จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | 0 ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | ศาสนศึกษา |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ช่องทางชำระเงิน | ![]() |
ไฮไลท์ |
จุดตั้งต้นของหนังสือเล่มนี้มีสองประการหลัก ประการแรกอยู่ที่ต้องการสำรวจสถานการณ์ของโลกในต้นศตวรรษที่ 21 เพื่อต้องการกู้คืนคำอธิบายจากผู้ที่เห็นว่าโลกอยู่ในยุคจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ การต่อสู้ของระบบทุนนิยมและสังคมนิยมได้สิ้นสุดลง มนุษย์อยู่ในช่วงเวลาของชัยชนะอันถาวรของทุนนิยม จากมุมมองจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ดังกล่าว ทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปว่า ความขัดแย้งในโลกที่เรากำลังเป็นพยานอยู่นี้เป็นความขัดแย้งอันตกทอดมาแต่โบราณ เป็นความขัดแย้ง “ทางศาสนา” และเรากำลังเห็นมันปรากฏตัวอย่างชัดเจนทั่วโลก จากการประกาศสงครามทางศาสนามุมหนึ่งของโลก ไปสู่การเผาทำลายทรัพย์สินและอาคารบ้านเรือนของคนต่างศาสนาในอีกด้านหนึ่ง เราไม่เห็นด้วยกับความเห็นเช่นนี้ เพราะตัดขาดออกจากการพิจารณาบริบทปลีกย่อยอีกเป็นจำนวนมาก
จากการต้องการถกเถียงและปฏิเสธความคิดจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์แล้ว หนังสือเล่มนี้มีจุดตั้งต้นประการที่สองอันเป็นรูปธรรมถึงการแสวงหาวิธีคิดของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในต้นศตวรรษที่ 21 โดยไม่อิงอยู่กับความคิดพหุวัฒนธรรมอันมีฐานสนับสนุนที่แข็งขันจากโลกอเมริกาเหนือและออสเตรเลียในช่วงทศวรรษ 1990s ซึ่งมีพหุวัฒนธรรมเป็นฐานรองรับในการขยายตัวของลัทธิเสรีนิยมใหม่ ซึ่งกำลังต้องการหาผู้บริโภคอันมีอัตลักษณ์แตกต่างหลากหลายให้ทำงานตอบสนองวาระของเสรีนิยมใหม่เอง ในแง่นี้ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั่วโลกจึงพลอยถูกมองว่าเป็นความรุนแรงซึ่งมีที่มาจากความล้มเหลวของพหุวัฒนธรรม เป็นความล้มเหลวจากการประสานคนหลากหลายกลุ่มให้เข้ามาอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีผู้คนอันหลากหลายอย่างสันติ
กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ในหนังสือเล่มนี้เราต้องการแสวงหาวิธีอภิปรายและทำความเข้าใจความรุนแรงที่พ้นไปจากการกำกับของพหุวัฒนธรรม ดังเช่นที่อรชุน อัปปาดูรัย (ในบทแรก) ได้พยายามเสนอให้คิดใหม่ว่า สันติวิธีแบบคานธีนั้นมีสาแหรกเชิงคู่ อัปปาดูรัยชี้ชวนให้คิดใหม่ทั้งหมดอย่างถึงรากว่า การกระทำการสันติวิธีและการกระทำความรุนแรงนั้น เป็นการกระทำประเภทเดียวกัน หากแต่การคิดที่เกี่ยวกับความรุนแรงมีที่มาจากการบำเพ็ญตบะในโลกอินเดียโบราณ การแสวงหาวิธีคิดเกี่ยวกับความรุนแรงจึงต้องอาศัยการบำเพ็ญตบะ การตั้งสมาธิกับประสบการณ์เช่นนี้อย่างยาวนาน ด้วยความอดทน แต่การอดทนเช่นนี้ไม่ใช่การงอมืองอเท้า แต่การอดทน งดเว้น การบำเพ็ญตบะ เป็นปฏิบัติการทางการเมืองเชิงรุกอย่างถึงที่สุด
ในแง่นี้สันติวิธีจึงไม่มีความหมาย หากไม่ถูกพิจารณาในแบบเดียวกับการพิจารณาความรุนแรง เพราะสันติวิธีและความรุนแรงเป็นการกระทำประเภทเดียวกัน ตามความเห็นของอัปปาดูรัย มรดกของการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบคานธีจึงมีสองสายเสมอ ทั้งสันติวิธีและทั้งความรุนแรง ไม่สามารถแยกขาดกันได้
|
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือว่าด้วยสันติวิธี อย่างน้อยๆ ไม่ใช่สันติวิธีในแง่ที่ว่า ผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ที่มีเป้าหมายเพื่อแสวงหาสูตรสำเร็จในการลดความรุนแรงคงต้องผิดหวัง และยังอาจจะผิดหวังมากขึ้นอีกหากพยายามเข้าใจปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ความรุนแรงทางศาสนา” ด้วยการตั้งคำถามประเภทว่า ศาสนาใดที่เป็นศาสนาแห่งความรุนแรง และในทางกลับกัน ศาสนาใดที่เป็นศาสนาแห่งสันติภาพ? คำถามข้างต้นเหล่านี้ละเลยรายละเอียดจำนวนมากที่แม้ว่าในนามของ “อิสลาม” “ฮินดู” “พุทธ” และศาสนาอื่นๆ ต่างแสดงออกด้วยลักษณะที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสถานที่และเวลา เราจึงเห็นว่าการพยายามทำความเข้าใจศาสนาและความรุนแรงจึงจำต้องอาศัยการรวบรวมบทความจากผู้ที่สังเกตการณ์เหตุการณ์ จากสถานที่และเวลาอันหลากหลายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อตั้งต้นเข้าใจปรากฏการณ์ร่วมสมัยนี้ และด้วยการระดมข้อเขียนจำนวนมากเท่านั้นที่อาจจะทำให้เราเริ่มเห็นภาพของความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและความรุนแรง จุดตั้งต้นของหนังสือเล่มนี้มีสองประการหลัก ประการแรกอยู่ที่ต้องการสำรวจสถานการณ์ของโลกในต้นศตวรรษที่ 21 เพื่อต้องการกู้คืนคำอธิบายจากผู้ที่เห็นว่าโลกอยู่ในยุคจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ การต่อสู้ของระบบทุนนิยมและสังคมนิยมได้สิ้นสุดลง มนุษย์อยู่ในช่วงเวลาของชัยชนะอันถาวรของทุนนิยม จากมุมมองจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ดังกล่าว ทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปว่า ความขัดแย้งในโลกที่เรากำลังเป็นพยานอยู่นี้เป็นความขัดแย้งอันตกทอดมาแต่โบราณ เป็นความขัดแย้ง “ทางศาสนา” และเรากำลังเห็นมันปรากฏตัวอย่างชัดเจนทั่วโลก จากการประกาศสงครามทางศาสนามุมหนึ่งของโลก ไปสู่การเผาทำลายทรัพย์สินและอาคารบ้านเรือนของคนต่างศาสนาในอีกด้านหนึ่ง เราไม่เห็นด้วยกับความเห็นเช่นนี้ เพราะตัดขาดออกจากการพิจารณาบริบทปลีกย่อยอีกเป็นจำนวนมาก จากการต้องการถกเถียงและปฏิเสธความคิดจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์แล้ว หนังสือเล่มนี้มีจุดตั้งต้นประการที่สองอันเป็นรูปธรรมถึงการแสวงหาวิธีคิดของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในต้นศตวรรษที่ 21 โดยไม่อิงอยู่กับความคิดพหุวัฒนธรรมอันมีฐานสนับสนุนที่แข็งขันจากโลกอเมริกาเหนือและออสเตรเลียในช่วงทศวรรษ 1990s ซึ่งมีพหุวัฒนธรรมเป็นฐานรองรับในการขยายตัวของลัทธิเสรีนิยมใหม่ ซึ่งกำลังต้องการหาผู้บริโภคอันมีอัตลักษณ์แตกต่างหลากหลายให้ทำงานตอบสนองวาระของเสรีนิยมใหม่เอง ในแง่นี้ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั่วโลกจึงพลอยถูกมองว่าเป็นความรุนแรงซึ่งมีที่มาจากความล้มเหลวของพหุวัฒนธรรม เป็นความล้มเหลวจากการประสานคนหลากหลายกลุ่มให้เข้ามาอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีผู้คนอันหลากหลายอย่างสันติ กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ในหนังสือเล่มนี้เราต้องการแสวงหาวิธีอภิปรายและทำความเข้าใจความรุนแรงที่พ้นไปจากการกำกับของพหุวัฒนธรรม ดังเช่นที่อรชุน อัปปาดูรัย (โปรดดูบทถัดไป) ได้พยายามเสนอให้คิดใหม่ว่า สันติวิธีแบบคานธีนั้นมีสาแหรกเชิงคู่ อัปปาดูรัยชี้ชวนให้คิดใหม่ทั้งหมดอย่างถึงรากว่า การกระทำการสันติวิธีและการกระทำความรุนแรงนั้น เป็นการกระทำประเภทเดียวกัน หากแต่การคิดที่เกี่ยวกับความรุนแรงมีที่มาจากการบำเพ็ญตบะในโลกอินเดียโบราณ การแสวงหาวิธีคิดเกี่ยวกับความรุนแรงจึงต้องอาศัยการบำเพ็ญตบะ การตั้งสมาธิกับประสบการณ์เช่นนี้อย่างยาวนาน ด้วยความอดทน แต่การอดทนเช่นนี้ไม่ใช่การงอมืองอเท้า แต่การอดทน งดเว้น การบำเพ็ญตบะ เป็นปฏิบัติการทางการเมืองเชิงรุกอย่างถึงที่สุด ในแง่นี้สันติวิธีจึงไม่มีความหมาย หากไม่ถูกพิจารณาในแบบเดียวกับการพิจารณาความรุนแรง เพราะสันติวิธีและความรุนแรงเป็นการกระทำประเภทเดียวกัน ตามความเห็นของอัปปาดูรัย มรดกของการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบคานธีจึงมีสองสายเสมอ ทั้งสันติวิธีและทั้งความรุนแรง ไม่สามารถแยกขาดกันได้ ด้วยจุดตั้งต้นสองประการดังกล่าวข้างต้น เราจึงพยายามรวบรวมบทความจากผู้ที่มีความถนัดและคุ้นเคยกับกรณีต่างๆ โดยครอบคลุมภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก ได้แก่ อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งเกาะเกี่ยวอยู่กับประเด็นหลักๆ อยู่จำนวนหนึ่ง ประเด็นแรก ศาสนาแสดงตนออกมาในฐานะเชื้อมูล (Source) ในความขัดแย้ง ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 โดยทั่วไป ในบทความ ศาสนากับการเมืองในพม่า ลลิตา หาญวงศ์ ได้ชี้ให้เห็นว่า ตั้งแต่ยุคหลังได้รับเอกราชเป็นต้นมา ผู้นำพม่าใช้พุทธศาสนาเถรวาทในการเสริมฐานความมั่นคงทางการเมืองด้านหนึ่ง และใช้สำหรับโจมตีทางการเมืองอีกด้านหนึ่งเสมอ ส่วนบทความของเอนกชัย เรืองรัตนากร ไล่เรียงให้เห็นรายละเอียดต่อมาถึงสถานการณ์ร่วมสมัยที่เป็นโศกนาฏกรรมในระดับโลกว่า “อุดมการณ์พุทธศาสนา-ชาตินิยม” ได้กระทำต่อชาวมุสลิมโรฮิงญาอย่างไร บนฐานของงานศึกษาวิจัยล่าสุดและการสัมภาษณ์ การหยิบยกศาสนามาเป็นเชื้อมูลของการเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้นมิได้เป็นคุณสมบัติเฉพาะของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง หรือประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น ประเด็นที่สองคือกระบวนการการรื้อฟื้นศาสนา (Religious revivalism) นั้นเกิดขึ้นทั่วไป ทั้งในโลกอิสลาม ฮินดู หรือพุทธ ดังที่ปรีดี หงษ์สต้นได้ระบุถึงพุทธชยันตี หรือวาระกึ่งพุทธกาลของพุทธศาสนาเถรวาทในประเทศศรีลังกา โดยเชื่อมโยงการรื้อฟื้นพุทธศาสนาในระลอกปลายทศวรรษที่ 1950 กับระลอกต้นทศวรรษที่ 2000 ว่ามีความต่อเนื่องกัน ประเด็นที่สาม คือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับมิติทางการเมือง ซึ่งปรากฏอยู่ทุกบทความที่รวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้ โดยบทความของศิวัช ศรีโภคางกุล ได้ขยายให้เห็นความซับซ้อนของชาวซิกข์ในอินเดีย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มที่สำคัญที่มีแรงตึงเครียดเสมอเมื่อมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลอินเดีย มิติทางการเมืองของปฏิบัติการสันติวิธีของชาวซิกข์ถูกนำมารวมไว้ในหนังสือเล่มนี้ เพื่อชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนของ “ศาสนาและความรุนแรง” ซึ่งมีความแตกต่างอย่างยิ่งในบริเวณต่างๆ ของประเทศอินเดีย ในส่วนของงานศึกษาอิสลามกับความรุนแรง หนังสือเริ่มต้นด้วยงานของเอกรินทร์ ต่วนศิริ และอันวาร์ กอมะ ว่าด้วยกระแสหวาดกลัวอิสลาม ผู้เขียนได้ย้อนให้เห็นถึงการศึกษาว่าด้วยสถานะความรู้แนวคิดอิสลามท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคมมุสลิมในมิติทางการเมืองและนโยบายการต่างประเทศ นอกจากอาศัยการย้อนทวนเพื่อทำความเข้าใจข้อเชื่อ (Creed) หรือหลักการที่ถูกเสนอในฐานะแหล่งของความรู้ การปฏิบัติ และเชื้อมูลของความขัดแย้งเช่นเดียวกับศาสนาอื่นแล้วนั้น กระแสธารของการฟื้นฟูอิสลาม (Islamic revivalism) ตลอดจนการเรียกร้องเพื่อหวนคืนสู่รากเหง้าของศาสนาปรากฏในนามผู้พิทักษ์บ้านเมืองและขจัดอิสลามสุดโต่ง ในบทความว่าด้วยพหุนิยมหลังอาณานิคมกับการอยู่ร่วมกันระหว่างผู้คนต่างชาติพันธุ์และศาสนาในมาเลเซีย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ เสนอการศึกษาผ่านอิสลามที่ถูกทำให้กลายเป็นการเมือง (Politicized Islam) ในมิติของความเป็นพลเมือง การอ้างสิทธิเหนือดินแดนและเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองที่ผูกตรึงความเป็นชาติพันธุ์ให้ยึดโยงกับเชื้อชาติจนกลายเป็นเงื่อนไขของความรุนแรงในหลายกรณี ซึ่งหมายรวมถึงความคุ้นชินกับวัฒนธรรมการเมืองที่การตีความคำสอนศาสนาถูกกำหนดเพื่อเป้าหมายทางการเมือง ขณะที่อรอนงค์ ทิพย์พิมล ให้ความสำคัญกับบทวิเคราะห์ความรุนแรงจากกรณีการบังคับใช้กฎหมายอิสลามในอาเจะห์ โดยเชิญชวนทำความเข้าใจประวัติศาสตร์การแตกตัวทางความคิดของกลุ่มขบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนาดารุลอิสลามระหว่างสายปฏิรูปที่มีแนวโน้มของการสร้างสำนึกชาตินิยมอาเจะห์และสนับสนุนการก่อตั้งรัฐอิสลาม กับสายจารีตที่ยอมรับความชอบธรรมของรัฐบาลอินโดนีเซียและไม่เรียกร้องให้ชาติอินโดนีเซียต้องปกครองด้วยระบบกฎหมายอิสลาม ชุดข้อเสนอบทความที่เกี่ยวข้องกับอิสลามปิดท้ายด้วยงานของอัมพร หมาดเด็น ที่เชื่อมร้อยผลกระทบของกระแสเรียกร้องเพื่อหวนคืนสู่รากเหง้าของศาสนา (Religious fundamentalism) ซึ่งตอบโต้ผ่านข้อเสนอการเมืองอิสลามและปฏิบัติการต่อต้านอาณานิคมสยามตามความหมายของจารีตมลายู บทความได้เผยให้เห็นวัฒนธรรมของความรุนแรงที่เลือกรับและปฏิเสธข้อเสนออื่นที่ไม่ถูกนับให้เป็นกระบวนทัศน์หลักที่สำคัญ (Grand paradigm) ในการสร้างเกณฑ์แห่งความสำเร็จและชัยชนะแก่โลกมุสลิมซึ่งหมายความถึงการใช้อำนาจและสิทธิอำนาจในการจัดการแนวคิดของสถานะและสิทธิผู้หญิงที่กำกับและดำเนินผ่านกลไกสมัยใหม่ของกระบวนทัศน์สตรีนิยมในกรณีศึกษางานยุติธรรมทางเพศในพื้นที่ความรุนแรงจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประเด็นสุดท้าย เราขอย้ำอีกครั้งว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือสันติวิธีแบบที่สังคมไทยเข้าใจโดยทั่วไป บทความแปลเรื่องรัฐฆราวาสและความรุนแรงในรัฐพุทธของ เฮเลน เจมส์ โดยลลิตา หาญวงศ์ ได้หยิบกรณีความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนาเถรวาทและรัฐในประเทศไทยและพม่ามาเปรียบเทียบคู่กันว่า ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องแปลกหน้าในรัฐพุทธทั้งสองแห่งนี้แต่อย่างใด และพิจารณาในกรอบของรัฐฆราวาสนิยมก็อาจจะทำให้เข้าใจความเปลี่ยนแปลงได้ไม่รอบด้าน หนังสือเล่มนี้มีบทความของชาญณรงค์ บุญหนุน ปิดท้ายเพื่อชี้ให้เห็นว่า การมีผู้ผูกขาดเรื่องสันติวิธีและผู้ผูกขาดพุทธศาสนาเถรวาท ไม่ว่าจะเป็นองค์กรหรือบุคคลใดก็ตาม ย่อมจะนำไปสู่สถานการณ์อันตรายได้ การมีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติคือการผูกขาดสันติวิธี และสันติวิธีแบบผูกขาดที่ว่านี้เองที่นำมาซึ่งโศกนาฏกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า พุทธศาสนาเถรวาทไทยจึงไม่สามารถเป็นผู้ผูกขาดสันติวิธีได้ เมื่อพิจารณาศีลธรรมแห่งการปฏิเสธของอัปปาดูรัยแล้ว การยกเลิกการผูกขาดสันติวิธีของพุทธเถรวาทไทย อยู่ที่จุดตั้งต้นเปลี่ยนวิธีคิดไปสู่การพิจารณาว่า การกระทำสันติวิธีอันที่จริงแล้วเป็นการกระทำก่อความรุนแรง และการก่อความรุนแรงคือการกระทำสันติวิธี เราหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยแสวงหาวิธีคิดใหม่ในการทำความเข้าใจความรุนแรงและศาสนาในปัจจุบันได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สารบัญและคำนำ https://www.yumpu.com/xx/document/read/62464160/- ชมงานเสวนาหนังสือได้ที่ https://youtu.be/sRx_R9t8qz0 ชม Book Talk เรื่องศาสนาอิสลาม ที่ https://youtu.be/oSghZGx19Tk ชมบันทึกการทำ Live หนังสือ 'ศาสนากับความรุนแรง' เรื่องความรุนแรงในศรีลังกา โดย อ.ปรีดี หงษ์สต้น https://youtu.be/_nSjufAoESk ชวนอ่าน 'บันทึกการเสวนาวิชาการ เรื่อง พม่าสมัยใหม่: ยุคโคโลเนียลจนถึงปัจจุบัน โดย ดร.ลลิตา หาญวงษ์' https://www.facebook.com/notes/illuminations-editions/บันทึกการเสวนาวิชาการ-เรื่อง-พม่าสมัยใหม่-ยุคโคโลเนียลจนถึงปัจจุบัน-โดย-ดรลลิตา-/1019111304944191/ ชวนอ่าน 'ข้อสังเกตเบื้องต้นต่อการเมืองพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา: จากพุทธชยันตีสู่องค์กรพุทธพลเสนา' โดย ปรีดี หงษ์สต้น https://www.facebook.com/notes/illuminations-editions/qa-ข้อสังเกตเบื้องต้นต่อการเมืองพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา-จากพุทธชยันตีสู่องค์กร/1012977212224267/ ชวนอ่าน 'Islamophobia ความเป็นเราและความเป็นอื่น' โดยเอกรินทร์ ต่วนศิริ https://www.facebook.com/notes/illuminations-editions/islamophobia-ความเป็นเราและความเป็นอื่น/1008387026016619/ ชวนอ่าน 'ศีลธรรมแห่งการปฏิเสธ (THE MORALITY OF REFUSAL) ของอรชุน อัปปาดูรัย (Arjun Appadurai)' https://www.yumpu.com/xx/document/read/62749487/-the-morality-of-refusal-arjun-appadurai ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |
**กรุณาเลือกช่องทางติดต่อตามข้อสงสัยของคุณ ในกรณีที่คุณไม่สามารถติดต่อเจ้าของร้านได้ สามารถติดต่อมายังทีมงาน LnwPay แล้วเราจะช่วยเหลือคุณจนถึงที่สุด
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |