“เคียร์เคอการ์ด ฉบับกระชับ” (Kierkegaard: A Very Short Introduction) เขียนโดย แพทริก การ์ดิเนอร์ แปลโดย พุทธิพงศ์ อึงคนึงเวช และ ภาคิน นิมมานนรวงศ์ คืองานเขียนที่จัดได้ว่าอยู่ในหมวดหมู่หนังสือฉบับพกพา หรือ “ฉบับกระชับ” ดังคำที่ถูกใช้เป็นชื่อหนังสือในฉบับแปลภาษาไทย ความแตกต่างของงานเขียนในลักษณะนี้เมื่อเทียบกับตัวบทต้นฉบับทางปรัชญาเล่มหนาที่เรียบเรียงออกมาอย่างเป็นระบบ เก็บทุกรายละเอียดของความคิดที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอ คือเนื้อหาที่ถูกย่อให้กระชับแต่รวบรัดพอสังเขปเพื่อเป้าหมายในการช่วยให้ผู้อ่านได้พอทำความรู้จักกับแนวคิดนั้นๆ ก่อนที่จะเข้าไปศึกษาในระดับที่ลึกมากยิ่งขึ้น
ภาพครอบครัวของซอเรน เคียร์เคอการ์ด
ก่อนจะเริ่มเข้าสู่การวางพื้นเกี่ยวกับปูมหลังทางปรัชญาของคานท์และเฮเกลอันเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจต่อข้อเสนอของเคียร์เคอการ์ด ซึ่งเป็นไปในทางที่ทั้งงอกเงยมาจากขนบปรัชญาดังกล่าวและโต้แย้งกับมัน ท้ายที่สุดแล้วการ์ดิเนอร์ได้รวบประเด็นทั้งหลายที่กล่าวมาในบทก่อนหน้าเพื่อเปิดไปสู่ข้อถกเถียงสำคัญของเคียร์เคอการ์ด ผู้ผลักโจทย์ทางปรัชญาของตนไปสู่แง่มุมของการมีศรัทธาและความเป็นปัจเจกบุคคลของมนุษย์ โดยการกล่าวถึงเสรีภาพ การเลือก และภาวะความเป็นปัจเจกนี้เองที่ทำให้เคียร์เคอการ์ดถูกกล่าวถึงในฐานะของต้นทางความคิดแบบอัตถิภาวนิยม (Existentialism) อย่างที่หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินกันมา
เคียร์เคอการ์ดมักถูกยกย่องให้เป็นบิดาแห่งอัตถิภาวนิยม
งานเขียนของเคียร์เคอการ์ดมีความน่าสนใจและความลุ่มลึกในแบบของมันเอง ทั้งในความหมายของแนวคิดของเขาที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของมนุษย์ในฐานะปัจเจก อันส่งผลให้ตัวของเคียร์เคอการ์ดมักถูกกล่าวถึงในฐานะบิดาแห่งอัตถิภาวนิยม
แต่การกล่าวเช่นนี้ในด้านหนึ่งก็หวนกลับมาบดบังซึ่งรายละเอียดในข้อเสนอทางปรัชญาของเคียร์เคอการ์ดเอง ผู้มีจุดยืนและโจทย์สำคัญที่ต้องการผลักดันให้เหล่าผู้คนในยุคสมัยของตนเล็งเห็น และความน่าสนใจในอีกความหมายหนึ่งคือลักษณะข้อเขียนที่ออกมาของเคียร์เคอการ์ดนั้นล้วนแต่เป็นไปในลักษณะที่ค่อนข้างแตกต่างจากข้อเขียนทางปรัชญาทั่ว ๆ ไป อย่างน้อยก็ในขนบแบบปรัชญาสมัยใหม่ที่ดำเนินมานับตั้งแต่เรอเน่ เดการ์ตส์ ล่วงมาจนถึงนักปรัชญาอย่างคานท์และเฮเกล
“...เฉกเช่นมาร์กซ์กับนิทซ์เช เคียร์เคอการ์ดกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ท้าทายความศักดิ์สิทธิ์และต่อต้านแนวคิดกระแสหลักในศตวรรษที่ 19 ที่โดดเด่นคนหนึ่ง เป็นนักเขียนผู้จงใจผลิตงานโจมตีสมมติฐานและรูปแบบทางความคิดที่ครอบงำยุคสมัยของตน และผู้ซึ่งข้อถกเถียงสำคัญได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางก็เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว” (หน้า 3)
งานเขียนของเคียร์เคอการ์ดนั้นไม่ได้รับการยอมรับมากนักในยุคสมัยของเขา หรือหากใช้คำอย่างกาดิเนอร์คือผู้คนยอมรับงานเขียนของเขาช้าเป็นพิเศษ ด้วยลักษณะงานเขียนที่เข้าไปโต้แย้งต่อวิธีการและทิศทางของแนวคิดทางปรัชญาที่ได้รับการยอมรับในยุคสมัยนั้น ซึ่งเป็นไปบนขนบการทำปรัชญาแบบสมัยใหม่ (Modern Philosophy) ที่เริ่มหันเหความสนใจมายังแง่มุมทางการมีความคิด สติปัญญา และการใช้เหตุผลของมนุษย์ นับแต่งานเขียนของเดการ์ตส์ที่วางรากฐานแก่การทำปรัชญาเสียใหม่ โดยตั้งต้น ณ รากฐานอันมั่นคงจนนำไปสู่การเปิดอาณาบริเวณศึกษาว่าด้วยการมีความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งล่วงมาถึงยุคเรืองปัญญา (Enlightenment) เมื่อการมาถึงของแนวคิดแบบคานท์และเฮเกลมีส่วนช่วยผลักดันประเด็นดังกล่าวมากยิ่งขึ้นไปจนสุดทาง และมอบหมุดหมายสำคัญสำหรับการให้นิยามตลอดจนความสำคัญต่อความเป็นมนุษย์ไว้ที่แง่มุมความมีเหตุผลเสียสิ้น
เรอเน่ เดการ์ตส์ (1596-1650) บิดาแห่งปรัชญาสมัยใหม่
เคียร์เคอการ์ดคือนักปรัชญาในยุคสมัยต่อมาที่เล็งเห็นถึงปัญหาจากแนวคิดดังกล่าวซึ่งลุกลามและเกาะติดความคิดของเหล่าผู้คนแห่งยุคสมัยให้เห็นพ้องต้องกันไปเสียหมด พร้อมทั้งปลดเปลื้องตัวพวกเขาเองจากความรับผิดชอบต่อสิ่งที่แต่ละคนกระทำเพื่อหันไปพึ่งพา “หลักการ” หรือคำอันเป็นนามธรรมที่ตนหาได้เข้าใจในสิ่งเหล่านั้นไม่ “คนกลุ่มนี้ต่างก็ยอมทำตามสิ่งนามธรรมที่สร้างความเป็นจริงแบบลอย ๆ ขึ้นมา แทนที่จะเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงที่ว่าสุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องรับผิดชอบต่อชีวิต นิสัย และทัศนคติของตนเอง พวกเขากลับปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ไปอยู่ในดินแดนปลอมๆ ที่ปั้นความคิดและหลักการขึ้นมาเป็นตัว” (หน้า 79)
ความพยายามของเคียร์เคอการ์ดจึงเป็นการกลับมาไตร่ตรองถึงเงื่อนไขของชีวิตในความเป็นเวลาอันมีขีดจำกัดของมนุษย์ โดยชี้ให้เห็นถึงแง่มุมอื่นนอกเหนือไปจากความมีเหตุผลที่นักปรัชญาสมัยใหม่ล้วนแต่ให้ความสำคัญ ทั้งยังจับเอาทุกสิ่งอย่างไว้อยู่ภายใต้หลักการดังกล่าวเสียหมด ในขณะที่เฮเกลเสนอถึงการทำความเข้าใจผ่านกระบวนการวิภาษวิธี (Dialectic) ซึ่งอาจจะคลี่คลายตัวเองและพบความหมายในยามที่ถูกมองย้อนกลับมาบนฐานะของการเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมแห่งประวัติศาสตร์
กระบวนการวิภาษวิธีของเฮเกล
เคียร์เคอการ์ดนั้นกลับพยายามจะชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของชีวิตที่ดำเนินตัวเองไปข้างหน้า ซึ่งต้องประสบพบเจอต่อทางเลือกที่ตัวเรานั้นไม่อาจคาดคะเนหรือทำความเข้าใจต่อมันได้ ความพยายามดังกล่าวสอดรับไปด้วยกันกับลักษณะข้อเขียนของเคียร์เคอการ์ดที่ออกมาในรูปแบบค่อนไปทางวรรณกรรมมากกว่าจะเป็นตัวบททางปรัชญาที่ไล่เรียงประเด็น ข้อถกเถียง จนลงเอยด้วยข้อสรุปอันชัดเจน อย่างที่พบเห็นได้ในตัวบททางปรัชญาซึ่งถูกเขียนขึ้นอย่างเป็นระบบและรัดกุมในยุคสมัยใหม่
ในทางกลับกัน เคียร์เคอการ์ดหันตัวเองกลับมาให้ความสำคัญต่อแง่มุมของประสบการณ์ผ่านการใคร่ครวญด้วยตนเองของแต่ละปัจเจกบุคคล เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงเงื่อนไขแห่งการดำรงอยู่อันมีขีดจำกัดที่พึ่งพิงอยู่บนสิ่งอื่นอันเลยพ้นไปจากตนเสมอ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมโจทย์สำคัญสำหรับเคียร์เคอการ์ดจึงถูกผลักดันไปในทางศาสนาซึ่งสวนทางกับทิศทางของปรัชญาในขนบที่ดำเนินมา โดยกาดิเนอร์ได้พยายามชี้ให้เห็นผ่านการอภิปรายหลักการทางจริยศาสตร์ของคานท์และเฮเกลที่จัดวางศาสนาไว้เป็นรองเสมอ ในขณะที่เคียร์เคอการ์ดนั้นให้คุณค่าแก่ศาสนาบนพื้นฐานของประสบการณ์แห่งการมีศรัทธาของมนุษย์ หรือชาวคริสต์ผู้ตัดสินใจที่จะเชื่อในพระเจ้าและมีศรัทธาจากการเลือกด้วยตัวของตนเอง
ตัวอย่างหนังสือที่พูดถึงแนวคิดของเคียร์เคอการ์ดที่เกี่ยวกับศาสนา
การให้ความสำคัญแก่ความเป็นปัจเจกของเคียร์เคอการ์ดสะท้อนออกมากระทั่งในข้อเขียนของตัวเขาเองที่สื่อสารกับผู้อ่าน “ทางอ้อม” ผ่านการใช้นามแฝงต่างๆ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิธีการทำคลอดปัญญา (Maieutic method) ของโสเครตีส (ดูหน้า 82) ตลอดจนการวางตัวเองในฐานะผู้เขียนให้เปรียบเสมือนบุคคลทางกวี (poetic person) ผู้ถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการเพื่อทดลองต่อประสบการณ์แห่งมุมมองชีวิตอันถูกสมมติขึ้น[1] น่าเสียดายที่กาดิเนอร์ไม่ได้ยกพื้นที่ให้แก่การกล่าวถึงลักษณะการใช้นามแฝงในงานของเคียร์เคอการ์ดมากนักเมื่อเทียบกับประเด็นส่วนอื่น แม้จุดนี้เองจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจสำหรับใครก็ตามที่ต้องการจะรู้จักเคียร์เคอการ์ดและงานเขียนของเขา
นามแฝงของเคียร์เคอการ์ดนั้นไม่ได้ถูกหยิบยกมาใช้เพียงเพื่อจุดประสงค์ของงานที่แตกต่างกันเท่านั้น อย่างที่เราจะได้เห็นกาดิเนอร์แจกแจงให้เห็นผ่านบทที่ 4 ของหนังสือ ซึ่งพุทธิพงศ์แปลโดยใช้คำว่า สุนทรียะ จริยะ และศาสน แต่สำหรับเคียร์เคอการ์ดผู้ให้ความสำคัญแก่ความเป็นเอกปัจเจกบุคล (Single Individual) ของมนุษย์แล้ว นามปากกาแฝงทั้งหลายของเขาก็เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ใช้ในงานประพันธ์ เพื่อมอบการทดลองไตร่ตรองประสบการณ์ในสถานการณ์สมมติอันถูกจำลองขึ้นสำหรับให้ผู้อ่านของเขาได้ลองประสบด้วยตัวของพวกเขาเอง กล่าวคือ เป็นการก่อร่างสร้างสถานการณ์จำลองทางจินตนาการเพื่อให้ภาพเกี่ยวกับมุมมองชีวิตหรือประสบการณ์ที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถจะมีได้โดยสัมพันธ์กับความเป็นปัจเจกของเขาคนนั้นเอง อย่างที่เขาได้เขียนเอาไว้ว่า: “I wanted to depict and make visible psychologically and esthetically; in the Greek sense, I wanted to let the concept come into being in the individuality and the situation, working itself forward through all sorts of misunderstandings.”[2]
โดยตัวอย่างที่โด่งดังซึ่งกาดิเนอร์เองก็กล่าวถึงในหนังสือเช่นกัน คือเรื่องราวของอับราฮัม “บิดาแห่งศรัทธา” อันปรากฏในงานเขียน Fear and Trembling ผ่านนามปากกา โยฮันเนสผู้เงียบงัน (Johannes de Silentio) ผู้นำเสนอประสบการณ์เสียงแห่งความเงียบอันน่าประหวั่นและพรั่นพรึง
“...ด้วยหวังจะฉายภาพให้เห็นความสำคัญของแนวคิดที่ผู้คนในยุคสมัยของเขาเอาแต่พยักหน้าตาม ทว่าสาระที่แท้จริงกลับถูกกลบไว้ด้วยถ้อยคำลื่นหูของพวกบาทหลวง หรือไม่จิตวิญญาณของแนวคิดนี้ก็ถูกพรากไปโดยวิธีคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลของเหล่านักปรัชญา”(หน้า 119)
โยฮันเนสได้กล่าวถึงเหล่าผู้คนที่ต่างบอกเล่าเรื่องราวและสรรเสริญอับราฮัมในฐานะผู้มีศรัทธาสูงส่งถึงขั้นยอมเสียสละบุตรชายตนเองตามคำบัญชาของพระเจ้าได้ แต่หาได้มีใครคนใดเลยที่จะรู้สึกกระอักกระอวนจนข่มตาหลับไม่ลงจากเรื่องราวของอับราฮัม[3]
เทวทูตห้ามอับราฮัมที่กำลังจะสังหารอิซัก-บุตรชายคนเดียวของตน
จะมีใครบ้างที่เข้าใจความหนักอึ้งที่อับราฮัมต้องแบกรับระหว่างการเดินทางพาอิซักไปบูชายัญที่ภูเขาโมริยาห์ เขาต้องปิดบังเรื่องนี้จากลูกชายและคนรอบข้างตลอดเวลาที่เดินทางร่วมกันไป ซึ่งเป็นช่วงเวลาสามวันอันแสนยาวนานทั้งยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่อับราฮัมต้องทนแบกรับ เมื่อไปถึงยอดเขาและชักมีดออกมาเงื้อขึ้นเตรียมจะสังหารลูกชาย การกระทำที่ว่านี้ยังขัดแย้งต่อหลักศีลธรรมที่ตนยึดถือซึ่งผู้เป็นพ่อไม่สมควรที่จะทำร้ายลูกชายที่รักยิ่งของตัวเอง พร้อมกับอีกด้านก็ขัดแย้งต่อคำสัญญาของพระเจ้าที่ว่าจะให้อับราฮัมเป็นบิดาแห่งชนชาติ แต่พระเจ้ากลับมอบหมายภารกิจที่ต้องสังหารบุตรชายเพียงคนเดียวของเขาที่กำเนิดขึ้นมายามที่อับราฮัมเริ่มแก่ชรา กระนั้นเองอับราฮัมในสายตาของโยฮันเนสก็ยังคงเต็มไปด้วยความหวังขณะเงื้อมีดในมือขึ้น ด้วยความศรัทธาในพระเจ้าว่าพระองค์จะทรงประทานลูกชายของตนกลับคืนมาให้[4]
จะเห็นได้ว่าศรัทธาที่อับราฮัมมีนั้นเต็มไปด้วยความหมิ่นเหม่ที่ตัวเขาเองนั้นไม่อาจเชื่อมั่นในสิ่งใดได้อีกต่อไป ทั้งยังกระทำการลงไปโดยปราศจากหลักการสากลหรือทางเหตุผลใดๆ มารองรับ ประสบการณ์แห่งการมีศรัทธาของอับราฮัมจึงเทียบได้กับประสบการณ์ทางศาสนาที่โยฮันเนสต้องการจะชี้ให้เห็นถึงความสำคัญ ณ ห้วงจังหวะของการตัดสินใจบางอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์ปัจเจกผู้ต้องกระทำการเลือกสิ่งต่างๆ ภายใต้ความรับผิดชอบของตนเอง
แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีสิ่งใดยืนยันต่ออับราฮัมได้แต่ทีแรกว่าเสียงที่เขาได้ยินมานั้นคือเสียงของพระเจ้า! ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงมีศรัทธาต่อพระเจ้าผู้เป็นอื่นไปจากตนอย่างสมบูรณ์และพาอิซักเดินทางไปยังยอดเขาตามบัญชา
เรื่องราวของอับราฮัมที่โยฮันเนสบรรยายให้ผู้อ่านของตนได้พิจารณานั้นเผยให้เห็นถึงความยากบางอย่างของชีวิตซึ่งสะท้อนออกมาในเรื่องราวทางคริสต์ศาสนา ว่าความเชื่อในสิ่งเหล่านั้นหาได้สามารถทำความเข้าใจด้วยเหตุผลอย่างที่นักปรัชญาและเหล่าศาสตราจารย์ทางศาสนาทั้งหลายพยายามทำ เรื่องราวของอับราฮัมคือตัวอย่างของตำนานอันเต็มไปด้วยความย้อนแย้ง (Paradox) ที่เหตุผลไม่อาจคลี่คลายมันลงได้ เช่นเดียวกับอับราฮัมผู้มีศรัทธาในพระเจ้าด้วยการปลดเปลื้องตนเองออกจากหลักตรรกะทั้งหลายด้วยความไว้วางใจหนึ่งเดียวในพระเจ้าที่ตนศรัทธา ว่าพระองค์จะทำตามสัญญาแม้คำบัญชานั้นจะขัดแย้งต่อสัญญาดังกล่าวเพียงใดก็ตาม แม้ในความเป็นจริงแล้วปาฏิหาริย์ทั้งหลายจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ทั้งสิ้น แต่อับราฮัมก็ยังคงเลือกที่จะไว้วางใจในสิ่งอันอยู่เลยพ้นไปจากขอบเขตความเข้าใจของตนเองและต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางนั้นแต่เพียงลำพัง “ในสภาวะเช่นนี้ตัวเราจึงเป็นผู้ตัดสินแต่เพียงผู้เดียว สิ่งใดที่เราทำล้วนขึ้นอยู่กับตัวเราเองทั้งสิ้น” (หน้า 227)
กระนั้น บุคลิกสมมติในนามแฝงโยฮันเนสก็ไม่ได้นำเสนอตัวเองในฐานะผู้มีศรัทธาเฉกเช่นอับราฮัม หรือเป็นศาสตราจารย์ผู้พร่ำสอนเรื่องราวทางศาสนาแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม เขากล่าวอย่างชัดเจนถึงจุดยืนของตนเองที่ไม่อาจจะเป็นได้อย่างอับราฮัม[5] ด้วยความตระหนักดีถึงความยากของการมีศรัทธา จากเรื่องราวที่กล่าวไปข้างต้นจะเห็นได้ว่าแง่มุมของการมีศรัทธาย่อมแฝงมาด้วยความโดดเดี่ยวที่แต่ละปัจเจกจำเป็นต้องตัดสินใจในสิ่งที่ตนเลือกด้วยตัวของเขาเอง ซึ่งต้องอาศัยกำลังแรงใจเป็นอย่างมากในการจะทำเช่นนี้ได้ ด้วยเหตุว่าเบื้องหน้าของเส้นทางที่กำลังจะเดินไปนั้นไม่อาจมีสิ่งใดมารองรับผลลัพธ์ของสิ่งที่จะตามมาได้เลยแม้แต่น้อย
ชีวิตสามารถเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อเรามองย้อนกลับ แต่ชีวิต (กลับ) ต้องดำเนินไปข้างหน้า
- ซอเรน เคียร์เคอการ์ด -
การทำความเข้าใจด้วยเหตุผลนั้นเป็นไปได้เพียงในสิ่งที่ดำเนินมาจากการมีจุดยืนอันมั่นคงที่จะมองย้อนกลับไปเห็นถึงทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์เท่านั้น (ในนาม Absolute Spirit ของเฮเกล) แต่ในความเป็นไปได้ที่ความมีขีดจำกัดนั้นคือนิยามของความเป็นมนุษย์เองแล้ว เราจะสามารถมีจุดยืนอันมั่นคงที่จะมองย้อนกลับไปเช่นนั้นได้อย่างไร? เพราะชีวิตของเรานั้นคือชีวิตที่ดำเนินไปข้างหน้าตลอดเวลา (ดูหน้า 190-191) ซึ่งเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยทางเลือกและสิ่งอันเกินคาดคะเน จนทุกย่างก้าวที่ดำเนินไปบนความไม่แน่นอนนี้ต้องออกมาด้วยพละกำลังมหาศาลที่จะกระทำการเลือกและตัดสินใจ—มันอาศัยพละกำลังที่ราวกับต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากพระเจ้าอย่างไรอย่างนั้น
ด้วยเหตุนี้เองในสายตาของเคียร์เคอการ์ด ประสบการณ์ทางศาสนาจึงเป็นสิ่งที่ดึงเอาความเป็นปัจเจกของมนุษย์คนหนึ่งออกมาได้ชัดเจนที่สุด เพราะการมีศรัทธานั้นเรียกร้องสิ่งอันเกินเลยไปกว่าที่เหตุผลจะให้คำตอบแก่เราได้ การขยับเคลื่อนที่เกิดขึ้นจึงเป็นการเรียกร้องที่ราวกับผู้มีศรัทธากำลังเสี่ยงตัวเองจากการกระโจนออกสู่เหวลึกบนเสรีภาพของพวกเขาที่จะกระทำการเลือกด้วยตัวของตนเอง
อัศวินแห่งศรัทธา
ข้อเสนอของเคียร์เคอการ์ดช่วยดึงให้เรากลับมาพิจารณาความเป็นไปได้ของการมีศรัทธาใหม่อีกครั้ง ซึ่งนอกจากแง่มุมของศาสนาอันกล่าวถึงความยากของการมีศรัทธา (การไว้วางใจในสิ่งอื่น) แล้ว ความเป็นไปได้ดังกล่าวยังเผยให้เห็นถึงเงื่อนไขประการหนึ่งของการเป็นมนุษย์เองที่ดำรงอยู่อย่างเป็นเอกปัจเจก ที่ต่างก็มีเสรีภาพของตนเองที่จะกระทำการเลือกสิ่งต่างๆ ทั้งยังดำรงอยู่ในสายสัมพันธ์กับสิ่งอื่นอันแตกต่างไปจากตนเสมอ ในที่นี้มิได้หมายความเพียงแต่พระเจ้าอีกต่อไป แต่บ่งชี้ไปยังทุกสิ่งอันเลยพ้นไปจากขอบเขตหรือศักยภาพการใช้เหตุผลเพื่อคาดคะเนกะเกณฑ์ของตนเอง
แม้เคียร์เคอการ์ดจะไม่ใช่นักปรัชญาในกระแสหลักที่เป็นที่นิยมหรือกล่าวถึงในไทยมากนัก ตลอดจนงานเขียนของเคียร์เคอการ์ดเองก็ไม่ใช่ข้อเขียนที่อ่านหรือทำความเข้าใจได้โดยง่าย ทั้งยังมีการอ้างอิงถึงเรื่องเล่าตำนานต่างๆ ซึ่งโดยมากมาจากวัฒนธรรมฝั่งตะวันตก
“เคียร์เคอการ์ด ฉบับกระชับ” ที่ถูกแปลเป็นภาษาไทยเล่มนี้จึงนับเป็นหมุดหมายอันดีที่จะเริ่มต้นแนะนำเคียร์เคอการ์ดให้เป็นที่รู้จักแก่สังคมไทย ทั้งในหมู่ผู้ที่ศึกษาปรัชญาและนักอ่านทั่วไป ที่อาจหมายจะร่วมใคร่ครวญไปกับเคียร์เคอการ์ดถึงความเป็นไปได้ของชีวิตในฐานะมนุษย์ว่าควรจะออกมาเป็นอย่างไร ตลอดจนการตั้งคำถามต่อภาวะภายในของตนเอง
แม้ส่วนมากแล้วงานเขียนทางปรัชญาจะไม่ใช่งานที่ทำความเข้าใจได้ง่ายนักแต่การไล่เรียงประเด็นของการ์ดิเนอร์ที่นำเสนอออกมาเป็นระเบียบ ก็ลำดับงานเขียนพร้อมแนะนำข้อเสนอเคียร์เคอการ์ดได้ชัดเจนในระดับหนึ่ง แม้จะไม่ได้ลงรายละเอียดในแนวคิดอย่างเจาะลึกถึงแก่นแต่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการทำความเข้าใจถึงจุดยืนของเคียร์เคอการ์ดว่ามีที่ทางอย่างไรในทางปรัชญา ได้รับอิทธิพลมาจากใครและส่งอิทธิพลต่อไปถึงนักปรัชญาคนไหนในยุคต่อมาบ้าง
ประกอบกับสำนวนแปลของ พุทธิพงศ์ อึงคนึงเวช และ ภาคิน นิมมานนรวงศ์ ก็นับว่าเป็นชิ้นงานที่สามารถสื่อสารใจความหลักของหนังสือออกมาแก่ผู้อ่านให้สามารถทำความรู้จักนักปรัชญาคนนี้ได้อย่างแน่นอน
[1] ดูเพิ่มเติมใน Kierkegaard, S. (1983). Fear and Trembling Repitition. (Howard V. Hong and Edna H. Hong, trans.). Princeton University Press. p. xxii - xxx
[2] Ibid. p. 302
[3] ดูเพิ่มเติมIbid. p. 30
[4] Ibid. p. 36
[5] Ibid. p. 33
[6] Ibid. p. 49
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |