Q&A ลลิตา หาญวงษ์ ผู้เขียน “หละ มยิ้น :
บทสะท้อนความคิดทางสังคมและเศรษฐกิจของพม่าจากยุคอาณานิคมถึงหลังอาณานิคม”
ถาม-ตอบกับลลิตา หาญวงษ์ ผู้เขียนหนังสือ หละ มยิ้น: บทสะท้อนความคิดทางสังคมและเศรษฐกิจของพม่าจากยุคอาณานิคมถึงหลังอาณานิคม ที่ขยายความเข้าใจต่อหนังสือ ตัวหละ มยิ้น และเบื้องหลังหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับหนังสือเล่มนี้
Q : อาจารย์ถือเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญทางด้านประวัติศาสตร์พม่า ทำไมถึงหันมาสนใจประวัติศาสตร์พม่า โดยเฉพาะช่วงหลังอาณานิคม
A : ตอนที่เรียนปริญญาตรีอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชอบประวัติศาสตร์อยุธยามาก เรียกว่าคลั่งไคล้เลย และก็คงเหมือนกับคนทั่วไปที่ต้องได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเสียกรุง อินกับประวัติศาสตร์ชาติ ครั้งหนึ่งตอนที่เรียนปี 2 อ.สุเนตรจัดทริปไปพม่า เราในฐานะคนชอบประวัติศาสตร์อยุธยามากเลยอยากจะเห็นว่าพม่ามาตีอยุธยายังไง อดีตราชธานีพม่าหน้าตาเป็นอย่างไร แค่นั้น แต่เมื่อได้ไปเห็นจริงๆ แล้วก็รู้สึกทึ่ง ตอนนี้เลยอยากเรียนเรื่องพม่ามากกว่าไทยแล้ว เลยลงเรียนภาษาพม่ากับ อ.ตัน ตัน เมี้ยน (อ.คิตตี้) และทุกซัมเมอร์ก็จะไปเรียนภาษาพม่ากับ อ.วิรัชและ อ.วรนุช นิยมธรรม ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก แล้วก็มีความคิดว่าอยากจะไปเรียนต่อปริญญาโทด้านความสัมพันธ์ไทย-พม่าอย่างจริงจัง ตอนแรกอยากไปอเมริกามาก เห็นว่า Northern Illinois University (NIU) มีศูนย์พม่าศึกษา แต่สอบ GRE ไม่ผ่าน ผิดหวังมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวัน แม่ก็เข้ามาปลอบถามว่าทำไมไม่เลือกไปประเทศอื่น ปกติเป็นคนประเภทถ้าอยากทำอะไรหรือชอบอะไรแล้วต้องได้อย่างนั้น มีความมุ่งมั่นสูง แต่ก็ทำตามที่แม่บอก ได้ไปเรียนต่อที่ SOAS (School of Oriental and African Studies) ที่ลอนดอน
ลลิตา หาญวงษ์ ผู้เขียนหนังสือ หละ มยิ้น: บทสะท้อนความคิดทางสังคมและเศรษฐกิจของพม่าจากยุคอาณานิคมถึงหลังอาณานิคม
เมื่อถึงลอนดอนแล้วต้องปรับตัวมาก การเรียนการสอนแบบฝรั่งไม่เหมือนของเราเลย เขาเอาจริงเอาจังมาก ตอนแรกว่าจะเรียน Southeast Asian Studies เห็นกว้างดี แต่ในที่สุดได้นั่งคุยกับ Professor Ian Brown(*1) ที่ต่อมาจะได้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาทั้ง ป.โทและเอก และจะเป็นคนที่กล่อมเกลาเราให้เราเป็นนักประวัติศาสตร์ที่เคร่งครัดเรื่องข้อมูลและหลักฐาน อ.เอียน (หมายถึง Ian Brown) ไม่ชอบทฤษฎีใด ๆ เลย แต่ตอนที่อยู่ลอนดอนนั้นก็มักจะหนีไปฟังเสวนาเกี่ยวกับมาร์กซ์และไปเข้าคอร์สเรียนปรัชญาฝ่ายซ้าย พอกลับมาเล่าให้อ.เอียนฟัง ดูแกไม่อินด้วยเลย อ.เอียนเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดที่ทำให้อยากเรียนป.เอกต่อ ตัดสินใจกลับเมืองไทย ไปสมัครเป็นอาจารย์ที่ม.มหาสารคาม โดยให้เงื่อนไขเขาไว้เลยว่าต้องส่งเรากลับมาเรียนที่ SOAS นะ ปรากฎว่าทางนั้นตอบตกลง เลยได้กลับมาเรียน ป.เอกอย่างที่ต้องการ
