– Isak Dinesen quote by Hannah Arendt in Truth and Politics. –
คำถามที่ว่า ทำไมผู้เขียนจึงสนใจศึกษาอ่านงานพร้อมกับลงมือเขียนงาน ‘ฮันนาห์ อาเรนท์’ มันอาจจะเป็นคำถามที่ง่าย แต่หาคำตอบที่เหมาะสมและพึงพอใจนั้นยาก (มาก) คำตอบในลักษณะของคำสารภาพก็คงเริ่มต้นจากผู้เขียนเป็นคนที่มี ‘ความอยาก’ หรือ ‘passion’ ในการอ่านและศึกษาผลงานของนักปรัชญาและนักคิดทางการเมืองเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เหมือนกับกล่าวที่ติดหูกันว่า ‘คุณอ่านอะไร คุณก็เป็นคนประเภทนั้น’ (You are what you read.)
พิศาล มุกดารัศมี ผู้เขียน "VITA ACTIVA การรื้อฟื้น ‘มนุษย์สภาวะ’ ของ ฮันนาห์ อาเรนท์"
อย่างไรก็ตาม ‘ความอยาก’ ไม่ได้เกิดขึ้นและดำรงอยู่โดยลำพัง มันเกิดขึ้นและดำเนินไปพร้อมกับความ ‘ทุกข์ทรมาน’ (suffering) แต่ก็เพียงแค่ความทุกข์ทรมานในทางโลก ในรูปของความอยากรู้และอยากถ่ายทอดความรู้ ไม่ต้องเสียสละชีวิตเหมือนความอยากที่ต้องการบรรลุและหลุดพ้นในทางโลกุตระธรรม ที่ต้องลงทุนสร้างวีรกรรมในแบบของ ‘มรณสักขี’ (martyr) ‘ความอยาก ’ ในทางวิชาการจึงอยู่ในฐานะที่หล่อเลี้ยงให้มีชีวิตดำเนินอยู่ได้ในแต่ละเวลานาที เป็นวิถีชีวิต (way of life) จนกลายมาเป็นเนื้อเดียวกับชีวิต หากการศึกษาและแสวงหาความรู้เกิดมาจากพื้นฐานในเรื่องธรรมชาติของ ‘ความอยาก’ บวกกับความน่าสนใจของสิ่งที่เราต้องการศึกษาหาความรู้ การศึกษาอ่านงานของ ‘อาเรนท์’ สำหรับผู้เขียนคงจะมีจุดเริ่มต้นตรงนั้น
มันจึงเป็น ‘ความอยาก’ ในสถานะของความเป็นมนุษย์ และ ‘ความสนใจ’ ไปยังเรื่องของความคิดและปรัชญาการเมือง คือสิ่งที่เกิดขึ้น ตามมาภายใต้กรอบพื้นฐานการได้รับการศึกษามาทางด้านรัฐศาสตร์ที่กลายมาเป็น ‘ความชอบ’ และ ‘อาชีพ’ ในเวลาต่อมา
ในเบื้องต้นความน่าสนใจในการอ่านและศึกษางานเขียนของ ‘อาเรนท์’ อยู่ที่ความมี ‘ตัวตน’ และ ‘สถานะ’ ตั้งแต่การเป็นนักปรัชญาและนักคิดทางการเมืองที่เป็นสตรี ซึ่งโดยทั่วไปมีสตรีที่มีผลงานและได้รับการยอมรับในฐานะนักปรัชญาและนักคิดทางการเมืองอยู่น้อยรายหรือแทบไม่ปรากฏชื่อ เนื่องจากปรัชญาการเมืองเกือบเป็นพื้นที่ที่ผูกขาดโดยนักคิดเพศชาย เป็นอาชีพของเพศชาย (masculine occupation) จึงเป็นเรื่องยากที่ผู้หญิงจะแทรกตัวเข้ามา เป็นประเด็นที่ทาง ‘อาเรนท์’ เองรับรู้และตระหนักถึงความเป็นจารีตผสมกับอคติดังกล่าว(*1) จนตัวเธอเองออกมาพูดในเชิงปฏิเสธการใช้ชื่อเรียกตัวเองว่า 'นักปรัชญาการเมือง' และมาใช้ชื่อ 'นักคิดทางการเมืองแทน' (*2) และยังมาจากเหตุผลที่สำคัญในเรื่องความรู้ทาง ‘ปรัชญา’ กับความจริงและสิ่งที่เกิดขึ้นในทาง ‘การเมือง’ ณ จุดเริ่มต้น อันเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามในลักษณะของความขัดแย้ง (*3) โดยมีเนื้อหาในบทความ ‘Philosophy and Politics’ ตีพิมพ์ลงในวารสาร ‘Social Research’ อธิบายถึงปรัชญากับการเมืองซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่ (gulf) ขวางกั้นและแยกทั้งสองออกจากกัน โดยในทางประวัติศาสตร์เริ่มขึ้นจากการพิจารณาคดีความและลงโทษโสเกรตีส
คาร์ล แจ๊สเปอร์ส (1883-1869)
นั้นคือ ‘ตัวตนทางความคิด’ ส่วน ‘ตัวตนทางชีวภาพ’ ในความเป็นเพศหญิงมีการขยายและเกิดการเชื่อมโยง ‘อาเรนท์’ ไปสู่ความรักในความรู้และรักในตัวบุคคลผู้รักในความรู้นั้นด้วย ปรากฏชัดเจนในรูปแบบ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างเธอกับ ‘มาร์ติน ไฮเดกเกอร์’ ทั้งในสถานะอาจารย์และคู่รัก แม้ว่า ‘ไฮเดกเกอร์’ สร้างความผิดหวังให้แก่เธอด้วยการประกาศตัวสนับสนุนและเข้าร่วมกับทางพรรค ‘National Socialism’ ‘อาเรนท์’ ยังได้พัฒนาผลงานร่วมกับ ‘คาร์ล แจ๊สเปอร์ส’ เรียกได้ว่ามีชีวิตได้ใกล้ชิดกับนักปราชญ์คนสำคัญของยุคสมัย
ฮันนาห์ อาเรนท์ (1906-1975) กับมาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (1889-1976)
ความน่าสนใจที่เกิดจากผลงานเชื่อมโยงกับชีวิตในแบบที่มีสีสันของ ‘อาเรนท์’ คือ ‘ตัวตนทางการเมือง’ ดำเนินผ่านสถานะความเป็นชาวยิว เป็นผู้อพยพหลบหนีอิทธิพลนาซีออกนอกเยอรมันในฐานะบ้านเกิดใช้ชีวิตในลักษณะร่อนเรเป็นบุคคลไร้รัฐ (stateless emigre) อยู่ในหลายประเทศของยุโรปและโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กรุงปารีสและนิวยอร์กเป็นเวลาเกือบสองทศวรรษ(*4) มีชีวิตเป็นพยานรับรู้ถึงการก้าวขึ้นสู่อำนาจของพรรคนาซี บรรยากาศความชั่วร้ายของระบอบเผด็จการอำนาจนิยมแบบเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) การอ่านงานของ ‘อาเรนท์’ ช่วยให้เข้าใจในแง่มุมของเงื่อนไขและปัจจัยที่ให้กำเนิด พัฒนาการและผลลัพธ์ของระบอบเผด็จการอำนาจนิยมแบบเบ็ดเสร็จได้ละเอียดขึ้น และยังมีโอกาสสัมผัสกับบุคคลที่ทำงานภายใต้ระบอบเผด็จการอำนาจนิยมแบบเบ็ดเสร็จที่พัฒนามาเป็นผลงานในชื่อ ‘Eichmann in Jerusalem : A Report on the Banality of Evil’ ซึ่งเป็นอำนาจและอุดมการณ์ที่ได้ดำเนินการกัดกร่อนนำไปสู่ทำลายล้างความเป็นสัตว์การเมือง กระบวนการที่ลดทอนปฏิเสธความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ (atomistic individual) พร้อมการตัดขาดความมีสำนึกและภาระหน้าที่ในความเป็นมนุษย์ลงอย่างที่ไม่เคยมีระบอบการเมืองการปกครองใดทำกับประชาชนของตัวเองได้มาก่อน
ปกหนังสือ ‘Eichmann in Jerusalem’ ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1963 เนื่องจากการตั้งคำถามกับปัญหาความเป็นเพศหญิง ชาวยิว นักปรัชญา การอ่านและศึกษางานของ ‘อาเรนท์’ เป็นการช่วยให้เห็นถึงกำเนิด พัฒนาการ จุดหัก การเปลี่ยนแปลงและการคลี่คลายตัวในเชิงประวัติศาสตร์ความคิด ชี้ให้เห็นถึงพลวัตความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์กับความคิด ตั้งแต่ปรัชญาและความคิดทางการเมืองของกรีกโบราณ ผ่านมาทางโสเกรตีส เพลโตและอริสโตเติลเฉพาะอย่างยิ่งกับแนวคิดความเป็นสัตว์การเมืองที่ ‘อาเรนท์’ เน้นให้ความสำคัญเป็นพิเศษในฐานะที่มันอยู่เหนือกิจกรรมในทางชีวภาพเรื่องของแรงงานและการผลิต สังคมการเมืองและรูปแบบสาธารณรัฐของโรมัน ส่วนนักปรัชญาการเมืองสมัยใหม่ที่เธอให้ความสนใจและนำมาศึกษาได้แก่ อดัม สมิธ จอห์น ล็อค คาร์ล มาร์กซ์ อิมมานูเอล คานท์ โซเร็น เคียร์เกอการ์ดและมงเตสกิเออ ‘อาเรนท์’ ยังให้ความสนใจศึกษาความคิดและปรากฏการณ์ทางการเมือง ตั้งแต่เรื่องของความรุนแรง ความสำคัญของสิทธิ การปฏิวัติ การวิเคราะห์ระบอบการปกครอง การอ่านงานของ ‘อาเรนท์’ ทั้งนี้ผู้อ่านจะสังเกตได้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างภูมิปัญญาของยุคสมัย เช่นการปฏิรูปทางศาสนา การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ การปฏิวัติอุตสาหกรรมและภูมิปัญญาของผู้คนในยุคแสงสว่าง ในลักษณะของประวัติศาสตร์ภูมิปัญญา (intellectual history) มีเนื้อหาและรายละเอียดในผลงานชิ้นสำคัญ ‘The Human Condition’ ซึ่งช่วยให้วงการปรัชญาและความคิดทางการเมืองเริ่มคุ้นเคยและรู้จักกับแนวคิดในเรื่องมนุษย์สภาวะ (human condition) ที่แยกออกเป็นแรงงาน (labor) ผลงาน (work) และการแสดงตน (action) พร้อมกับพัฒนาการในเชิงประวัติศาสตร์ความคิดที่ ‘อาเรนท์’ เขียนไว้อย่างน่าสนใจ เรื่องของ ‘ความชั่วร้ายอันแสนธรรมดา’ (banality of evil) อธิบายถึงการก่ออาชกรรมต่อผู้คนทั่วไป โดยที่มันไม่ได้เกิดขึ้นจากมือของฆาตกร ผู้ร้าย เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถืออาวุธหรือผู้ที่นิยมชื่นชอบความรุนแรงและการทำลายล้างชีวิต แต่มาจากคนทั่วไปที่มีหน้าที่ทำงานให้กับรัฐ แต่ได้กลายสภาพมาเป็นเครื่องมือที่ไร้สำนึกให้กับรัฐเผด็จการควบคุมและจัดการประชาชนผู้บริสุทธิ์ การหันมาให้ความสนใจกับสภาพความยากลำบากของคนที่ตกอยู่ในสถานะเป็นบุคคลไร้รัฐ (stateless) ตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองจนมาถึงเหตุการณ์วิกฤตในเรื่องผู้อพยพที่กำลังเป็นปัญหากันอยู่ในหลายภูมิภาคของโลก กับทางออกด้วย
แนวคิด ‘สิทธิในการได้รับสิทธิต่างๆ’ (the right to have rights) ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์และเรียกร้องในเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (human dignity) ความมีมนุษยธรรม (humanity) พร้อมกับสิทธิมนุษยชนสากล (universal human right) ซึ่งก่อนหน้านั้นแนวคิดของอาเรนท์ ยังได้รับความนิยมในเชิงของการตอบรับจากขบวนการเคลื่อนไหวทางสิทธิของอเมริกามาก่อน (American Civil Right Movement) นอกจากนี้ ‘อาเรนท์’ ให้ความสนใจรูปแบบทางความคิดใน ‘Life of Mind’ จัดเป็นงานเขียนที่เป็นนามธรรมสูง ที่มีรายละเอียดอธิบายเรื่องบทบาท อิทธิพลและความสามารถจิตใจมนุษย์ในการแยกแยะความแตกต่างระหว่างการคิด (thinking) เจตนารมย์ (willing) และ การพิจารณาตัดสิน (judgement)
ปกหนังสือ The Human Condition ที่พิมพ์ครั้งแรกปี ค.ศ. 1958
ผู้เขียนได้ลงมืออ่านและศึกษาผลงานชิ้นสำคัญประกอบด้วย ‘Human Condition’ ‘The Origins of Totalitarianism’ ‘On Revolution’ ‘Between Past and Future : Eight Exercises in Political Thought’ ‘The Promise of Politics’ และบางส่วนของผลงานที่เธอยังเขียนค้างไว้ไม่เสร็จสมบูรณ์ ‘The Life of Mind’(*5) จากงานเขียนดังกล่าวตีความว่า ‘อาเรนท์’ ต้องการนำผู้อ่านกลับไปสู่รากฐานและมองย้อนถึงจารีตความคิดทางการเมืองตะวันตก ความสำคัญในความรู้ของความเป็นการเมืองมีกำเนิดที่โสเกรตีส ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างเป็นระบบภายใต้แนวคิดความเป็นสัตว์การเมืองของอริสโตเติล ทั้งในรูปของความรู้ หลักการ พื้นที่ กระบวนการ สถาบัน และแนวคิดในเรื่องเสรีภาพ คำพูด (speech) การแสดงตน (action) และเหตุผล แต่สุดท้ายกลับถูกปฏิเสธและทำลายลงในปลายศตวรรษที่สิบเก้าต่อเนื่องมาจนถึงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ เฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ระบอบเผด็จการอำนาจนิยมแบบเบ็ดเสร็จ ของทั้งฮิตเลอร์และสตาลิน เปรียบเสมือนผลผลิตของสังคมการเมืองสมัยใหม่ ส่วนหน้าที่ของ ‘อาเรนท์’ คือการนำผู้อ่านของเธอย้อนกลับไปยังอดีต (past) เพื่อจะได้ศึกษาพิจารณารูปแบบและองค์ความรู้ปรัชญาและความคิดทางการเมือง (tradition) เพียงแต่ ‘อาเรนท์’ ให้ข้อสังเกตว่ายุคสมัยที่แตกต่างกันผู้คนยึดถือ ให้ความสำคัญกับ ‘ความจริง’ (truth) คนละรูปแบบกัน
'สมัยใหม่' ไม่เชื่อในความจริงแบบทั้งเป็นสิ่งที่ถูกมอบมาให้ (given) หรือได้รับการเปิดเผย (disclosed) ความจริงเป็นสิ่งที่ถูกผลิตสร้างขึ้นมาจากความคิดจิตใจของมนุษย์’(*6) ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ท่ามกลางโลกที่เสรีภาพและความยุติธรรมอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์และชัดเจนเหมือนก่อนหน้า การมีชีวิตยังคงมีคุณค่าอยู่ต่อไปหรือไม่
. . . . .
ขอปัญญาจงสถิตย์แก่ผู้อ่าน
พิศาล มุกดารัศมี
ปลายฝนต้นหนาว 2561
______________________________________________
*1 หรือไม่ก็ผลักออกไปอยู่ในประเภทนักคิดที่เรียกร้องต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี (feminist) โปรดดู แนวคิดในเรื่องความรังเกลียด (misogyny) และความกลัว (gynophobia) สตรีเพศได้ใน Andrea Nye. (1994) Philosophia : The Thought of Roxa Luxemborg, Simone Weil and Hannah Arendt. New York : Routledge. *2 โปรดดูในบทสัมภาษณ์ระหว่างอาเรนท์กับกุนเตอร์ กอส ใน ‘What Remains? The Language Remains’ : A Conservation with Gunter Gaus ‘ปรัชญาการเมือง’ เป็นสิ่งที่ ‘อาเรนท์’ หลีกเลี่ยงใช้มัน เนื่องจากต้องแบกรับภาระในทางจารีตมาอย่างเต็มตัว (burdened by tradition) ในขณะเดียวกันอาเรนท์นำเสนอความคิดทางการเมืองออกมาค่อนข้างจะไม่เป็นระบบ เหมือนกับนักปรัชญาไม่ว่าจะเป็นเพลโต อริสโตเติล ฮอบบส์ เฮเกลและรอวลส์ *3 หากจะกล่าวในเชิงอุปมาปรัชญาเปรียบเสมือนกับ ‘ระเบียบ’ ขณะที่การเมืองคือ ‘ความไร้ระเบียบ’ และไม่ต้องการอยู่ในระเบียบ *4 Seyla Benhabib. (2003) The Reluctant Modernism of Hannah Arendt. (new edition) Lanham : Rowman & Littlefield Publishers, Inc.,p.15. *5 อาเรนท์เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจวาย ณ อพาร์ตเมนต์ในนิวยอร์ก เป็นช่วงที่เธอเพิ่งจะเริ่มต้นเขียนเนื้อหาส่วนที่สามของหนังสือ ‘The Life of the Mind’ หลังจากเขียนเนื้อหาในสองส่วนแรกเสร็จสิ้นลงไป *6 Hannah Arendt. (2006) Between Past and Future : Eight Exercises in Political Thought. Introduction by Jerome Kohn. New York : Penguin Books.,p.226.