Q : ช่วยเล่าเกี่ยวกับตัวเองหน่อยว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ และทำอะไรก่อนที่จะมาเรียนปริญญาโทด้านปรัชญา เคยศึกษาด้านไหนมา เกี่ยวข้องกับปรัชญาบ้างหรือเปล่า
A : ตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีมาก็ทำงานกับองค์กรช่วยเหลือเด็กกำพร้าในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคเหนือมาโดยตลอด เมื่อก่อนอยู่เชียงใหม่แต่ตอนนี้ย้ายมาอยู่เชียงราย ถ้าไม่ได้ไปเที่ยวเตร่ที่ไหนชีวิตก็จะวนเวียนอยู่แถวนี้ครับ ก่อนเรียนปริญญาโทก็เรียนภาษาอังกฤษมาก่อน ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องเล่าเหมารวมหรือเปล่านะครับ คือด้วยความที่เป็นผลผลิตของการศึกษาไทยและอยู่พื้นที่ชายขอบมากๆ ตอนนั้นที่เลือกเรียนภาษาเพราะคิดว่าจบไปแล้วจะมีโอกาสไปทำงานกับฝรั่ง ได้เงินเยอะ เหมือนเพื่อนหลายคนที่ตอนนี้ก็ไปทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ไปอยู่ในหน่วยงานที่ทำธุรกิจกับต่างชาติ หรือการท่องเที่ยว อีกอย่างเมื่อก่อนคิดจริงๆ ว่าคนที่พูดภาษาอังกฤษได้เป็นคนฉลาด ดูมีการศึกษา ก็เลยอยากจะเป็นเหมือนเขาบ้าง คือถ้าวิจารณ์ตัวเองแบบหยาบๆ คงจะบอกว่าตัวเองตอนนั้นช่างเป็นเหยื่อของซากเดน (legacy) ของลัทธิอาณานิคมอะไรประมาณนี้ครับ แต่ความจริงแล้วก็รู้สึกว่าคิดถูกมากๆ แล้วที่เลือกเรียนภาษาอังกฤษ เพราะมันไม่ได้เรียนแค่ทักษะภาษาไง ที่แน่ๆ มันมีวิชาวรรณกรรมด้วย ตรงนี้บอกเลยว่าช่วยเปิดโลกทัศน์เยอะเลยครับ ถึงแม้มันอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับปรัชญาโดยตรง แต่วรรณกรรมก็ช่วยให้เราได้เริ่มฝึกคิดวิเคราะห์จากตัวบทอย่างมีเหตุผล
Q : เพราะอะไรถึงเลือกเรียนปรัชญา
A : ความจริงก่อนหน้าไปเรียนภาษาสันสกฤตครับ คือเป็นคนชอบอ่านอะไรมั่วๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งอ่านหนังสือรวมบทความเกี่ยวกับเกร็ดความรู้ด้านภาษาและวรรณคดีสันสกฤต โดยเฉพาะของอาจารย์กุสุมา รักษมณี ก็เลยลองไปเรียนดู ปรากฏว่าไม่รอด เพราะรู้สึกว่าวิธีการเรียนมันไม่ใช่แนวที่อยากจะใช้เวลากับมันจริงๆ ก็กลับมาดูกองหนังสือที่เราเลือกซื้อมาอ่านมาเก็บอีกครั้ง พบว่าจริงๆ เราชอบอ่านแนวคิดของคนนี่นา ก็เลยตัดสินใจมาเรียนปรัชญา เพราะคิดว่าคงจะได้ฝึกอ่านแนวคิดของคนพวกนี้อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นสองปีที่มีความสุขมาก ในห้องเรียนมีแค่สี่คนเอง อีกอย่างพวกที่เรียนปรัชญาด้วยกันนี้เขาก็ใจกว้าง อ่านผิดก็ช่วยกันอธิบาย หรือบางทีอ่านไปเรื่อยเข้ารกเข้าพงก็ช่วยกันพาออกมาจนได้ คงเพราะเราไม่ได้คาดหวังกับผลการเรียนด้วย คือจบปรัชญาไปก็เอาไปสมัครงานได้เงินเดือนสูงๆ ไม่ได้อยู่แล้ว เป็นการเรียนที่ไม่ต้องแบกความคาดหวังอะไรทั้งนั้น เลยมีความสนุกตรงนี้

สันติ เล็กสกุล ผู้เขียน
Q : เพราะอะไรถึงเลือกทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับสปีวาก/มาสนใจสปีวากได้อย่างไร
A : ตรงนี้ต้องย้อนกลับไปสมัยเรียนปริญญาตรีปีสุดท้าย คือตอนนั้นเรียนวิชาสัมมนาแล้วก็เลือกลงหัวข้อเกี่ยวกับการวิจารณ์วรรณกรรม แล้วต้องเขียนเปเปอร์ส่งเป็นแบบฝึกหัด เราเลือกอ่าน Jane Eyre ของ Charlotte Brontë รักเดียวของเจนจิราของเราเนี่ยนะครับ หน้าที่ของเราที่เป็นนักเรียนก็คือไปค้นคว้าว่ามีนักวิชาการเขาพูดถึง Jane Eyre กันอย่างไรบ้าง ก็มีเยอะแยะเลยล่ะ แต่เราก็มาสะดุดใจบทความ Three Women's Texts and a Critique of Imperialism ของสปีวาก โดยเฉพาะที่พูดถึงตัวละคร Bertha Mason หญิงสวยสติเสียจากจาไมก้าที่ถูกขังในห้องใต้หลังคา ที่ถูกเล่าผ่านปากนางเอกและพระเอก ให้มีลักษณะคลุมเครืออยู่ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ คือสปีวากเห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะอ่านวรรณกรรมอังกฤษยุคศตวรรษที่ 19 โดยไม่คำนึกถึงลัทธิจักรวรรดินิยมได้เลยอะไรทำนองนี้ แม้ว่าบทความนี้จะเขียนมานานมากแล้วก่อนเราเกิดเสียอีก แต่สำหรับเราแล้วมันเป็นอะไรที่ใหม่มาก ก็เลยไปค้นคว้าต่อว่าสปีวากเธอเป็นใครมาจากไหน แน่นอนว่าก็เจอบทความ Can the Subaltern Speak? อันโด่งดังที่มีทั้งคนชมและคนด่าของเธอ บอกตรงๆ ว่าตอนแรกนั้นอ่านไม่รู้เรื่องเลย แต่ก็เก็บเอาไว้ในใจก่อน ล่วงเลยจนมาถึงเวลาที่จะต้องเริ่มส่งหัวข้อวิทยานิพนธ์เราก็ไปดูน่ะครับว่าปรัชญาที่ มช เนี่ยเขาทำเกี่ยวกับอะไรกันบ้าง มีหลายชิ้นเลยที่พูดถึงเรื่องของตัวตน ความเป็นมนุษย์ หรือแม้กระทั่งวิญญาณ ของนักคิดนักปรัชญาคนนั้นคนนี้ คือมีความเป็นมนุษย์เป็นศูนย์กลางมากๆ มันเลยทำให้เรานึกย้อนกลับไปหา the subaltern ว่า แล้วพวกนี้มีตัวตนไหม มีความเป็นมนุษย์แบบในกรอบวิธีคิดของนักคิดนักปรัชญาเหล่านั้นหรือเปล่า แล้วที่แน่ๆ พวกเขาเป็นใคร แล้วทำไมถึงได้กลายมาเป็น the subaltern เอาคำถามพวกนี้มาลองเขียนเป็นวิทยานิพนธ์เสียเลยน่าจะดี ที่มาที่ไปก่อนจะเริ่มศึกษาทำความเข้าใจเท่าที่จำได้ก็ประมาณนี้ครับ

คายตรี จักรวรที สปีวาก
Q : งานของสปีวากขึ้นชื่อว่าอ่านยากมาก คุณสันติมีปัญหากับการอ่านสปีวากไหม ถ้ามีแล้วจัดการกับมันอย่างไร
A : มีสิครับ เยอะด้วย วิธีการจัดการคิดว่าไม่น่าจะต่างจากคนอื่นสักเท่าไร ขอพูดถึงการอ่าน Can the Subaltern Speak? ละกัน บทความนี้จะเข้าใจยากหน่อยก็ตรงที่สปีวากวิพากษ์องค์ความรู้ปรัชญาตะวันตกโดยเฉพาะปัญหาของความปรารถนาที่จะธำรงตะวันตกเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเธอก็วิพากษ์ตัว text นั่นแหละ บทสนทนาระหว่างฟูโกต์และเดอเลอซ หนึ่งในต้นตอที่ทำให้สปีวากอยากจะเขียนบทความนี้ก็เป็นการถอดความและแปลบทสนทนาออกมาแล้ว ก็จะตามไปอ่าน text ที่สปีวากอ้างถึงและให้ reference ไว้ท้ายบทความ อีกอย่างผมชอบดูวีดีโอที่สปีวากไปพูดตามงานต่างๆ ซึ่งมีเยอะมากหาดูได้ทั่วไปและก็มีอัพเดทอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะพูดหัวข้ออะไร สปีวากก็จะสรุปความคิดความอ่านของเธอและพูดอยู่ในกรอบความคิดของเธอเองนั่นแหละ เพราะฉะนั้นมันก็ช่วยให้เข้าถึงสปีวากได้มากขึ้น รวมไปถึงบทสัมภาษณ์ที่มีอยู่อย่างมากมายเช่นกัน ซึ่งก็ช่วยให้เราได้รู้จักตัวเธอมากขึ้นรวมถึงได้เรียนรู้บริบทที่อยู่รายล้อมความคิดของเธอนั่นเอง
Q : ปัญหาในบทสนทนาระหว่างฟูโกต์และเดอเลอซมันคืออะไร ทำไมสปีวากถึงสนใจวิพากษ์
A : เป็นบทสนทนาที่ถอดความออกมาแล้วชื่อ Intellectuals and power: A conversation between Michel Foucault and Gilles Deleuze คือสองคนนี้คุยกันตั้งแต่ปี 1972 มันเป็นปัญหาของ Subjectivity ซึ่งฟูโกต์และเดอเลอซ ให้เหตุผลโดยใช้การอธิบายแบบหลังโครงสร้างนิยมและเชื่อว่า ความปรารถนา (desire) ผลประโยชน์ (interest) และเจตนา (intent) เป็นสิ่งที่รวมอยู่ในตัวเดียวกันและในขณะเดียวกันก็สร้างตัวประธาน (subject) ขึ้นมา คือพวกเขาเอาคำเหล่านี้มารวมกัน พวกเขาไม่เชื่อว่าอุดมการณ์จะสามารถมีอิทธิพลเหนือกลุ่มกรรมาชีพเพราะพวกเขาสยบยอมต่อโครงสร้างอำนาจนี้ด้วยตนเอง นั่นหมายความว่ากรรมาชีพที่ถูกกดขี่สามารถที่จะพูดได้ด้วยตนเองและความจริงมีเสียงที่จะเข้าถึงอำนาจได้เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ทำเท่านั้นเอง แต่สปีวักไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่า the subaltern ถูกบีบบังคับและถูกหลอกลวงให้อยู่ภายใต้การกดขี่ เพราะว่า the subaltern ไม่สามารถเข้าถึงอำนาจนำ (hegemony) พวกเขาจึงไม่มีช่องทางในการสื่อสารรับสาร ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะให้การสมยอม เพราะพวกเขานั้นยังไม่มีสำนึกหรือไม่รู้จักอำนาจที่กดขี่พวกเขาเลยด้วยซ้ำ
Q : คุณสันติได้นำแนวคิดหรือสิ่งที่ได้จากการอ่านงานของสปีวากมาใช้ในงานที่คุณสันติทำอยู่ หรือได้นำมาต่อยอดอย่างไรบ้าง
A : บางครั้งก็จินตนาการว่าตัวเองเป็นสปีวากเวอร์ชั่นนักพัฒนาครับ เพราะทำงานกับเด็กกำพร้าที่ได้รับผลกระทบจากโรคเอดส์ และแน่นอนว่าพอได้ศึกษาเธอจริงๆ จังๆ หนีไม่พ้นที่จะถูกครอบงำ หลังๆ ก็เลียนแบบวิธีคิดของเธอโดยที่ก็รู้ตัวนี่แหละ คือผมมองว่าเด็กที่ทำงานด้วยนี้เป็น the subaltern คือโรคเอดส์มันยังเป็นวาทกรรมที่โหดร้ายมากเลยนะครับ ใครบอกว่าเดี๋ยวนี้มีการยอมรับเพิ่มมากขึ้นแล้วนี่อย่าเพิ่งเชื่อ โดยเฉพาะในภาคเหนือนี้ เพราะมันพ่วงมากับอคติต่างๆ มากมาย เพราะมันเป็นโรคติดต่อจากกิจกรรมทางเพศไง แล้วเรื่องเพศนี้มันเปราะบางมากแค่ไหนในระบบความรู้ของการศึกษาไทย ยิ่งเป็นกลุ่มกำพร้าเด็ก lgbt นี่ก็จะซับซ้อนไปอีก มันทำให้เห็นว่าความรุนแรงทางความรู้นี่มันกดทับปิดปากพวกเขาได้เงียบสนิทจริงๆ นะครับ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการต่อรองอะไรใดๆ เลย แทบจะไม่มี หรือถ้ามีก็อยู่ในกรอบของการพัฒนาที่พวกเราและผู้สนับสนุนทุนได้กำหนดกันไว้เรียบร้อยแล้วว่ามันเหมาะสมควรจะเป็นแบบนี้ ในการทำงานให้ความช่วยเหลือเด็กเหล่านี้หลายครั้งก็เห็นตัวเองทำในสิ่งที่สปีวากวิจารณ์นักพัฒนาจิตกุศลด้วยองค์ความรู้แบบโลกที่หนึ่งนั่นแหละ เพราะฉะนั้นหลังๆ มาก็เลยเริ่มคิดที่จะ unlearn อภิสิทธ์บางอย่าง รวมถึงความรู้เดิมๆ ของตัวเองเกี่ยวกับเด็กกลุ่มนี้และตั้งใจจะเรียนรู้จากพวกเขาให้มากขึ้น ก็เป็นวิธีคิดที่ได้มาจากสปีวากนี่แหละครับ

Q : สปีวากยืนยันว่าผู้ไร้เสียงไม่สามารถพูดได้ แล้วคุณสันติคิดว่าผู้ไร้เสียงจะมีโอกาสพูดได้ไหม หรือจะมีทางออกให้พวกเขาได้อย่างไร
A : ถ้าจากประสบการณ์ตรงบอกเลยว่ายาก มันยากตั้งแต่การเริ่มต้นจะ identify และอธิบายแล้วว่าใครคือผู้ไร้เสียงในโลกแห่งความเป็นจริง อีกอย่างมันเป็นปัญหาของคนฟัง การจะรับฟังผู้ไร้เสียงให้เข้าใจได้อย่างแท้จริง คนฟังต้องเป็นคนที่ใจเปิดกว้างมากๆ คือพร้อมที่จะ unlearn อภิสิทธิ์ ความรู้ ผลประโยชน์ และอคติของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายทำได้ยากมากๆ ขนาดตัวผมเองหลายครั้งก็ไม่สามารถที่จะทลายความรู้ ความเชื่อและอคติของตัวเองได้เลย เพราะบางทีมันก็ขัดกับรสนิยม หรือร้ายไปกว่านั้นคือมันขัดหูขัดขา ในแง่นี้ก็ต้องเห็นใจและให้เวลาคนฟังด้วยเพราะคนเรามันก็ถูกเลี้ยงดูหล่อหลอมมาจากชุดความรู้ที่หลากหลาย จะให้สลัดทิ้งไปทันทีก็คงทำใจลำบาก ทางออกคือให้เวลาคนฟังเขาหน่อย ให้เขาได้ปรับตัว ปรับทัศนคติ และเรียนรู้ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ไร้เสียงนั้นได้สื่อสาร ดูเป็นวิธีที่ละมุนละม่อมที่สุดเท่าที่จะนึกออกได้ แต่เห็นไหมครับว่าคำตอบของผมสุดท้ายก็ละเลยผู้ไร้เสียง subject ของคำถามนี้กลับกลายมาเห็นใจคนฟังเสียซะอย่างนั้น แต่ในกรณีเร่งด่วนผมคิดว่าการที่เราไปช่วยเป็นปากเป็นเสียงแทนนี่มันก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร และเราก็ควรที่จะช่วยกันทำให้มากๆ คือก็ยังไม่พบคำพูดไหนของสปีวากที่บอกว่าเราควรจะยกเลิกการนำเสนอแทนหรือเป็นปากเป็นเสียงแทนผู้ไร้เสียง คือเธอเปิดโปงให้เราเห็นว่าเสียงของคนพวกนี้มันขาดหายไปอย่างสิ้นเชิงจริงๆ เหมือนตัวอย่างพิธีกรรมสตีที่แม่หม้ายต้องการจะกระโดดเข้าไปในกองเพลิงที่เผาร่างสามีนั่นแหละแต่ดันถูกช่วยเหลือจากความรู้ของผู้ชายผิวขาว
Q : ในหนังสือ ผู้ไร้เสียง คำยืนยันของคยาตรี จักรวรตี สปีวาก มีเนื้อหาบทหนึ่งที่พูดถึงชีวิตและการทำงานของสปีวาก รวมถึงแนวคิดต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อเธอ ซึ่งชีวิตของสปีวากก็น่าสนใจมากไม่แพ้งานของเธอเลยทีเดียว คุณสันติคิดอย่างไรกับตัวตนของสปีวาก หรือมีด้านไหนของสปีวากที่คุณสันติสนใจ/ประทับใจเป็นพิเศษไหม
A : นอกจากจะนับถือว่าเป็นผู้หญิงจากโลกที่สามที่เก่งถึงขั้นพาตัวเองไปเป็นดาวเด่นในวงวิชาการระดับโลกได้ด้วยความสามารถและความกล้าหาญของตัวเองล้วนๆ แล้ว ก็ประทับใจตรงที่เธอได้ลงมาทำงานกับกลุ่มผู้ไร้เสียงจริงๆ ในฐานะครูของนักเรียนยากไร้ในรัฐเบงกอล ซึ่งมันไม่ใช่การทำงานแบบงบหมดแล้วพับโครงการเหมือนนักพัฒนาจากองค์กรระหว่างประเทศหรือในประเทศหลายแห่ง คือสปีวากทำงานตรงนี้มามากกว่า 25 ปี มีบางครั้งเหมือนกันที่เราก็แอบคิดนะครับว่าสิ่งที่เธอทำตรงนี้อาจจะเป็นการทดลองทางทฤษฎีของตัวเองหรือเปล่า คือเป็นการทดลองวิธีการที่จะให้ผู้ไร้เสียงได้พูดด้วยเสียงของตัวเองอะไรประมาณนี้ แต่ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ยังนับถือว่าเธอมีความอดทนมากๆ คือสปีวากเธอสอนอยู่นิวยอร์กนะครับ ในมหาวิทยาลัยที่ทรงอิทธิพล ชีวิตดีขนาดนี้แถมยังแก่มากขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังทุ่มเททำงาน ก็น่านับถือมากทีเดียว มันเลยทำให้วิธีคิดของเธอที่ดูเป็นนามธรรมและซับซ้อนมากๆ นั้นแท้จริงแล้วจับต้องได้ มีที่มาที่ไป คุ้มค่าแก่การศึกษา ไม่ใช่เป็น armchair philosopher ที่มโนใช้แต่ innate ความรู้หรือตรรกะ โดยไม่ยอมออกไปคลุกคลีกับโลกแห่งความเป็นจริง
Q : หลังจากที่ศึกษางาน Can the Subaltern Speak? ของสปีวากแล้วมีงานอะไรหรือนักคิด/นักปรัชญาคนไหนที่คุณสันติอยากจะศึกษาหรือเปล่า
A : ความจริงตอนนี้ได้รับมอบหมายให้แปล Can the Subaltern Speak? ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ค่อนข้างหนัก เพราะตั้งแต่เริ่มอ่านมาก็ลังเลที่จะแปลหรือไม่แปลดี แน่นอนว่าภารกิจนี้สุ่มเสี่ยงให้เกิดการแปลผิดเพราะงานเขียนของสปีวากนั้นเต็มไปด้วยประโยคยืดยาวชวนให้งง อีกทั้งยังมีคำศัพท์หลายคำที่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ ปรึกษาผู้รู้ เพื่อที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทยให้อ่านรู้เรื่อง เพราะฉะนั้นเมื่อเขาไว้ใจและเราก็ตั้งใจจะแปลแล้วก็คิดว่าน่าจะใช้เวลาช่วงนี้คลุกคลีอยู่กับสปีวากไปอีกสักพักใหญ่ๆ และก็คงต้องพยายามอ่านงานของนักคิดที่สปีวากวิพากษ์และอ้างอิงพวกเขาในบทความนี้ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งก็คือนักคิดหลักๆ ที่หลายคนอาจจะคุ้นชินกันอยู่แล้วทั้งมิแชล ฟูโกต์ ฌีลล์ เดอเลอซ มาร์กซ์ แดร์ริดา ลากอง...
การเรียนปรัชญามันก็ช่วยให้เราตั้งคำถามกับวิธีการเหล่านี้แหละครับ มันก็เลยทำให้ชีวิตยุ่งยากขึ้น มีอะไรให้คิดมากขึ้น ไม่เบาหวิวไร้น้ำหนัก
Q : การอ่านปรัชญาให้อะไรกับชีวิตบ้าง
A : ได้ความหนักอึ้งเข้ามากดทับชีวิตมากขึ้นครับ อันนี้ส่วนตัวมากๆ ผมคิดว่าหลายๆ อย่างรอบตัวมันถูกทำให้ง่ายไปเสียหมด ไม่ใช่ไม่ชอบนะครับ แต่บางครั้งมันก็รู้สึกว่าการใช้ชีวิตมันง่ายมากเกินไป อันนี้ก็ต้องระบุไว้หน่อยว่าเป็นชีวิตของชนชั้นกลาง มีรายได้พอประมาณ สามารถเข้าถึงโอกาสทางความรู้ได้ตามความสามารถ และไม่ต้องลำบากลำบนปากกัดตีนถีบทำมาหากิน เพราะอยู่ในโลกที่เป็นแบบนี้มันก็เลยส่งผลต่อวิธีคิดตามไปด้วย โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่ามันจะมีวิธีการสำเร็จรูปที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วโดยใครที่เราก็ไม่รู้จัก แต่เราต้องเลือกเอามาคิดเอามาใช้ การเรียนปรัชญามันก็ช่วยให้เราตั้งคำถามกับวิธีการเหล่านี้แหละครับ มันก็เลยทำให้ชีวิตยุ่งยากขึ้น มีอะไรให้คิดมากขึ้น ไม่เบาหวิวไร้น้ำหนัก นอกจากนั้นการอ่านชีวประวัติของนักปรัชญามันก็สนุกเหมือนกันนะครับ เพราะชีวิตแต่ละคนนั้นก็ราวกับนิยายหรือสนุกยิ่งกว่านิยายเสียอีก สังเกตว่าหลายคนก็ไม่ได้ตายดีสักเท่าไร และนิสัยก็ไม่ค่อยจะเป็น “คนดี” อย่างที่เราๆ มักจะนึกถึงคนดีสักเท่าไรเหมือนกัน ก็มีทั้งฆ่าเมียบ้าง สนับสนุนนาซี เหยียดเพศเหยียดผิว เป็นบ้าก็มี เกาะเขากินแต่วิพากษ์ทุนนิยมก็ยังมี ถูกกล่าวหาว่ามอมเมาเยาวชน หรือมีรสนิยมทางเพศแบบชอบความรุนแรงและเป็นเอดส์อะไรแบบนี้ มันทำให้เห็นว่าความคิดที่ยิ่งใหญ่หลายความคิดไม่ได้ถูกผลิตออกมาจากผู้ที่สมบูรณ์เพียบพร้อมเสียหน่อย มันก็ช่วยให้กำลังใจได้อีกแบบหนึ่งครับ
Q : ถ้ามีโอกาส คุณสันติอยากจะตั้งคำถามอะไรให้สปีวากตอบ
A : คิดว่านักวิชาการด้านวรรณกรรมเขาคงใช้เวลาว่างด้วยการอ่านหนังสือ แทนที่จะถามอะไรยากๆ ที่คนฟังอาจจะต้องมานั่งแกะคำตอบอีกว่าหมายความว่ายังไงกันแน่ คงอยากจะถามสปีวาก ว่าชอบอ่านนวนิยายแนวไหนเป็นพิเศษ ยากหรือเปล่าสำหรับนักวิชาด้านทฤษฎีที่จะอ่านนวนิยายโดยที่ไม่เอาแนวคิดทฤษฎีของตัวเองหรือทฤษฎีใดๆ มารบกวนการอ่านเพื่อความบันเทิงของตัวเองเลย
Q : อยากให้คนทั่วไปได้อะไรจากการอ่าน ผู้ไร้เสียง คำยืนยันของคายตรี จักรวรตี สปีวาก
A : อย่างแรกเลยคืออยากให้คนอ่านกลายมาเป็นผู้ฟังที่ดี เปิดใจให้กับความแตกต่างหลากหลายอย่างแท้จริงครับ และแน่นอนว่าได้รู้จักสปีวาก ซึ่งงานของเธอนั้นมีมากมายและตอนนี้เธอก็ยังไม่ตายนั่นหมายความว่าเธอก็คงจะผลิตงานออกมาอีกเรื่อยๆ เพราะสปีวากบอกเองว่าเธอหมกมุ่นกับการเขียนมาก ก็หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็น introduction ที่ดีในระดับที่คนอยากไปหาอ่านสปีวากต่อ