เมื่อกลับมาลอนดอน อ.เอียนก็ถามคำถามแรกว่าอยากจะทำวิทยานิพนธ์เรื่องอะไร บอกอาจารย์ที่ปรึกษาไปว่าอยากทำเรื่องพม่าอย่างเดียวแล้ว อ.เอียน เลยแนะนำให้ไปหาภัณฑารักษ์เอกสารเกี่ยวกับพม่าที่ British Library ชื่อ ด่อ ซัน ซัน เม (San San May) แล้วด้วยอะไรมาดลใจก็แล้วแต่ ก็รู้สึกเตะตากับเอกสารอยู่ชุดนึงที่พูดถึงการบริหารงานของกองตำรวจในพม่า เอกสารมหาศาล และน่าสนใจมาก เลยตั้งใจศึกษาเรื่องนี้ ใช้เวลาอ่านเอกสารใน British Library นั้นอยู่เกือบ 3 ปี มีความสุขมาก
ก่อนเรียนจบไม่นาน อาจารย์ที่ปรึกษากำลังจะเขียนหนังสือ Burma’s Economy in the Twentieth Century เสร็จ อ.เอียนถามว่า “ยูรู้จักหละ มยิ้นไหม ผมอยากไปหาเขา เขายังมีชีวิตอยู่ อายุ 90 กว่าแล้ว และอยู่ที่กรุงเทพ” เราติดต่ออาจารย์ชาวพม่าท่านหนึ่งเพื่อให้พาอ.เอียนไปหา อ.หละ มยิ้น ที่ที่พักใกล้ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ตอนนั้นกปปส.ยกพลไปปิดศูนย์ราชการ แต่ก็โชคดีที่เมื่อ อ.เอียนถึงเมืองไทย เขาเลิกชุมนุมกันแล้ว อ.หละ มยิ้น และหลานชายเล่าให้พวกเราฟังอย่างตื่นเต้นว่าได้ยินเสียงระเบิด มองลงไปเห็นฝูงชนบุกมาปิดศูนย์ราชการ เป็นภาพที่พวกเขาที่เป็นคนพม่าไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นประเทศของเรา
Q : ช่วงประวัติศาสตร์พม่ายุคโบราณ อาณานิคม และหลังอาณานิคม ความยากง่ายในการศึกษาแตกต่างกันอย่างไร
A : แตกต่างกันที่สุดก็คงเป็นเรื่องของเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่นำมาใช้ เอกสารในยุคอาณานิคมส่วนใหญ่เก็บไว้ที่ British Library มีกระจัดกระจายอยู่ที่หอจดหมายเหตุที่ย่างกุ้งและกัลกัตตาบ้าง แต่ถ้าให้ครบ ก็ต้องเป็นที่อังกฤษ ส่วนในยุคหลังอาณานิคม เอกสารจะเป็นอีกลักษณะหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าศึกษาประเด็นใด ถ้าเป็นเรื่องการเมือง เอกสารฝั่งพม่ามีน้อยมาก เพราะราชการพม่ายังมองว่าเอกสารของรัฐบาลควรเป็นความลับ ไม่ควรจะเปิดเผย ไม่ว่าจะผ่านมากี่สิบปีแล้วก็ตาม หากสนใจประวัติศาสตร์การเมืองพม่ายุคหลังเอกราช ก็ต้องอาศัยอ่านชีวประวัติ/อัตตชีวประวัติ เอกสารทางการทูตทั้งของไทย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา แต่ถ้าคนที่ทำเรื่องภาษาและวรรณกรรมก็อาจจะเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ง่ายหน่อย
A : ครูทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเป็นไอดอลและเป็นแรงบันดาลใจเกือบทุกท่านค่ะ
A : อ.เอียนถือว่าเป็นคนเปิดโลกทัศน์เราเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เศรษฐกิจพม่า เมื่อเรียนจบป.เอก กลับมาเมืองไทยแล้ว พอดีอ.ทวีศักดิ์ เผือกสม ติดต่อมาว่ากำลังจะมีโครงการวิจัยเกี่ยวกับปัญญาชนอาเซียนชุดหนึ่ง เราตอบตกลงทันที ตอนที่อ.ทวีศักดิ์ถามว่ามีปัญญาชนคนพม่าที่อยากศึกษาไหม ก็ตอบไปแบบไม่ลังเลเลยว่า หละ มยิ้นนี่ล่ะ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นแถบไม่รู้เลยว่าหละ มยิ้นเป็นใคร มีความสำคัญอย่างไร รู้มาบ้างจากอ.เอียน แต่ไม่คิดว่าจะมีความสำคัญขนาดนี้ พอเริ่มทำวิจัยไป ก็เริ่มอิน การกลับมาทำงานที่เมืองไทยทำให้เรากลับไปอ่านเอกสารยุคอาณานิคมที่อังกฤษยากแล้ว วิธีที่ง่ายที่สุดคือเลือกศึกษาอะไรที่ใกล้ตัวขึ้นมาหน่อย พอจะใช้แหล่งข้อมูลที่เป็นหนังสือหรือบทความวิชาการได้บ้าง จึงสนใจศึกษาพม่าในยุคหลังเอกราชมาจนถึงปัจจุบัน
Q : หากเป็นบุคคลสำคัญของพม่า ทำไมถึงต้องเป็นหละ มยิ้น
A : ความน่าสนใจของหละ มยิ้นคือเขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในระดับโลก อาจจะไม่ถึงกับดังขนาดพอล ครุกแมน (Paul Krugman) โจเซฟ สติกลิซ (Joseph Stiglitz) หรือฮา จูน ชาง (Ha-Joon Chang) อย่างในปัจจุบัน ในยุคของหละ มยิ้น มีนักทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ที่ศึกษาแต่ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์อยู่พอสมควร แต่มีคนที่ยืนยันในความถูกต้องของทฤษฎีการค้าเสรีแบบอดัม สมิธ (Adam Smith) อยู่ไม่มาก ในยุคที่โลกกำลังเห่อทฤษฎีของเคนส์ (John Maynard Keynes) และการแทรกแซงของรัฐบาลเพื่อทำให้เศรษฐกิจมั่นคงและไม่ปั่นป่วนเกินไปนัก
แม้ว่าหละ มยิ้นจะมีชื่อเสียงมากในระดับโลก แต่บุคคลผู้นี้แทบไม่เป็นที่รู้จักในประเทศของตนเองเลย เราก็มานั่งคิดคำอธิบายก่อนว่าทำไมคนพม่าจึงแทบไม่รู้จักหละ มยิ้นเลย นี่คือนักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกนะ คนที่เคยเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยย่างกุ้งเลยนะ พอได้ไปสัมภาษณ์หละ มยิ้นสองครั้ง นักเศรษฐศาสตร์พม่าคนอื่น ๆ หรือแม้แต่คุยกับ อ.เอียนเอง ก็พอจะได้คำตอบว่าหากจะตอบคำถามนี้ ก็ต้องศึกษาเศรษฐกิจการเมืองพม่าในยุคสงครามเย็นให้ถ่องแท้ หละ มยิ้นเป็นนักทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่เด็ดเดี่ยวมาก หากเป็นสมัยนี้ ก็ต้องเรียกว่าเป็นคนกำปั้นทุบดิน เป็นคนตรง และไม่ยอมอ่อนข้อให้กับอะไรที่อาจารย์คิดว่าไม่ถูกต้องเลยแม้แต่นิดเดียว หละ มยิ้นจึงไม่เป็นที่ชื่นชอบในหมู่นักการเมืองพม่า ไม่ใช่เฉพาะเผด็จการอย่างเน วินนะ แต่นักการเมืองที่เรียกตนเองว่าบูชาระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาก็ไม่ชอบคนตรงๆ อย่างหละ มยิ้นเช่นกัน
Q : งานเขียนที่สร้างชื่อให้กับหละ มยิ้นมากที่สุด โดยได้รับการพิมพ์ซ้ำถึง 5 ครั้ง คือ The Economics of the Developing Countries อยากให้อาจารย์ช่วยวิเคราะห์วิจารณ์เล่มนี้เบื้องต้น
A : ตอนที่หนังสือเล่มนั้นออกมาครั้งแรกในปี 1964 โลกทั้ง 2 ขั้วกำลังห้ำหั่นกันในยุคสงครามเย็น ประเทศมหาอำนาจทั้งสหรัฐอเมริกาและโซเวียตเข้าไปแทรกแซงการเมืองและเศรษฐกิจ และให้เงินสนับสนุนประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ในยุคนั้น ประเทศกำลังพัฒนา (ขณะนั้นเรียกว่าประเทศ “ด้อยพัฒนา”) หายใจเข้าออกเป็นคำว่า “การพัฒนา” คือจะมั่งคั่งขึ้นมาได้อย่างไร จะออกจากกับดักของความยากจนอย่างไร หละ มยิ้นเขียนไว้ชัดเจนว่าประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแอฟริกาไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืนเพราะนักเศรษฐศาสตร์ไม่สามารถวิเคราะห์ปัญหาทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศได้ถูกต้อง เพราะมักจะเหมารวมว่าประเทศกำลังพัฒนาก็ยากจนเหมือน ๆ กัน แต่อันที่จริงแล้ว แต่ละประเทศมีเงื่อนไข ทรัพยากร และปัญหาที่ต่างกัน ทำให้การวิเคราะห์แบบเหมาะรวม โดยเฉพาะจากมุมมองขององค์กรโลกบาล อาทิ ธนาคารโลก หรือ IMF ไม่สามารถขจัดความยากจนออกไปให้หมดได้ หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเหมือนอนุสติเตือนใจให้นักเศรษฐศาสตร์หันมาสนใจเงื่อนไขของแต่ละประเทศมากขึ้น มากกว่าที่จะถกเถียงกันที่ตัวทฤษฎีแบบแข็งทื่อ
Q : การพัฒนาสำหรับอู นุ คือการกำจัดอิทธิพลของระบอบอาณานิคมผ่านการฟื้นฟูค่านิยมแบบดั้งเดิมของชาวพม่า นโยบายทำให้เป็นพม่าการปลูกฝังลัทธิชาตินิยมและนโยบายเศรษฐกิจแบบ “สังคมนิยมแนวพุทธ” ที่ให้ความสำคัญกับการซื้อหรือควบรวมกิจการที่เดิมเป็นของต่างชาติมาเป็นของรัฐ การทำเช่นนี้ ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจในมุมมองของหละ มหยิ้นอย่างไรบ้าง
A : หลังพม่าได้รับเอกราช นโยบายทางเศรษฐกิจของพม่าโน้มเอียงไปในทางสังคมนิยมควบคู่ไปกับการเชิดชูความเป็นชาติ และอัตลักษณ์แบบพม่าแท้ รัฐบาลต้องการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ต้องการกำจัดอิทธิพลทางเศรษฐกิจของชาวต่างชาติ และในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมกิจกรรมทางพุทธศาสนา เพื่อสร้าง “ปยีด่อตา” (Pyidawtha) หรือแผ่นดินแสนสุข ขึ้น แม้พม่าตลอดยุคอู นุจะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีการเลือกตั้ง ท่าทีประนีประนอมกับชนกลุ่มน้อย และการจ้างที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจต่างชาติเข้ามาช่วยวางรากฐานทางเศรษฐกิจ แต่ด้วยความระแวงและกระแสการเมืองโลกที่รุนแรง ประกอบกับนโยบายวางตัวเป็นกลางในยุคสงครามเย็น ทำให้พม่ามีนโยบายมองเข้ามาข้างในเป็นหลัก และอาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ที่พม่าพัฒนาได้ช้าเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เมื่อบวกกับปัญหาการสู้รบกับกองกำลังหลายกลุ่มในประเทศ ยิ่งทำให้รัฐบาลไม่สามารถพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มที่
A : อ.เอียนพูดกับเรามาตั้งแต่จะพิมพ์หนังสือ Buma’s Economy in the Twentieth Century แล้วว่าหายนะทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับพม่ามาจากการที่รัฐบาลพม่าขับไล่ชาวต่างชาติออกไปจากประเทศ โดยเฉพาะคนอินเดียที่เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต มหาวิทยาลัยย่างกุ้งเองจากเดิมเคยมีชื่อเสียงระดับเอเชียก็ตกต่ำลงเพราะไม่มีผู้สอนที่มีความสามารถ องค์ความรู้ล้าหลัง รัฐบาลพยายามปิดประเทศ เพราะหวาดกลัวว่าคนต่างชาติจะเข้ามาเทคโอเวอร์เศรษฐกิจในประเทศของตนเองเหมือนในสมัยอาณานิคม ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เปิดรับ know-how จากประเทศตะวันตกอย่างเต็มที่ พม่าติดกับดักชาตินิยมและความกังวลว่าชาวต่างชาติจะเข้ามาควบคุมเศรษฐกิจของตนอีกครั้ง ความหวาดระแวงนี้ยังสะท้อนให้เห็นในการเมืองพม่าร่วมสมัย เราจะเห็นกองทัพพม่าหวาดระแวงกับท่าทีของจีนตลอด เกรงว่าจีนจะเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจมากจนเกินไป จนเกิดการยกเลิกสัมปทานการสร้างเขื่อนมยิตโซน ที่จีนเข้ามาร่วมลงทุน ในปี 2011
Q : แนวคิดเศรษฐศาสตร์สกุลคลาสสิกที่หละ มยิ้นยึดมั่น มีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของพม่ามากน้อยแค่ไหน
A : ไม่มีเลย ผู้นำพม่ายุคหลังสงครามเชื่อมั่นในเศรษฐศาสตร์แบบสังคมนิยม นักวิชาการฝรั่งหลายคนที่เข้าไปพม่าตั้งแต่ทศวรรษ 1950 ลงมาตั้งคำถามเยอะมากว่าผู้นำพม่าเข้าใจจริง ๆ หรือว่าสังคมนิยมคืออะไร และสังคมนิยมแตกต่างจากคอมมิวนิสต์อย่างไร โจทย์ใหญ่ของอีลีทพม่าในยุคนั้นมีอย่างเดียวคือจะกำจัดอิทธิพลของชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ อินเดีย และจีนออกไปจากระบบเศรษฐกิจในประเทศตนอย่างไร และจะทำให้คนพม่าลืมตาอ้าปากกับเป็นเจ้าของกิจการได้อย่างไร รัฐบาลจึงเข้ามาแทรกแซงเศรษฐกิจเยอะมาก ยิ่งเมื่อถึงยุคเน วินหลังปี 1962 รัฐบาลทหารเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจให้เป็นระบอบสังคมนิยมแบบพม่าโดยสมบูรณ์ รัฐเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตเป็นส่วนใหญ่ รัฐขับไล่ทุนต่างชาติออกไปหมด บทเรียนจากพม่าในยุคเน วินชี้ให้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจที่รัฐเข้าไปแทรกแซงหนัก ๆ อย่างนี้ไม่เวิร์ค ไม่ใช่เพราะว่าตัวระบบไม่เวิร์คนะ แต่เพราะรัฐบาลไม่เชื่อใจใครเลย คนที่วางแผนเศรษฐกิจจึงไม่ใช่เทคโนแครตเก่ง ๆ เหมือนประเทศพัฒนาอื่น ๆ แต่ล้วนเป็นคนจากกองทัพ คนที่เน วินไว้ใจเท่านั้น
Q : ในฐานะผู้เขียน และนักวิชาการผู้สนใจเรื่องพม่า อาจารย์มีความประทับใจอะไรในตัวหละ มยิ้น
A : อาจารย์เป็นคนตรง เป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการอย่างหาตัวจับได้ยาก ตลอด 70 ปีที่อาจารย์อยู่ในแวดวงเศรษฐศาสตร์ อาจารย์ยึดมั่นกับทฤษฎีเศรษฐกิจการค้าแบบเสรีมาโดยตลอด และเชื่อมั่นว่าการปล่อยให้ทำเป็นหนทางเดียวที่จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตไม่ว่าจะเป็นยุคไหน แน่นอน นักเศรษฐศาสตร์หรือเทคโนแครตหลายคนจะมองว่าการค้าเสรีแบบอดัม สมิธล้าสมัยไปนานแล้ว รัฐบาลควรเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจมากขึ้น ทุกอย่างจะได้ราบลื่น แต่เชื่อไหมว่าจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิต หละ มยิ้นยังเชื่อเสมอว่าการค้าแบบเสรีจะนำมาซึ่งความมั่งคั่งของประชาชนได้จริง ๆ น่ะ
Q : ในชีวิตของหละ มยิ้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ โดยเฉพาะด้านการสอนในมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง อาจารย์คิดว่าผลกระทบจากการระหกระเหินไปอยู่ต่างประเทศของหละ มยิ้นมาจากเหตุผลด้านใด
A : อย่างที่อธิบายไปแล้วว่า หละ มยิ้นเป็นคนตรง และมักจะโดนอีลีทพม่าเรียกว่าเป็น “พวกหัวนอก” ตลอด เราเข้าใจอารมณ์ของอาจารย์นะ ไม่ว่าจะทำอะไรก็โดนขัดขวางไปหมด อาจารย์คงเหนื่อยน่ะ พอได้ตำแหน่งที่ อ๊อกซฟอร์ดเลยตอบรับทันที แล้วก็ย้ายไปอยู่อังกฤษถาวร
A : รัฐบาลพม่าไม่ไว้ใจนักศึกษา แต่ไหนแต่ไรมาการประท้วงต่าง ๆ มักเริ่มจากรั้วมหาวิทยาลัย ในยุคที่พม่ายังเป็นประชาธิปไตย อาจารย์หละ มยิ้นเคยพูดให้ฟังว่าวินัยของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยย่างกุ้งหลวมมาก แล้วครูเองก็ “โอ๋” เด็ก ทำให้ไม่เกิดการแข่งขัน นักศึกษาสอบเข้ามหาวิทยาลัยง่ายขึ้นมาก จากที่ยุคก่อนหน้านี้ ใครที่สอบติดและเรียนจบจากมหาวิทยาลัยย่างกุ้งต้องเป็นคนเก่งมาก อ่านหนังสือกันข้ามปี พอถึงยุคเน วิน รัฐบาลก็ตัดไฟแต่ต้นลม ลดบทบาททางการเมืองของนักศึกษา อาจารย์ฝรั่งที่เคยสอนอยู่ในนั้นก็ถูกอับเปหิออกไปหมด และบ่อยครั้งที่รัฐบาลสั่งปิดมหาวิทยาลัยเพราะไม่ต้องการให้เป็นแหล่งมั่วสุมคนที่มีความเห็นต่างจากรัฐบาล
Q: รัฐบาลเผด็จการทหาร มีผลหรือไม่ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ เพราะดูเหมือนช่วงเวลาที่หละ มยิ้นทำงานวิชาการ หรือช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในยุคของอู นุ ก็ไม่สามารถทำได้เท่าไร แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นรัฐบาลทหารของเน วิน หละ มยิ้นคิดว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายเหมือนจะไม่เป็นเช่นที่เขาคิด
A: ในกรณีของพม่า ความอยู่รอดของประเทศทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจ ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้นำ ในยุคอู นุ เป็นยุคที่เทคโนแครตในหลาย ๆ ประเทศเติบโต แต่หละ มยิ้น ที่เป็นเทคโนแครตเต็มตัว กลับไม่สามารถเติบโตได้ เพราะมีวิสัยทัศน์ไม่ตรงกันกับผู้นำ เมื่อถึงยุคเน วิน หละ มยิ้นได้รับคำเชิญให้กลับมาพม่าอีกครั้งหนึ่ง เป็นคำเชิญจากผู้นำประเทศเอง แต่ในที่สุดก็ไม่ลงรอยกับระบบราชการและทัศนคติของคนในรัฐบาลเสียแล้ว ในยุคอู นุและเน วิน รัฐบาลทั้งสองให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูประเทศของตนเอง โดยมีคนพม่าและ “ลูจี” หรือผู้ใหญ่ (ทั้งที่หมายถึง adult และคนที่มีอิทธิพลในรัฐบาล) เป็นศูนย์กลาง ทำให้แนวคิดของผู้น้อย หรือนักคิดคนอื่น ๆ ไม่ค่อยได้รับการยอมรับเท่าที่ควร
Q: หากเปรียบเทียบกับประเทศไทยในปัจจุบัน คล้ายคลึงกันแค่ไหน? หรืออาจารย์พอจะเปรียบเทียบเขากับอาจารย์ ป๋วย ในยุคของจอมพลสฤษดิ์ได้ไหม?
A: หละ มยิ้น แตกต่างจากอาจารย์ป๋วยมาก ๆ ประการแรกเลยคือสำหรับลูกศิษย์ลูกหาของอ.ป๋วย อ.ป๋วยเป็นเหมือนฮีโร่ เป็นบุคคลธรรมดา ๆ ถ่อมตน และยังมีคนคิดถึงอ.ป๋วยอยู่ตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ แต่สำหรับหละ มยิ้น นอกจากเขาจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนในรัฐบาลทั้งในสมัยอู นุและเน วินแล้ว นักศึกษาที่มีโอกาสได้ร่ำเรียนกับหละ มยิ้นส่วนใหญ่ยังมองว่าเขาเป็นครูที่เข้มงวดจนเกินไป (จนทำให้ชีวิตนักศึกษาเหล่านี้ลำบาก) และในความคิดเห็นของคนทั่วไป หละ มยิ้นก็เป็นเหมือนนักวิชาการขบถหัวนอกคนหนึ่งที่ไม่สามารถปรับจูนความคิดของเขาเข้ากับระบบและคุณค่าแบบพม่าได้ ความจริงแล้ว หละ มยิ้นไม่ได้เกลียดชังเน วินเลยนะ อันนี้ก็ประหลาดใจอยู่เหมือนกัน แต่อาจารย์ย้ำให้ฟังหลายรอบมากว่าอาจารย์รู้สึกลำบากและไร้ค่ามากในยุครัฐบาลอู นุ หละ มยิ้นทำงานให้กับรัฐบาลของเน วินในฐานะอธิการบดีมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง แต่ทำได้ไม่นานก็เริ่มอึดอัดและเล็งเห็นว่ารัฐบาลเผด็จการไม่มีทางทำให้ประเทศเจริญได้ เมื่อได้รับข้อเสนอให้กลับไปเป็นอาจารย์ที่อังกฤษ จึงได้รีบกลับไป กลับไปเป็นอาจารย์ที่นู่นก็ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์ไม่รักพม่านะ ยังรำลึกอยู่เสมอ แต่ต่อมาเน วินก็ไม่ให้หละ มยิ้นเข้าประเทศอีก แม้ตอนที่แม่กำลังจะเสีย อาจารย์มารอที่สนามบินย่างกุ้งแล้ว เน วินยังไม่ให้อาจารย์ไปหาแม่ที่ใกล้จะสิ้นใจเลย ชะตาชีวิตของอาจารย์เศรษฐศาสตร์สำนัก LSE ทั้งสองคนคงจะคล้าย ๆ กันตรงนี้ล่ะมั้ง
Q: อาจารย์คิดว่าทำไมคนไทยถึงต้องอ่านชุดนักคิดอาเซียน หรืออีกนัยหนึ่งทำไมต้องอ่านนักเศรษฐศาสตร์ชาวพม่า ซึ่งดูเหมือนว่าแทบจะไม่มีสิ่งเชื่อมโยงกับไทยเลย นอกเหนือไปจากบ้านพักบั้นปลายในประเทศไทยที่หละ มยิ้นมาพัก
A: โครงการวิจัยชุดนี้เป็นผลงานของผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจัง ผู้วิจัยพยายามนำเสียงจากประเทศนั้น ๆ มาเผยแพร่ ทำให้ผู้อ่านได้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ ฯลฯ ในเชิงลึกขึ้น ถึงเวลาแล้วที่เราจะรู้จักประเทศเพื่อนบ้านให้ลึกซึ้งขึ้น ไม่ใช่รู้เท่าที่มัคคุเทศน์บอกเรา หรือหนังสือไกด์บุ๊ค บอกเรา ความเข้าใจนี้จะช่วยให้เรานำบทเรียนจากประเทศเพื่อนบ้านมาพิจารณาตัวเรา ได้เห็นมุมมองที่กว้างขึ้น และหากเรามีโอกาสไปเที่ยวประเทศเหล่านี้ เราก็จะเที่ยวได้สนุกขึ้น (ฮา)
Q: ถ้าจะกล่าวถึงพม่า ถือเป็นศัตรูคู่อาฆาตในมโนคติคนไทยในปัจจุบันมากๆ จะทำเช่นไรให้ความคลั่งชาติ หรือลดทอนอคติต่อเพื่อนบ้านเหล่านี้ให้หายไป
A : การสอนทักษะการคิดวิเคราะห์จำเป็นพอ ๆ กับการสอนวิชาพื้นฐานอื่น ๆ แต่เท่าที่เห็นครูบาอาจารย์ในบ้านเรายังไม่สามารถคิด วิเคราะห์ แยกแยะได้เลย แม้แต่พ่อแม่เองก็ห้ามเด็กทำนู่นนี่ กับสปอยด์เด็กทุกอย่าง แล้วเราจะเห็นสังคมที่เต็มไปด้วยคนที่คิดวิเคราะห์ได้อย่างไร การจะลบภาพที่ว่าพม่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับไทยมันต้องใช้ทักษะเหล่านี้เยอะมาก และต้องช่วยกันทุกภาคส่วน ตั้งแต่การศึกษาในระดับพื้นฐาน ไปจนถึงผู้กำกับภาพยนตร์-ละคร ที่เลิกให้ภาพว่าพม่าเป็นศัตรูของเราได้แล้ว จริงอยู่ สงครามที่เกิดขึ้นก็สร้างความเสียหายให้เยอะ แต่ความหมกมุ่นคิดแต่สงครามคราวเสียกรุงไม่ได้ทำให้เราอยู่ดีกินดีขึ้น ไม่ได้ทำให้เราเป็นประเทศพัฒนาแล้วขึ้นมาได้นะ ขอให้ดูตัวอย่างจากประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีประวัติศาสตร์บาดแผล อย่างญี่ปุ่นกับเยอรมันนี ในกระบวนสร้างชาติหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คนในชาติเขามุ่งหน้าหาอนาคต เขามุ่งสร้างความอยู่ดีกินดี ไม่ได้มานั่งคิดว่าทำไมประเทศของเขาแพ้สงคราม ประวัติศาสตร์ควรจะเป็นบทเรียนให้เรา มากกว่าที่จะเป็นเหตุให้เราชังเพื่อนบ้าน โลกในศตวรรษที่ 21 มันเป็นแบบนี้
___________________________________________________________________
เชิงอรรถเพิ่มเติม*
1 Ian Brown เป็นอดีตศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์เศรษฐกิจประจำ School of Oriental and African Studies (SOAS) บราวน์เริ่มต้นเส้นทางสายวิชาการของตนจากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง The Ministry of Finance and the early development of modern financial administration in Siam, 1885-1910 บราวน์เข้า ๆ ออก ๆ หอจดหมายเหตุแห่งชาติที่กรุงเทพอยู่เกือบ 20 ปี ระหว่างปี 1975-1992 และมีผลงานเกี่ยวกับไทยอีก 2 เล่ม ได้แก่ The elite and the economy in Siam c. 1890-1920 (ตีพิมพ์ปี 1988) และ The creation of the modern Ministry of Finance in Siam, 1885-1910 (หนังสือที่มาจากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขา ตีพิมพ์ในปี 1992) ในช่วงปลาย ๆ ของชีวิตการเป็นนักวิชาการด้านไทยศึกษาของเอียน บราวน์ ราเจสวารี บราวน์ ผู้เป็นภรรยาให้กำเนิดอลิสแตร์ บราวน์ (Alistair Brown) บุตรชายคนที่สอง เอียน ผู้หลงรักอลิสแตร์อย่างหัวปักหัวปำ ตัดสินใจว่าเขาไม่อยากเดินทางไปทำวิจัยไกลบุตรชายทั้งสองอีกต่อไป บราวน์จึงเริ่มศึกษาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และของพม่าอย่างจริงจัง โดยเน้นเอกสารของอังกฤษที่เก็บไว้ ณ British Library หอสมุดแห่งชาติอังกฤษที่ห่างจาก SOAS เพียงไม่กี่ก้าว บราวน์มีผลงานด้านพม่าศึกษาที่เป็นที่ยอมรับอยู่หลายชิ้น โดยเฉพาะหนังสือ A colonial economy in crisis: Burma’s rice delta and the world depression of the 1930s (ตีพิมพ์ 2005) และ Burma’s economy in the twentieth century (ตีพิมพ์ 2013) ก่อนเกษียณอายุไม่นาน บราวน์รับเป็นผู้เขียนหนังสือเพื่อรำลึก 100 ปีการก่อตั้ง School of Oriental and African Studies และตีพิมพ์ในชื่อ The School of Oriental and African Studies : Imperial training and the expansion of learning (ตีพิมพ์ 2016) แม้ในช่วงหลังมา บราวน์จะมีสุขภาพไม่ค่อยดี แต่เขาก็ยังคงครุ่นคิดถึงประเด็นทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจในพม่าอยู่เนือง ๆ และยังต้องเลี้ยงหลานสาววัยกำลังซน
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |