
บทรีวิวหนังสือ “ฮาเบอร์มาสกับสังคมหลังฆราวาส”โดยสุรพศ ทวีศักดิ์
มีพระรูปหนึ่งถามผมว่า เคยอ่านที่ผมเขียนเกี่ยวกับ “Secularism” ไว้ แต่ไม่ละเอียดพอ ถ้าอยากเข้าใจเรื่องนี้อย่างละเอียดจะหาอ่านในภาษาไทยได้จากเล่มไหน ผมก็เลยแนะนำ “ฮาเบอร์มาสกับสังคมหลังฆราวาส” เล่มนี้ เพราะในเล่มนี้มีทั้งเรื่อง Secularism, Secular, Secularization, สถานการณ์ของ Secular state ที่สำคัญๆ และ “Post secular” พร้อมกับบทวิจารณ์ที่สะท้อนมุมมองแบบกว้างและลึกของธเนศ วงศ์ยานนาวาและของผู้เขียนอื่น ๆ

สุรพศ ทวีศักดิ์
บางคนว่า หนังสือเล่นนี้อาจใช้เป็นฐานความรู้และเหตุผลสำหรับโต้แย้งข้อเสนอ “แยกศาสนาจากรัฐ” ในไทย แต่ผมคิดว่าไม่ใช่เช่นนั้น เพราะไอเดีย Post Secular ของฮาเบอร์มาสไม่ใช่การปฏิเสธ Secular แต่ที่จริงแล้วคือการยืนยัน “Secular แบบเสรีประชาธิปไตย” เพียงแต่เขาเสนอให้ศาสนาเข้าร่วมถกเถียงในเรื่องสาธารณะได้ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องแปลภาษาของ Religion เป็นภาษาแบบ Secular เท่านั้น

การยืนยัน “Secular แบบเสรีประชาธิปไตย” ก็คือการยืนยันชัยชนะของเสรีประชาธิปไตย เหนือ “อำนาจทางการเมืองแบบศาสนาสถาปนา” ซึ่งพูดอย่างรวบรัดก็คืออำนาจภายใต้ระบบกษัตริย์และศาสนจักร หรืออำนาจของเครือข่ายชนชั้นสูง ได้แก่ กษัตริย์ ขุนนาง นักบวช ผู้นำศาสนา ที่อ้างอิง “พระเจ้า” (หรือ “ธรรม”) ให้ความชอบธรรมกับสถานะ อำนาจ และบทบาทของพวกตน การให้พื้นที่สาธารณะแก่ศาสนาตามข้อเสนอแบบฮาเบอร์มาส จึงไม่ใช่การหวนกลับไปสู่อำนาจทางการเมืองแบบศาสนาสถาปนาดังกล่าวแต่อย่างใด หากแต่เป็นการให้พื้นที่แก่ศาสนาสามารถส่งเสียงออกมาได้ภายใต้การยืนยันหลักการเสรีประชาธิปไตย ที่ยอมรับเสรีภาพในการแสดงออกอย่างเท่าเทียมของความคิด ความเชื่อที่แตกต่าง ตราบที่ไม่นำไปสู่การทำลายหลักการเสรีประชาธิปไตยเสียเอง

รัฐไทยไม่ใช่ Secular State และยังไม่ใช่ “Secular แบบเสรีประชาธิปไตย” ปัญหาสำคัญจึงอยู่ที่การมีอำนาจทางการเมืองทับซ้อนกันสองแบบคือ อำนาจแบบ Secular ของรัฐบาลที่มาจาก Consent ของประชาชน กับอำนาจแบบศาสนาสถาปนาของชนชั้นนำจารีต ภายใต้ระบบอำนาจที่ทับซ้อนกันนี้ สถาบันศาสนาไม่ถูกแยกจากรัฐและการเมือง เพราะถูกผนึกรวมเป็นกลไกสนับสนุนสถานะและอำนาจทางการเมืองของชนชั้นนำจารีต เท่ากับศาสนาถูกกำหนดให้มีตำแหน่งแห่งที่และบทบาทที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างเสรีประชาธิปไตย

ฮาเบอร์มาสได้เข้าเฝ้าพระคาร์ดินัล โยเซฟ รัตซิงเกอร์ (Joseph Ratzinger) ในวันที่ 19 มกราคม ค.ศ.2004 ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่สิบหก (Pope Benedict XVI) อันเป็นการหารือเกี่ยวกับบทบาทของศาสนาในชีวิตทางสาธารณะ
โดยส่วนตัวผมไม่คิดว่า “ประวัติศาสตร์อำนาจการเมืองแบบศาสนาสถาปนา” เป็นประวัติศาสตร์เฉพาะของยุโรป ใช่ครับ ประวัติศาสตร์อำนาจการเมืองแบบ “ศาสนาสคริสต์” ถูกสถาปนาเป็นประวัติศาสตร์เฉพาะของยุโรป แต่แทบทุกสังคมทั่วโลกก็เคยผ่านประวัติศาสตร์อำนาจทางการเมืองแบบศาสนาต่างๆ สถาปนามาแล้วทั้งนั้น ดังนั้น หากต้องการสร้างประชาธิปไตยที่เป็นเสรีประชาธิปไตย หรือประชาธิปไตยที่มี “เสรีภาพ” เป็นพื้นฐานของการอภิปรายถกเถียงเรื่องความยุติธรรมและประโยชน์ส่วนรวมทุกๆ ด้านได้อย่างแท้จริง ก็จำเป็นต้องก้าวข้ามอำนาจทางการเมืองแบบศาสนาสถาปนาไปสู่ “Secular แบบเสรี ประชาธิปไตย” ในที่สุด