หยดเลือด/จารึก/แท่นพิมพ์ :
“ความไม่ต่อเนื่อง” ในชื่อหนังสือเล่มล่าสุดของ ทวีศักดิ์ เผือกสม
โดย สิกขา สองคำชุม
ภาพนักฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศสกำลังชูถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลกกลางสายฝนที่ตกแบบโหมกระหน่ำ ณ อดีตสหภาพโซเวียต หรือ สหพันธรัฐรัสเซีย อยู่นั้น คงจะอยู่ในความประทับใจของกองเชียร์และคนรักวัฒนธรรมฝรั่งเศสไปอีกนานแสนนาน นับจากความผิดหวังเมื่อสิบสองปีก่อนของอดีตจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสต่อประเทศอิตาลีในการดวลลูกโทษของนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก ปี 2006 ที่เยอรมนี การรอคอยถึงสิบสองปีเพื่อมองเห็นความสำเร็จของ “ทีมตราไก่” ก็คงจะถือได้ว่าเป็นการรอคอยที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับความหวังอันริบหรี่ของพระไชยบูลย์ ธมฺมชโย ที่กล่าวอ้างว่าตนจะมอบตัวกับทางตำรวจเมื่อ “บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติในระบอบประชาธิปไตย” (ไทยพีบีเอสนิวส์, 2561) การอุปมาเปรียบเปรยของผู้เขียนก็คงจะไม่ได้แตกต่างเท่าใดนัก
เหตุผลที่ผู้เขียนเห็นว่าหนังสือเล่มใหม่ของทวีศักดิ์ได้สะท้อนถึงมรดกความคิดแบบฝรั่งเศสนั้นเป็นเพราะทวีศักดิ์ยืนยันว่าตนใช้วิธีวิทยาการศึกษาประวัติศาสตร์คือแนวคิดวงศาวิทยา (genealogy)
แม้ว่าการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ FIFA World Cup ปี 2018 เพิ่งจะเสร็จสิ้นลงไปด้วยความสำเร็จของฝรั่งเศสเหนือม้ามืดอย่างทีมชาติโครเอเชีย และทำให้ฝรั่งเศสได้แชมป์สมัยที่สองทัดเทียบกับอาร์เจนตินาและอุรุกวัย ในความผิดหวังของแฟนบอลชาวไทยบางท่านที่อยากจะเอาใจช่วยโครเอเชียให้ไปไกลถึงฝั่งฝันนั้น มรดกของความคิดทางปรัชญาแบบฝรั่งเศสนั้นกลับมีอิทธิพลต่อหนังสือเล่มล่าสุดที่สำนักพิมพ์ Illuminations Editions กำลังจะจัดจำหน่ายในเร็ววัน คือ ‘หยดเลือด จารึก และแท่นพิมพ์ : ว่าด้วยความรู้/ความจริงของชนชั้นนำสยาม พ.ศ. 2325-2411’ ที่ปรับปรุงมาจากวิทยานิพนธ์อักษรศาสตร์มหาบัณฑิตของภาควิชาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง การปรับตัวทางความรู้ ความจริง และอำนาจของชนชั้นนำสยาม พ.ศ. 2325-2411 ของนักประวัติศาสตร์นามอุโฆษที่กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้นในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแถวชุมทางการค้าเมืองพระพิษณุโลกสองแคว - ทวีศักดิ์ เผือกสม - เหตุผลที่ผู้เขียนเห็นว่าหนังสือเล่มใหม่ของทวีศักดิ์ได้สะท้อนถึงมรดกความคิดแบบฝรั่งเศสนั้นเป็นเพราะทวีศักดิ์ยืนยันว่าตนใช้วิธีวิทยาการศึกษาประวัติศาสตร์คือแนวคิดวงศาวิทยา (genealogy) เพราะทวีศักดิ์คงเห็นว่าวิธีการศึกษาลักษณะนี้ “เป็นเสมือนหนึ่งสืบสายสาแหรกความคิด...[เพื่อ]เปิดให้เห็นเส้นสายร่องรอยการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ความคิดของชนชั้นนำในช่วงต้นรัตนโกสินทร์” (ทวีศักดิ์, 2561: 64)
การเปรียบเทียบชัยชนะของ “จ้าวไก่ฝรั่งเศส” ในย่อหน้าแรกกับการเกริ่นนำเพื่อแนะนำหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของ ทวีศักดิ์ เผือกสม ในย่อหน้าถัดไปซึ่งไม่มีความเกี่ยวเนื่องอะไรเลยตามขนบแบบแผนของการเขียนบทความทั่วไปที่แต่ละย่อหน้าจะต้องเขียนประเด็นในแต่ละย่อหน้าให้เรียงร้อยเชื่อมโยงกันอย่างเป็นเอกภาพนั้นนับเป็นตัวอย่างที่ดีของ “ความไม่ต่อเนื่อง” ซึ่งเป็นทัศนะทางประวัติศาสตร์ของมิเชล ฟูโกต์ นักคิดคนสำคัญชาวฝรั่งเศสที่เห็นว่าสรรพสิ่งมิได้วิวัฒนาการหรือค่อยๆ เติบโตเปลี่ยนแปลงมาทีละชั้น แต่กลับเป็นผลของการปะทะประสานของ Discourse ทำให้สิ่งนั้นผันแปรหรือกลายตัว (transformation) ไปเป็นอีกสิ่งหนึ่ง สรรพสิ่งจึงมิได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนานแต่เต็มไปด้วยจุดหักเหแตกดับจากภาวะเดิมและเกิดเป็นภาวะใหม่อยู่เรื่อยๆ (ธงชัย, 2534: 36) การเชื่อมโยงและจัดวาง “สิ่งต่างๆ” ที่ดูไม่เกี่ยวข้องกัน (ในที่นี้คือ “ฝรั่งเศสเป็นแชมป์โลก” กับ “แนะนำหนังสือเล่มใหม่ของทวีศักดิ์ เผือกสม”) ก็เพื่อจะทำให้ผู้อ่านมองเห็นใจความสำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์แบบวงศาวิทยาที่ ทวีศักดิ์ เผือกสม ใช้ในหนังสือเล่มนี้ ความเรียงกึ่งวิชาการชิ้นนี้จึงอยากจะเชิญชวน (และโฆษณา) ให้ผู้อ่านรู้จักกับเนื้อหาของหนังสือแบบคร่าวๆ ผ่านการสาธยายถึงการจัดวางความไม่ต่อเนื่องของสิ่งต่างๆ สามสิ่ง คือ “หยดเลือด” “จารึก” และ “แท่นพิมพ์” ซึ่งเป็นใจความสำคัญของทวีศักดิ์ในการเชื้อเชิญให้ผู้อ่านได้รู้จักกับการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ “แหวกแนว” ไปจากประวัติศาสตร์แบบเดิมๆ ตามความเข้าใจของคนในสังคมที่มองว่าประวัติศาสตร์เป็นเรื่องราวของอดีตที่สามารถสืบสาวยาวเหยียดไปถึงเทือกเขาอัลไต!
“หยดเลือด” “จารึก” และ “แท่นพิมพ์”
หยดเลือด จารึก และแท่นพิมพ์: ว่าด้วยความรู้/ความจริงของชนชั้นนำสยาม พ.ศ. 2325-2411 ประกอบไปด้วยเนื้อหาจำนวนเจ็ดบทด้วยความหนาของจำนวนหน้ากระดาษราว 330 หน้า ผู้เขียนจะขอ “รีวิว” ใจความสำคัญของเนื้อหาแต่ละบท และจะพยายามทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเหตุใดหนังสือเล่มนี้ถึงอุปมาเปรียบเปรยด้วย “หยดเลือด” “จารึก” และ “แท่นพิมพ์” ที่ดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเลยเสียด้วยซ้ำ ดังนี้
บทนำ : “สยามเก่า” กับ “สยามใหม่” ในปัญหาการอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ยุคต้นรัตนโกสินทร์ ทวีศักดิ์เกริ่นนำผู้อ่านด้วยการพรรณนาถึงปัญหาของการแบ่งยุคประวัติศาสตร์ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ที่ควรจะสืบเนื่องจากอยุธยาหรือรวมช่วง “รัตนโกสินทร์ตอนต้น” เข้ากับการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2398 เป็นต้นไปดี จากข้อเสนอของนักประวัติศาสตร์หลากหลายสำนักความคิด เช่น การมองสนธิสัญญาเบาว์ริงในฐานะจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจไทยของฉัตรทิพย์ นาถสุภา การเน้น “ปัจจัยภายใน” ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ หรือการเน้น “ปัจจัยภายนอก” ของธงชัย วินิจจะกูล ท่ามกลางความสับสนของการถกเถียงในการนิพนธ์ประวัติศาสตร์ว่าด้วยการเปลี่ยนผ่านจาก “สยามเก่า” สู่ “สยามใหม่” ทวีศักดิ์จึงตัดสินใช้ “หยดเลือด” “จารึก” และ “แท่นพิมพ์” เพื่อเป็นหลักฐานในการเชื่อมโยงข้อเสนอของนิธิ เอียวศรีวงศ์ และ ธงชัย วินิจจะกูลเข้าด้วยกัน ความกล้าหาญของทวีศักดิ์ในการเชื่อมโยงข้อเสนอที่มาจากคนละวิธีวิทยานั้นนับได้ว่าเป็นจุดเด่นของงานศึกษาของทวีศักดิ์นับตั้งแต่ได้มีการเผยแพร่ในรูปแบบวิทยานิพนธ์เมื่อยี่สิบปีมาแล้ว
บทที่ 1 การตีความพุทธศาสนาในจารีตของชนชั้นนำไทยต้นรัตนโกสินทร์: กายกับจิต และ โลกย์กับธรรม ความพยายามแรกเริ่มของทวีศักดิ์ในการเชื่อมโยง “ปัจจัยภายใน” เข้ากับ “ปัจจัยภายนอก” คือการสืบสาวย้อนกลับไปยังตัวบทของ ไตรโลกวินิจฉยกถา ของพระยาธรรมปรีชาในสมัยรัชกาลที่ 1 เพื่อยืนยันว่าโลกทัศน์ของผู้คนในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีการแบ่งโลกออกเป็นสองส่วน
คือ “กาย” กับ “จิต” หรือ “โลกย์” กับ “ธรรม” ก่อนที่จะมีการรับอิทธิพลจากความคิดทางด้านวิทยาศาสตร์ตะวันตกมาก่อนแล้ว และทำให้การเลือกรับความคิดจากชาวตะวันตกเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพียงแค่ว่าแนวคิดใหม่ๆ ที่ชนชั้นนำสมัยต้นรัตนโกสินทร์เลือกรับมานั้นเป็นแค่ “ความรู้ทางโลกย์” ที่ด้อยกว่า “ความรู้ทางธรรม” เท่านั้นเอง
บทที่ 2 สกดตามไปโดยรอยเท้าและสายโลหิตอันหยดย้อย: การค้นหาความจริงใน กฏหมายตราสามดวง การย้อนกลับไปอ่านตัวบทของ กฎหมายตราสามดวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกำหนดหน้าที่ของตระลาการในการค้นหาความจริงให้เปรียบเหมือนกับการพรานล่าเนื้อที่ต้องคอย “สกดตามไปโดยรอยเท้าและสายโลหิตอันหยดย้อยไปกว่าจะสุดรอยเท้าแลสุดสายโลหิต ก็พบซึ่งตัวเนื้ออันยิงลำบากไปนั้น” ทวีศักดิ์เปิดเผยสาแหรกของวิธีคิดในลักษณะคล้ายคลึงกับวิธีคิดแบบประจักษ์นิยมแบบตะวันตก กล่าวคือ ความจริง (ตัวเนื้อที่สามารถค้นหาได้จากหยดเลือด) เป็นสิ่งที่สามารถติดตามค้นหาและรู้ได้ เพราะฉะนั้น “หยดเลือด” ที่ทวีศักดิ์ใช้นั้นก็เป็นสัญญะถึงหนทางที่จะนำไปสู่ที่มาหรือจุดกำเนิดของความจริง และอาจจะกล่าวได้เช่นกันว่าที่จริงแล้ว มนุษย์ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์สามารถค้นหาความจริงเกี่ยวกับโลกธรรมชาติได้โดยการติดตามและตรวจสอบสิ่งต่างๆ ซึ่งจะนำไปสู่จุดกำเนิด (ทวีศักดิ์, 2561: 123) ผ่านวิธีวิทยาที่อาศัย “คำให้การ” เช่น คำให้การจีนกั๊กเรื่องเมืองบาหลี คำให้การนายจาดเรื่องเหตุการณ์ในเมืองพม่า คำให้การชาวกรุงเก่า เป็นหลัก
บทที่ 3 จารึกวัดพระเชตุพน : บูรพคดีศึกษา, ภาพตัวแทนของความรู้, และการเขียนตะวันตกของชนชั้นนำสยาม ทวีศักดิ์ได้หยิบหลักฐานชิ้นถัดมาคือ “จารึก” ของวัดพระเชตุพน เพื่ออภิปรายถึงความคิดที่อยู่เบื้องหลังการ “แช่แข็ง” ความรู้ทางโลกย์ของชนชั้นนำในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงผ่านการล้นทะลักเข้ามาของความรู้และความคิดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากบรรดาเจ้าอาณานิคมตะวันตก ชนชั้นนำเหล่านี้จึงตัดสินใจที่จะ “เลือก” รักษาความรู้ดั้งเดิมบางส่วนของกลุ่มตนเพื่อมิให้สูญหายไป โดยทวีศักดิ์ยังชี้ให้เห็นถึงความน่าสนใจของการเลือกรักษาความรู้ของชนชั้นนำที่นับเอาความรู้เกี่ยวกับ“ชาติพันธุ์วรรณนา” (ethnography) ของ “คนอื่น” (the other) ในแง่ของการเปรียบเทียบตัวตนของสยามกับคนอื่นผ่านลักษณะขนบธรรมเนียมประเพณี รูปร่าง และผิวพรรณ จาก “โคลงภาพคนต่างภาษา”
บทที่ 5 ศิวิไลยเชตแลแอนไล้ตแรตนาแฉน ณ ปลายทางสุขาวดีของชนชั้นนำสยาม เนื้อหาบทก่อนสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ถือได้ว่าเป็นผลลัพธ์จากความสำเร็จในการ “จัดการ” กับความรู้สมัยใหม่ของตะวันตกภายใต้รากฐานทางความคิดที่แบ่งแยก “โลกย์กับธรรม” ออกจากกันตลอดจน “สกดตามไปโดยรอยเท้าและสายโลหิตอันหยดย้อย” เพื่อสืบเสาะและเข้าถึงความจริงเชิงประจักษ์จาก “ความรู้ทางโลกย์” จนไปพบปะกับมาตรฐานความ “ศิวิไลยเชตแลแอนไล้ตแรตนาแฉน” (Civilized and Enlighted Nation) ของตะวันตก ทำให้ชนชั้นนำของสยามได้ปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการให้คุณค่าเกี่ยวกับ “ปลายทางสุขาวดี” ผ่านการเดินทางท่องเที่ยวไปสู่ “ยอดพระเจดีย์ในชุมชนนานาชาติ” ผ่านการเสด็จประพาสยุโรปทั้งสองครั้งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และ บทสุดท้าย ยอน 1:5 – บทดอกสร้อยรำพึงในความมืด ทวีศักดิ์ได้อาศัย กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า เพื่อเกริ่นท้ายถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ภูมิหลังส่วนตัว พื้นฐานทางความคิด บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และข้อสังเกตที่มีต่อแนวทางการทะลวงเพดานทางความคิดของกรอบคิดการเขียนประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม โดยทวีศักดิ์เห็นว่าการจัดวางให้เหล่ามหาบุรุษเป็นเพียงปุถุชนที่อยู่ในโครงข่ายของความรู้และวาทกรรมชุดหนึ่งนับเป็นทางออกที่น่าสนใจทางออกหนึ่ง
ในที่สุดแล้ว การจัดวางโครงเรื่องของการเขียนประวัติศาสตร์ความคิดของชนชั้นนำในต้นรัตนโกสินทร์และการนำไปใช้เป็นชื่อหนังสือของ ทวีศักดิ์ เผือกสม โดยใช้ “หยดเลือด” “จารึก” และ “แท่นพิมพ์” จึงถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำ “ความไม่ต่อเนื่อง” มาเป็นตัวแสดงในการดำเนินเรื่อง ผู้เขียนนึกถึงกระแสของ Ontological Turn และ Technological Turn ในวงวิชาการสังคมศาสตร์-มนุษยศาสตร์ไทยที่พยายามออกมาเรียกร้องให้นักวิชาการหันมาสนใจตัวแสดงที่อยู่นอกเหนือไปจากมนุษย์ คือ “อมนุษย์” (non-human) เช่น “สิงสาราสัตว์” “เขื่อนขันธ์” หรือ “เงาะดอยคำ” เป็นต้น รวมถึงความตลกที่เทคโนโลยีการถ่ายภาพยังมีส่วนโน้มน้าวให้ผู้ตัดสินการแข่งขันฟุตบอลโลกนัดชิงชนะเลิศได้ตัดสินให้ฝรั่งเศสได้ลูกจุดโทษหลังจากการไปดูภาพวีดีโอย้อนหลังที่ซูมไปถ่าย
พฤติกรรมของนักฟุตบอลในกรอบเขตโทษท่ามกลางความข้องใจและคลุมเครือของแฟนบอลทีมชาติโครเอเชียที่เห็นว่าฝรั่งเศสไม่ควรได้ลูกโทษนี้ และมีส่วนสำคัญให้โมเมนตัมของเกมส์เปลี่ยนไปในทิศทางที่เป็นใจต่อ “จ้าวไก่ฝรั่งเศส” และทำให้แชมป์โลกสมัยที่สองตกเป็นของฝรั่งเศสในที่สุด ผู้เขียนกล่าวอ้างถึงเทคโนโลยีในฟุตบอลโลกเสียยาวเหยียดเพราะบทบาทของเทคโนโลยีที่ดูไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทางสังคมศาสตร์-มนุษยศาสตร์นั้นที่จริงแล้วกลับมีผลกระทบต่อกิจกรรมของมนุษย์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ความจริงเชิงประจักษ์ที่ผู้เขียนยกมาข้างต้นก็สามารถสืบสะกดร่องรอยได้ตามหลักฐานที่เห็นได้ชัด เช่น ความสำคัญของแนวคิดวงศาวิทยาและความไม่ต่อเนื่องของมิเชล ฟูโกต์ คนฝรั่งเศสที่มีผลต่อการเขียน หยดเลือด จารึก และแท่นพิมพ์ ของทวีศักดิ์ เผือกสม กับภาพนักฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศสชูถ้วยแชมป์โลกกลางสายฝนที่ตกแบบโหมกระหน่ำ ความจริงที่เพิ่งเกิดขึ้นไปแล้วมิอาจจะสามารถย้อนถอยหลังกลับไปได้อีก เหมือนกับคำพูดของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่กล่าวไว้ว่า “หมุนเข็มนาฬิกากลับกี่ครั้ง เข็มก็เดินหน้าเสมอ”
เอกสารอ้างอิง
ทวีศักดิ์ เผือกสม. 2561. หยดเลือด จารึก และแท่นพิมพ์: ว่าด้วยความรู้/ความจริงของชนชั้นนำสยาม พ.ศ. 2325-2411 กรุงเทพฯ : Illuminations Editions.
ไทยพีบีเอสนิวส์. “คณะศิษย์ฯ ลั่น “พระธัมมชโย” จะมอบตัวเมื่อบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย.” เข้าถึงเมื่อ 16 กรกฎาคม 2561.
เข้าถึงได้จาก https://news.thaipbs.or.th/content/253195 ธงชัย วินิจจะกูล. 2534. รายงานโครงการวิจัยเสริมหลักสูตร เรื่อง วิธีการศึกษาประวัติศาสตร์แบบวงศาวิทยา (Genealogy) กรุงเทพฯ : คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |