้จีบหรือหยอกเย้ากันของหนุ่มสาว
คิดต่อจากหนังสือเล่มนี้ : ปัญญาชนพุทธแนวเสรีนิยมกับ “คลังวัฒนธรรม” ของพุทธศาสนาไทย
รูปที่ 9. ท่านพุทธทาสภิกขุ ที่สวนโมกขพลารามสิริ จ.สุราษฎร์ธานี
แม้ว่าจะขึ้นชื่อว่าเป็นพระสงฆ์หัวก้าวหน้า เป็นปัญญาชน และผู้ริเริ่มแปลคัมภีร์อย่างพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย แต่ความโดดเด่นของท่านพุทธทาสคือกิจกรรมร่วมกับชุมชน การลงแขกเพื่อสร้างสโมสรธรรมทานที่วัดชยาราม และการย้ายสวนโมกขพลารามจากตำบลพุมเรียงมาอยู่ที่ตั้งปัจจุบัน ล้วนอาศัยแรงงานและความอุตสาหะของคนในชุมชนเป็นอย่างมาก ท่านพุทธทาสร่วมกับชุมชนในการซ่อมแซมถนนและขุดลอกคลอง รวมถึงมีการทำประเพณีชักพระหรือแห่กฐินทางเรือ คงมีน้อยคนที่รู้ว่าท่านพุทธทาสเคยเสกน้ำมนต์ และรับตั้งชื่อลูกให้กับชาวบ้าน ท่านพุทธทาสยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการฟื้นฟูงานสมโภชน์ประจำปีของวัดพระบรมธาตุไชยา และเคยพยายามริเริ่มการประกวดสวดมนต์ในงานดังกล่าว นอกนั้น ท่านยังยังริเริ่มงานประเพณีอีกจำนวนหนึ่ง เช่นงานเวียนเทียนในวันอาสาฬหบูชา งานทำบุญวันเยี่ยมสวนโมกข์ และงานล้ออายุ ประเพณีพิธีกรรมเหล่านี้ล้วนซึมซับเข้าไปในวิถีชีวิต และกลายเป็นส่วนหนึ่งของคลังวัฒนธรรมในชุมชน ซึ่งแตกต่างจากอีกด้านหนึ่งจากที่ท่านพุทธทาสได้เขียนวิจารณ์ด้วยมุมมองแบบปัญญาชนพุทธเสรีนิยมในงานเขียนของท่าน
รูปที่ 10. วัตถุที่เกี่ยวข้องกับท่านพุทธทาส
และที่ชัดเจนกว่านั้น เรื่องเล่าของท่านพุทธทาสปรากฏแม้แต่ในสำนักพุทธศาสนาที่เน้นเครื่องรางของขลัง มีการนำรูปของท่านพุทธทาส ไปแปะไว้ต่อจากรูปเคารพของสมเด็จโตและพระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ และมีเรื่องเล่าในบางสายธรรมที่เน้นเรื่องราวอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ว่าท่านเป็นอรหันต์สุขวิปัสสกที่ไม่มีอิทธิฤทธิ์ จึงทำให้ไม่สามารถสอนผู้คนในเรื่องดังกล่าวได้ ปรากฏการณ์เหล่านี้ลบภาพของพุทธทาสภิกขุที่เป็นบรรพบุรุษทางความคิดของปัญญาชนพุทธแนวเสรีนิยมไปเสียแทบจะหมดสิ้น ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้สะท้อนความหลากหลายและกว้างขวาง ตลอดจนศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งล้วนแต่เป็นลักษณะของพุทธศาสนาไทยที่แมคดาเนียลนำเสนอในหนังสือเล่มนี้
จุดอ่อนของหนังสือเล่มนี้ : ข้อวิพากษ์เกี่ยวกับความขัดแย้งและประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม การที่ผมกล่าวไปในช่วงต้นของบทความ ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นงานศึกษาที่อธิบายภาพความเป็นไปของพุทธศาสนาไทยได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่มันเป็นมากที่สุด แต่ไม่ใช่ว่าคำอธิบายของหนังสือเล่มนี้เป็นสิ่งที่ไร้ข้อวิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นเพื่อโต้แย้งกับมุมมองว่าพุทธศาสนาไทยสมัยใหม่ถูกสร้างโดยรัฐหรือผู้มีอำนาจจากส่วนกลาง ทำให้ลักษณะของพุทธศาสนาไทยที่หนังสือเล่มนี้ต้องการจะนำเสนอ อย่างความศักดิ์สิทธิ์ของสมเด็จโต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันอย่างไม่ได้ตั้งใจของหลากหลายภาคส่วน และบทบาทของรัฐส่วนกลางหายไปจากสมการ และหากจะยังหลงเหลืออยู่ ก็เป็นเพียงหนึ่งในหลายเหตุปัจจัย ที่ร่วมสรรสร้างค์ความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงของพุทธศาสนาในคลังวัฒนธรรมไทยเท่านั้น
รูปที่ 11. ตำรวจคุมตัวก๊วนพระกินหมูกระทะ ซดเบียร์ในวัด หน้าองค์พระประธาน ส่งฟ้องศาลเชียงใหม่
อย่างไรก็ตาม การจัดการแบบสุ่มมั่วซั่ว และความไร้ประสิทธิภาพ ทำให้สำนักพุทธไม่สามารถดำรงตนเป็นผู้ชี้ขาดปัญหาความขัดแย้งในคลังวัฒนธรรม และการจับพระสึกของสำนักพุทธก็ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมในหลาย ๆ กรณี ทำให้เกิด “ผู้ตัดสินชี้ขาดเอกชน” ขึ้นจำนวนหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น “แพรี่-อดีตพระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ” “หมอปลา มือปราบสัมภเวสี” และ “หนุ่ม กรรชัย” พิธีกรรายการโหนกระแส คนเหล่านี้ล้วนแต่ทำหน้าที่ในการยื้อแย่งอำนาจในการชี้ขาดความขัดแย้งในปริมณฑลของพุทธศาสนาไทยจากสำนักพุทธ คนพวกนี้บางครั้งก็ไม่ได้เห็นด้วยและต่อรองอำนาจกับสำนักพุทธ เช่นกรณีของพระมหาไพรวัลย์ ที่เห็นต่างจากสำนักพุทธในกรณีขนมอาลัวรูปพระเครื่อง แต่หลาย ๆ ครั้ง คนเหล่านี้ก็แอบอิงกับอำนาจของสำนักพุทธ เพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตัวเอง เช่นกรณีของหนุ่ม กรรชัย ที่เชิญคนจากสำนักพุทธมาออกรายการ เพื่อดีเบตกับความเชื่อเกิดใหม่อย่าง “น้องไนซ์-นฤมิตเทวาเชื่อมจิต” ในลักษณะ 2 รุม 1 และอย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในรายละเอียดลึกลงไป “ผู้ตัดสินชี้ขาดเอกชน” เหล่านี้ ก็ยึดถืออุดมการณ์ที่ไม่ได้แตกต่างจากสำนักพุทธมากนัก
รูปที่ 12. บทวิจารณ์ของสุรพศ ทวีศักดิ์
ผมได้อ่านบทวิจารณ์ที่สุรพศ ทวีศักดิ์ วิพากษ์หนังสือเล่มนี้ โดยสุรพศกล่าวว่าหนังสือเล่มนี้นำเสนอภาพของพุทธศาสนาไทยที่มีการเปลี่ยนเป็นโลกวิสัยทางสังคมวิทยา (Sociological Secularization) คือการยอมรับศาสนาในมิติปัจเจกบุคคล และมีการยอมรับและเคารพความเชื่อที่แตกต่างหลากหลาย สุรพศโต้แย้งแมคดาเนียลในประเด็นเกี่ยวกับอำนาจของรัฐในปริมณฑลของพุทธศาสนาไทยเช่นเดียวกับที่ผมวิพากษ์ และมองว่ามันเป็นผลมาจากการที่ประเทศไทยยังขาดการเปลี่ยนเป็นโลกวิสัยทางการเมือง (Political Secularization) ในขณะที่สุรพศอธิบายว่าสิ่งที่ กลุ่มคนที่เรียกว่า “นักวิชาการด้านพุทธศาสนา บรรดาผู้รู้พุทธ และกลุ่มผู้ปกป้องพุทธศาสนา”หวาดกลัวหรือกังวลมากที่สุดไม่ใช่ความสับสนอลหม่านของคลังวัฒนธรรมหรือการเติบโตของพุทธพาณิชย์อันเนื่องมากจากทุนนิยม แต่คือข้อเสนอให้แยกศาสนาออกจากรัฐ สุรพศกลับไม่ได้อธิบายว่ากระบวนการแยกศาสนาออกจากรัฐหรือการเปลี่ยนเป็นโลกวิสัยทางการเมือง (Political Secularization) จะต้องกระทำอย่างไร ภายใต้เงื่อนไขของคลังวัฒนธรรมอันอุดมสมบูรณ์ของพุทธศาสนาไทย ซึ่งการไม่สามารถตอบคำถามดังกล่าวของสุรพศได้ เนื่องมาจากการที่สุรพศไม่ได้มองถึงประเด็นของสาเหตุที่รัฐเข้ามามีอิทธิพลในคลังวัฒนธรรมดังกล่าว และอุดมการณ์ที่รัฐใช้ในการการปฏิสังสรรค์ทางสังคมอย่าง “ความจงรักภักดี”
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |