จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | 17 ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | อุษาคเนย์ศึกษา |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ช่องทางชำระเงิน | ![]() |
ไฮไลท์ |
หนังสือ พยัคฆ์แห่งมาลายา: ชีวประวัติเติงกู มะห์หมูด มะห์ยิดดีน ผู้ต่อสู้เพื่อเอกราชของปาตานี
ของ โมฮัมหมัด ซัมเบอรี อับดุล มาเล็ก
แปลโดย ฮาร่า ชินทาโร
แปลจาก Harimau Malaya: Boigrafi Tengku Mahmood Mahyiddeen
ขนาดหนังสือ กว้าง 14.3 x สูง 21 cm. (สัน 16.5 mm.)
เข้าเล่มปกอ่อนจำนวน 280 หน้า
__________________________________________
'ครั้งหนึ่ง “ปาตานี” เกือบจะได้รับเอกราชจากประเทศไทย' อันเป็นผลงานของเติงกู มะห์หมูด มะห์ยิดดีน (บุตรชายคนสุดท้องของเติงกู อับดุล กาดีร์ กามารุดดีน ราชาองค์สุดท้ายของปาตานี)
เติงกู มะห์หมูด มะห์ยิดดีนเป็นบุคคลที่โลกลืม โดยเฉพาะโลกรัฐไทยที่พยายามทำให้โลกมลายูปาตานีลืมบุรุษผู้มีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ปาตานีโดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและหลังจากนั้น
ชีวิตของเติงกูมะห์หมูดฯมีสีสันมาก เขาถือกำเนิดใน ค.ศ.1908 ก่อนหน้าการทำสนธิสัญญาระหว่างสยามกับอังกฤษเพียงหนึ่งปี สนธิสัญญาดังกล่าวส่งผลให้ปาตานีอยู่ภายใต้การปกครองของสยาม
เขาได้ย้ายถิ่นฐานไปพำนักที่รัฐกลันตันตามบิดาที่ลี้ภัยไปอยู่ที่นั่นเมื่อ ค.ศ.1915 หลังจากบิดาถูกจับกุมและคุมขังในข้อหาเป็น ‘กบฏ’ ต่อสยาม หลังจากที่มีการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองให้เป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล
เติงกูมะห์หมูดฯเป็นที่รู้จักและจดจำในฐานะนักชาตินิยม, นักการศึกษา, นักการเมืองมาเลเซีย และในฐานะผู้นำการปฏิรูปการศึกษาในกลันตัน
ตอนที่ญี่ปุ่นบุกยึดมลายาช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขายังมีบทบาทสำคัญในกองกำลังอาสาสมัครต่อต้านญี่ปุ่น เติงกูมะห์หมูดฯได้เข้าร่วมรบกับกองกำลังอาสาในการต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น โดยเป็นผู้นำ ‘Force 136’ ทำสงครามกองโจรต่อต้านญี่ปุ่นและไทยที่ดินแดนแหลมมลายู ต่อมาได้ล่าถอยไปที่สิงคโปร์ เมื่อสิงคโปร์ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น เขาจึงลี้ภัยไปอยู่ที่อินเดีย
ที่อินเดีย เขาได้จัดรายวิทยุของ All India Radio โดยรับผิดชอบการออกอากาศเป็นภาษามลายูในชื่อ ‘Suara Harimau Malaya’ ซึ่งหมายความว่า ‘เสียงเสือมลายา’ รายการนี้ได้ถ่ายทอดไปทั่วคาบสมุทรมลายูรวมถึงปาตานีด้วย ซึ่งเติงกู มะห์หมูด มะห์ยิดดีนได้เรียกร้องให้ชาวมลายูต่อต้านทั้งญี่ปุ่นและสยาม
เนื่องจากรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น และได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในวันที่ 25 มกราคม ค.ศ.1942
ต่อมาเติงกูมะห์หมูดฯได้รับมอบหมายให้คุมกองกำลัง Force 136 ที่ไปฝึกที่ศรีลังกา โดยเขาได้รวบรวมนักศึกษาชาวมลายูในตะวันออกกลาง ท่านเป็นผู้เดินทางไปเชิญชวนด้วยตนเอง; กองกำลัง Force 136 จะส่งทหารกลับไปยังดินแดนมลายูเพื่อเป็นสายลับให้กับอังกฤษ
ด้วยผลงานอันเป็นที่ประจักษ์หลายอย่างของเขา ทหารอังกฤษชื่นชอบและให้เกียรติเขามาก กระทั่งมีการสรรเสริญและสัญญาว่าหากอังกฤษได้รับชัยชนะ อังกฤษจะช่วยปาตานีดินแดนของเขาให้ได้รับเอกราชจากสยาม โดยตะโกนประโยค “Long live the King of Patani” หลายครั้งที่นิวเดลี
อย่างไรก็ดี เมื่อสงครามจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น เพราะฝ่ายสัมพันธมิตรโดยสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ อังกฤษกลับไม่ทำตามสัญญาทั้งๆ ที่มีโอกาสลงโทษสยามเพราะสยามร่วมมือกับญี่ปุ่น
แต่อังกฤษก็เลือกผลประโยชน์ของตัวเองตามสนธิสัญญาสันติภาพกับสยามปี 1946 ที่จะไม่ลงโทษสยามด้วยการยึดปาตานีเพื่อรวมกับดินแดนมลายูที่เหลือ และรับข้อเสนอของสยามที่จะมอบข้าว 1.5 ล้านตันแทน เติงกูมะห์หมูดฯผิดหวังกับอังกฤษ จึงลาออกจากข้าราชการอังกฤษ เพื่อทำตามความฝันอันสูงสุดคือการช่วยให้ปาตานีได้รับเอกราชจากสยาม
|
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
เติงกู มะห์หมูด มะห์ยิดดีนเป็นที่รู้จักและจดจำในฐานะนักชาตินิยม, นักการศึกษา, นักการเมืองมาเลเซีย และในฐานะผู้นำการปฏิรูปการศึกษาในกลันตัน นอกจากนี้เมื่อตอนที่ญี่ปุ่นบุกยึดมลายาช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขายังมีบทบาทสำคัญในกองกำลังอาสาสมัครต่อต้านญี่ปุ่น เติงกู มะห์หมูด มะห์ยิดดีนได้เข้าร่วมรบกับกองกำลังอาสาในการต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น โดยเป็นผู้นำ ‘Force 136’ ทำสงครามกองโจรต่อต้านญี่ปุ่นและไทยที่ดินแดนแหลมมลายู ต่อมาได้ล่าถอยไปที่สิงคโปร์ เมื่อสิงคโปร์ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น เขาจึงลี้ภัยไปอยู่ที่อินเดีย และได้จัดรายวิทยุของ All India Radio โดยรับผิดชอบการออกอากาศเป็นภาษามลายูในชื่อ ‘Suara Harimau Malaya’ ซึ่งหมายความว่า ‘เสียงเสือมลายา’รายการนี้ได้ถ่ายทอดไปทั่วคาบสมุทรมลายูรวมถึงปาตานีด้วย ซึ่ง เติงกู มะห์หมูด มะห์ยิดดีนได้เรียกร้องให้ชาวมลายูต่อต้านทั้งญี่ปุ่นและสยาม ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ในค.ศ. 1938 ได้มีการก่อตั้งองค์กรการเมืองของชาวมลายูชื่อว่า Kesatuan Melayu Muda (KMM) ขึ้นที่กัวลาลัมเปอร์ โดยมีบรรดานักชาตินิยมมลายูคนสำคัญๆ เช่น อิบราฮิม ยากุบ (Ibrahim Yaakub), อีชัก ฮาจี โมฮาเม็ด (Ishak Hajdi Mohamed), ออน์ ฮาจี ซีรัจ (Onn Haji Siraj) และ มุสตาฟา ฮาจี อุซซิน (Mustaffa Haji Hussin) เป็นต้น KMM มีเป้าหมายคือรวบรวมกลุ่มคนมลายูเข้าด้วยกันโดยไม่คำนึงถึงถิ่นฐาน ต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวมลายู และสนับสนุนแนวคิด Melayu Rayaหรือ Indonesia Raya นั่นคือ การรวมกลุ่มคนเชื้อชาติมลายูในบริเวณอาณานิคมของอังกฤษและเนเธอร์แลนด์เข้าด้วยกันเป็นชาติเดียวที่มีอธิปไตยร่วมกัน ซึ่งก็คือดินแดนของประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไน หนึ่งในนักชาตินิยมมลายูคนสำคัญคืออิบราฮิม ยากุบได้จัดประชุมกับผู้นำปาตานีที่กลันตัน และมีการประชุมหารือกันเรื่องแนวคิด Melayu Raya หลังจากการประชุมครั้งนี้ได้มีมติให้ทำการเปิดสาขาของ KMM ที่ปาตานี แต่ไม่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ได้มีการแต่งตั้งผู้แทน KMM ในการติดต่อกับผู้นำปาตานีที่อยู่ที่กลันตัน เคดาห์ และเปรัก การทำงานของ KMM จะขยายเครือข่ายผ่านโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามหรือโรงเรียนปอเนาะโดยมีการติดต่อครูที่สอนตามโรงเรียนปอเนาะต่างๆ ในช่วงก่อนหน้าที่ญี่ปุ่นจะประกาศความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง นักชาตินิยมมลายูและอินโดนีเซียต่างอภิปรายถกเถียงกันอย่างหนักถึงอนาคตของ ‘ชาติ’ ตัวเอง ซึ่งหมายถึงการประกาศเอกราช สำหรับนักชาตินิยมมลายูปาตานีนั้น แม้ว่าจะไม่มีสาขา KMM ที่ปาตานี ความสัมพันธ์ของผู้นำ KMM ที่กลันตันกันกับผู้นำมลายูที่ปาตานีก็ยังคงแน่นแฟ้น หนึ่งในประจักษ์พยานคือการที่มีตัวแทนจากปาตานีเข้าร่วมประชุม Kongres Malaya Merdeka ที่กัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1945 ที่ประชุมได้หารือกันเรื่องการเตรียมการเพื่อประกาศเอกราชของประเทศให้สอดคล้องกับการประกาศเอกราชของอินโดนีเซีย แต่สิ่งที่ผู้นำ KMM ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วคือ การประกาศเอกราชของอินโดนีเซียในวันที่ 17 สิงหาคม 1945 ทำให้ผู้นำ KMM รู้สึกกังวลว่า ทำไมอินโดนีเซียไม่รอและ/หรือไม่รวมเอาชาติมลายูทั้งหมดเข้าไปด้วย การประกาศเอกราชของอินโดนีเซียจึงส่งผลให้การต่อสู้ของ KMM อ่อนแอลง ในที่สุด อิบราฮิม ยากุบก็ได้ยุบองค์กร KMM และหนีไปอยู่ที่อินโดนีเซีย ส่งผลให้โครงการประกาศเอกราชร่วมกันของชาติของคนมลายูเป็นอันล้มเหลวลงไป และส่งผลให้ผู้นำปาตานีที่หวังว่าจะได้เป็นเอกราชก็ผิดหวังด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้นำปาตานียังมีความหวังกับอังกฤษว่าอังกฤษจะช่วยให้ปาตานีได้เอกราช เติงกู มะห์หมูด มะห์ยิดดีนได้ขอให้อังกฤษเรียกร้องรัฐบาลไทยให้ดินแดนตั้งแต่คอคอดกระเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอังกฤษ แต่ทว่าอังกฤษไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าวได้ เพราะถูกอเมริกากดดัน อีกทั้งสยามยังสัญญาว่า จะให้ข้าวสารจำนวน 1,500,000 ตันแก่รัฐบาลอังกฤษในดินแดนมลายูถ้าอังกฤษไม่เรียกร้องดินแดนตรงนั้น ประกอบกับช่วงนั้นดินแดนมลายูกำลังประสบวิกฤตอาหาร รัฐบาลอังกฤษจึงจำต้องยอมรับข้าวจากไทย และในวันที่ 1 มกราคม 1946 ก็ได้มีการลงนามในสัญญาสยาม-อังกฤษ ทำให้สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาสเป็นส่วนหนึ่งของไทย ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |
**กรุณาเลือกช่องทางติดต่อตามข้อสงสัยของคุณ ในกรณีที่คุณไม่สามารถติดต่อเจ้าของร้านได้ สามารถติดต่อมายังทีมงาน LnwPay แล้วเราจะช่วยเหลือคุณจนถึงที่สุด
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |