ในโลกการศึกษาวิทยาศาสตร์ สิ่งห้อมล้อมที่เราไม่สามารถเมินเฉยได้อันมีความสำคัญต่อการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้นประกอบไปด้วยบทบาทของเทคโนโลยี ห้องปฏิบัติการ สังคมนักวิทยาศาสตร์ วาทกรรม ตัวธรรมชาติของวิทยาศาสตร์เอง รวมไปถึงความเข้าต่อวิทยาศาสตร์ของสาธารณชนตั้งแต่ระดับปัจเจกไปจนถึงรัฐอันสัมพันธ์กับสังคม วิทยาศาสตร์จึงไม่ใช่ศาสตร์ที่ดำรงอยู่อย่างเป็นเอกเทศ หากแต่กอปรขึ้นจากองคาพยพทางเทคโนโลยีและสังคมมากมาย ในบทความนี้จะเป็นการนำเสนอทัศนะในด้านสังคมและเทคโนโลยีเพื่อเน้นย้ำตัวอักษรสองตัวท้ายของคำว่า STS หรือ Science Technology and Society
ดาวเทียม
(อ้างอิง https://www.sciencefocus.com/space/top-10-heaviest-spacecraft)
วิทยาศาสตร์ประยุกต์หรือ applied science เป็นการนำความรู้ที่ได้จากวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ไปใช้ในเชิงรูปธรรม ดังเช่น เครื่องมือทางการแพทย์ ทางวิศวกรรมศาสตร์ และทางอุตสาหกรรม เป็นต้น เทคโนโลยีในแง่หนึ่งจึงดูคล้ายกับว่าเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์ อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีบางอย่างก็ไม่ได้เป็นถาวรวัตถุแต่อยู่ในรูปของกระบวนการ วิธีการ หรือเทคนิค การกล่าวว่าเทคโนโลยีเป็นเพียงวิทยาศาสตร์ประยุกต์ก็ย่อมเป็นการลดทอนความสำคัญของความรู้ทางเทคโนโลยีให้ตกอยู่ภายใต้การเป็นแขนงย่อยของวิทยาศาสตร์ โดยในทางประวัติศาสตร์แล้วนั้น วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์กับเทคโนโลยีต่างมีพัฒนาการที่แยกจากกัน ไม่ใช่ว่าวิทยาศาสตร์จะสร้างเทคโนโลยีเสมอไป ในบางครั้งเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นก็ก่อให้เกิดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ตามมา ดังเช่นเครื่องจักรไอน้ำที่ก่อให้เกิดความรู้ด้านอุณหพลศาสตร์ ในทางกลับกันวิทยาศาสตร์ก็ก่อให้เกิดเทคโนโลยี เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ในแง่หนึ่งมีต่างมีเอกเทศในตัว ในขณะที่อีกแง่หนึ่งก็มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
เครื่องจักรไอน้ำ
(อ้างอิง https://www.thoughtco.com/steam-engines-history-1991933)
ห้องทดลอง
(อ้างอิง https://www.news-medical.net/life-sciences/A-Guide-to-Ensuring-High-Quality-Laboratory-Consumables.aspx)
การศึกษาห้องทดลองนั้นไม่เพียงกระทำกับอุปกรณ์ สารเคมีหรือวัตถุเท่านั้น แต่ต้องศึกษาตัวผู้ทดลองด้วย อาจกล่าวได้ว่าแม้วิทยาศาสตร์จะพยายามขจัดความเป็นอัตวิสัย (subjectivity) ออกจากการเผยตัวของความรู้ แต่ก็ปฏิเสธได้ยากว่าในความเป็นจริงผู้ทดลองมีผลต่อการทดลอง ในแง่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าผู้ทดลองต่างคนจะได้ผลการทดลองต่างกัน แต่กระบวนการในการศึกษาและความเชี่ยวชาญของผู้ทดลองมีผลต่อการปรากฏของข้อมูล
นอกจากนี้การสื่อสารกันระหว่างผู้ทดลองก็สื่อถึงการดำเนินไปของการทดลองและความมั่นใจในข้อมูลที่เกิดขึ้น การศึกษาห้องทดลองจึงต้องอาศัยการศึกษาเชิงชาติพันธุ์วรรณามาเกี่ยวข้องเพื่อเข้าใจธรรมชาติของผู้ทดลอง ในทางหนึ่งก็ต้องการเข้าใจว่าเหตุใดผู้ทดลองจึงมีผลต่อการทดลอง และในอีกแง่เพื่อให้เป็นไปตามอุดมคติของวิทยาศาสตร์ เราสามารถหรือไม่ที่จะพรากความเป็นอัตวิสัยออกจากห้องทดลองให้ได้มากที่สุด
ข้อมูลที่มาจากห้องทดลองในแง่นี้จึงดูเหมือนว่าเป็นเรื่องเชิงอัตวิสัยดังที่กล่าวไปข้างต้นหรือขึ้นกับห้องทดลองหรือผู้ทดลอง ในโลกของวิทยาศาสตร์นั้น ความจริงเชิงอัตวิสัยอันเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากนั้นจึงต้องสร้าง 'ภววิสัย' (objectivity) ขึ้นมาจากข้อมูลเหล่านั้น
ภววิสัยที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคนิคโลยีนั้นสามารถแบ่งได้เป็น ‘ภววิสัยโดยสัมบูรณ์’ และ ‘ภววิสัยตามแบบแผน’ ในบริบทของวิทยาศาสตร์ การสร้างภววิสัยโดยสัมบูรณ์เป็นสิ่งในอุดมคติของความรู้ในขณะที่ภววิสัยตามแบบแผนเป็นอุดมคติของกระบวนการ การสร้างภววิสัยเกิดขึ้นได้โดยการสร้างมาตรฐาน อาทิ การสร้างมาตรฐานของหน่วยในการวัดปริมาณทางวิทยาศาสตร์ กระนั้นมาตรฐานที่สร้างขึ้นก็สามารถเปลี่ยนแปลงตามประวัติศาสตร์รวมถึงนิยามความหมายของตัวภววิสัยเอง เราจึงต้องประนีประนอมมุมมองต่อภววิสัยและการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง กล่าวให้ถึงที่สุดภววิสัยที่เกิดขึ้นจะต้องไม่ขึ้นกับพื้นที่และเวลา ภววิสัยของข้อมูลต้องเกิดขึ้นตั้งแต่ขั้นตอนของการทดลอง ไม่ว่าผู้ทดลองจะเป็นคนชาติใด อยู่ส่วนใดของโลก ณ เวลาใดก็ควรจะได้ผลการทดลองที่ใกล้เคียงกัน
เมื่อเราพินิจไปลึกกว่าห้องทดลองและผลที่ได้มาซึ่งก็คือข้อมูลแล้ว ประเด็นต่อมาเราจะวิเคราะห์คือตัวการทดลองเองที่มีความสำคัญต่อการยืนยันสมมติฐานหนึ่งๆ อย่างไรก็ดีสิ่งดูจะอยู่เหนือกว่าการทดลองคือทฤษฎี ในแง่หนึ่งทฤษฎีอาจเกิดจากการสร้างความคิดรวบยอดของการทดลองหรือในแง่หนึ่งก็อาจเป็นการพัฒนาตัวทฤษฎีที่เป็นเอกเทศกับการทดลอง การทดลองจึงไม่ได้ถูกขับเคลื่อนโดยทฤษฎีเฉกเช่นเดียวกับทฤษฎีที่ไม่จำเป็นต้องเกิดจากการทดลอง ทั้งสองเป็นอิสระต่อกัน อย่างไรก็ดีทั้งทฤษฎีและการทดลองก็พยายามศึกษาความเป็นไปของธรรมชาติ แต่ดูเหมือนว่าโลกธรรมชาติจะเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงยากที่จะควบคุม จัดระเบียบหรือทำให้บริสุทธิ์ กล่าวให้ถึงที่สุดแล้วทั้งการทดลองและทฤษฎีก็อาจทำได้มากสุดแค่ศึกษาภาพแทนของธรรมชาติ เข้าใกล้อย่างเบียดชิดกับความจริงแต่ยากจะเข้าถึงความจริง ความรู้ทั้งทฤษฎีและการทดลองจึงมีความไม่เป็นธรรมชาติ
การพัฒนาทฤษฎีหนึ่งขึ้นมาได้ไม่เพียงแต่ใช้การทดลองในเชิงรูปธรรม หลายครั้งนักวิทยาศาสตร์ใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘การทดลองทางความคิด’ (Thought experiment) เพื่อพัฒนาทฤษฎีขึ้นมา ในแง่นี้การทดลองทางความคิดจึงมีกระบวนการทำงานเชิงปรัชญาเพราะใช้การนิรนัยมากกว่าการอุปนัยที่มักกระทำในการทดลองบนโลกความเป็นจริง การทดลองทางความคิดนั้นพยายามสร้างความเข้าในปรากฏการณ์ที่ยากจะทดลอง เช่น การทดลองเชิงความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษที่ในขณะที่ไอน์ชไตน์คิดการทดลองนั้นเป็นเรื่องยากมากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะทดลองการเดินทางของแสงก่อนที่ต่อมาจะมีการทดลองในโลกความเป็นจริงเพื่อยืนยันการทดลองทางความคิด การทดลองทางความคิดจึงเป็นโมเดลหนึ่งที่ยอมรับได้และสามารถถูกทำให้ผิดได้เฉกเช่นการทดลองในห้องทดลอง
การทดลองทางความคิดของไอน์ชไตน์
(อ้างอิง https://www.researchgate.net/figure/Illustration-to-Einsteins-thought-experiment_fig7_330713539)
ในหลายครั้งทฤษฎีเองก็เดินนำหน้าการทดลอง อย่างกรณีการทำนายการดำรงอยู่ของปฏิสสารของดิเรก คณิตศาสตร์และตรรกะเป็นเครื่องมือหนึ่งทางการทดลองทางความคิดได้เช่นกัน มากไปกว่านั้นการที่ผลการทดลองจริงขัดแย้งกับคณิตศาสตร์ก็อาจจะเพราะผลเฉลยนั้นมีค่าเป็นอื่นมากกว่าคณิตศาสตร์นั้นผิด เช่น ผลเฉลยของสมการหลุมดำที่ปรากฏการดำรงอยู่ของหลุมขาว ซึ่งแม้เราจะยังไม่สังเกตพบหลุมขาวแต่ก็มีทฤษฎีมาอธิบายการดำรงอยู่ของหลุมขาวในเงื่อนไขของสมการคณิตศาสตร์ ในทางกลับกันการทดลองเองก็นำมาสู่การสร้างทฤษฎีเช่นการทดลองทางพันธุศาสตร์ของเมเดลจนถึงการค้นพบสาย DNA หรือทฤษฎีวิวัฒนาการก็ล้วนมาจาการทดลองและการสังเกตการก่อนการทดลอง
แม้การทดลองจะอิงจากข้อมูลตามธรรมชาติ แต่ข้อมูลจำต้องได้รับการตัดแต่ง คัดเลือก จัดระเบียบเพื่อสามารถสร้างเป็นทฤษฎีได้ผ่านเครื่องมือมากมายไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ สถิติ เป็นต้น ความไม่สามารถเทียบเคียงได้อย่างแนบชิดของวิทยาศาสตร์จากการทดลองและวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติจึงไม่สามารถขจัดออกไปได้ตราบใดที่เราศึกษาในขอบเขตของวิทศาสตร์ที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดที่เราต้องตระหนักเสมอเพื่อยังสามารถยืนหยัดในวิทยาศาสตร์ได้ต่อไป
การสื่อสารวิทยาศาสตร์
(อ้างอิง https://www.news-medical.net/health/The-Importance-of-Science-Communication.aspx)
รูปแบบการสื่อสารวิทยาศาสตร์ต่อสังคมนั้นสามารถกระทำได้ในหลายรูปแบบและหลายช่องทาง โดยกระบวนการสื่อสารวิทยาศาสตร์นั้นอิงอาศัยศิลปะในการถ่ายทอดตั้งแต่การสร้างความสนใจในวิทยาศาสตร์ การถ่ายทอดตั้งแต่องค์ความรู้วิทยาศาสตร์จนไปถึงกระบวนทัศน์และวิธีคิดเชิงวิทยาศาสตร์ เหล่านี้คือสารที่การสื่อสารวิทยาศาสตร์จะต้องสื่อสารกับสังคม ในระดับปัจเจกอาจเป็นการโน้มน้าวให้สาธารณะเห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์แต่ในระดับรัฐ การโน้มน้าวนั้นมีความสำคัญเพราะการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของรัฐจะนำมาสู่การพัฒนาในระดับรากฐาน ตั้งแต่วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ข้อเสนอสำคัญของการสื่อสารวิทยาศาสตร์คือความต้องการสื่อสารวิทยาศาสตร์ออกสู่สาธารณะ แต่สิ่งที่สื่อสารวิทยาศาสตร์ควรตระหนักและน้อมรับมาเป็นส่วนหนึ่งในการสื่อสารคือการเข้าใจปฏิบัติการทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและประวัติศาสตร์ ส่วนที่เพิ่มเติมนี้อาจช่วยเติมเต็มการสื่อสารข้อมูลวิทยาศาสตร์ดิบๆ โดยปราศาจากความเข้าใจสังคม การที่วิทยาศาสตร์และสังคมจะเชื่อมต่อกันได้นั้นต่างฝ่ายจะต้องเข้าใจกันและกัน ในมุมของวิทยาศาสตร์เองอาจต้องรับรู้การเปลี่ยนแปลงของวิทยาศาสตร์ในเชิงสังคมและการพัฒนาของสังคมวิทยาศาสตร์ การศึกษาสังคมวิทยาของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคงเป็นสิ่งที่แทบจะปฏิเสธได้ยาก หากต้องการให้วิทยาศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยทางสังคม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเองต้องเข้าใจบทบาทและหน้าที่ ตำแหน่งแห่งหนของความรู้ที่วางอยู่ในสังคม
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |