โดย พินัย สิริเกียรติกุล
The Human Condition หรือ มนุษย์สภาวะ เป็นผลงานชิ้นสำคัญของ ฮันนาห์ อาเรนท์ (Hannah Arendt) นักปรัชญาชาวเยอรมันเชื้อสายยิว ซึ่งสำรวจธรรมชาติของกิจกรรม แรงงาน และผลงานของมนุษย์ ตลอดจนคุณค่าความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ทั้งในปริมณฑลส่วนตัวและสาธารณะ

The Human Condition ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในปี 1958
โดยพื้นฐานแล้วแม้ว่างานชิ้นนี้จะให้ความสำคัญกับพื้นที่สาธารณะและการแสดงออกทางเมือง แต่ในทางปรัชญาก็มีนัยประหวัดถึงศาสตร์แห่งการสร้างสรรค์อย่างสถาปัตยกรรมด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิเคราะห์มนุษย์สภาวะของอาเรนท์ที่ช่วยให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ สภาพแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น และบริบททางสังคมการเมืองในภาพกว้าง
ปัจจุบันงานศึกษาเกี่ยวกับ “มนุษย์สภาวะ” ของอาเรนท์ได้ปรากฏขึ้นในโลกภาษาไทยแล้ว โดยอาจารย์พิศาล มุกดารัศมี ในชื่อ “VITA ACTIVA การรื้อฟื้น ‘มนุษย์สภาวะ’ ของฮันนาห์ อาเรนท์” (จัดพิมพ์ครั้งแรกโดย สำนักพิมพ์ Illuminations Editions) การได้มีโอกาสอ่านงานของอาเรนท์ในภาคภาษาไทย โดยเฉพาะบทที่ว่าด้วย “ไตรลักษณ์แห่งมนุษย์สภาวะ” (พิศาล: 49-104) ช่วยให้เราเห็นความหมายที่ปรัชญาการเมืองของอาเรนท์มีต่อสถาปัตยกรรม พื้นที่สาธารณะ และเมือง ไม่น้อยทีเดียว
ในหนังสือ The Human Condition (1958) อาเรนท์แบ่งกิจกรรมพื้นฐานของมนุษย์ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ แรงงาน (labour) ผลงาน (work) และการแสดงตน (action)

ไตรลักษณ์แห่งมนุษย์สภาวะ
อาเรนท์กล่าวว่า “แรงงาน” หมายถึงกระบวนการทางชีววิทยาขั้นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการอยู่รอดของมนุษย์ เช่น การกิน การเติบโต การสืบพันธุ์ และการเสื่อมสลาย “มันดำเนินอยู่ภายใต้วงจรของการเกิดและการดับ ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นจากแรงงานไม่อาจดำรงอยู่อย่างคงทนถาวรได้” (พิศาล: 58)
ในแง่นี้แรงงานจึงเป็นกระบวนการทางชีวภาพเพื่อตอบสนองกิเลสตัณหาอย่างไม่รู้จบสิ้น ซึ่งหากมนุษย์เราหมกหมุ่นอยู่เพียงกิจกรรมประเภทนี้ก็ “เปรียบเสมือนถูกจองจำด้วยการใช้แรงงานของตนเอง […] ไม่ต่างจากสัตว์ที่ถูกมนุษย์นำมาใช้แรงงาน” (พิศาล: 59)
ในแง่การปลดปล่อยปัจเจกบุคคลจากพันธนาการแห่งการกดขี่แรงงานนั้นอาเรนท์ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากคาร์ล มาร์กซ์ แต่ขณะเดียวกันอาเรนท์ก็ต่างจากมาร์กซ์ที่คิดว่าแรงงานจะต้องสิ้นสุดลงก่อนที่อิสรภาพของมนุษย์จะเกิดขึ้นได้ โดยอาเรนท์เสนอว่า ขณะที่มนุษย์ใช้แรงงานที่จำเป็นต่อการมีชีวิตอยู่ เราก็สามารถหลุดพ้นจากสภาวะการถูกใช้แรงงานนั้นด้วย “ผลงาน”
“ผลงาน” ในทรรศนะของอาเรนด์ เกิดจากการที่มนุษย์ในฐานะ “สัตว์นักประดิษฐ์” (fabricator/homo faber) ใช้ทักษะ ความรู้ และประสบการณ์ ลงมือกระทำต่อวัตถุดิบจากธรรมชาติ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแปลงวัตถุดิบนั้นให้เกิดเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ใช้สอย มีอายุการใช้งานยืนนาน หรือกระทั่งถาวร โดยตัดตอนมันออกจากวัฏจักรทางชีวภาพ
กล่าวอีกอย่างได้ว่ากระบวนการสร้างสรรค์ผลงานนั้น “ดำเนินไปในลักษณะของการตัดขาด โดยแยกสิ่งที่ต้องการออกมา รวมไปถึงขั้นทำลายสิ่งที่ดำรงอยู่ในธรรมชาติเพื่อจะนำมันมาดัดแปลงและสร้างสรรค์ขึ้นใหม่” (พิศาล: 91)
ในแง่นี้ผลงานจึงแตกต่างจาก “แรงงาน” อย่างมีนัยสำคัญ เพราะมีสภาวะที่อยู่เหนือวัฏจักรทางชีววิทยา ดังที่พิศาลบรรยายว่า
“มนุษย์พรากมันออกมาจากที่อยู่เดิมในธรรมชาติ นำมาดัดแปลงและเปลี่ยนสภาพสิ่งของตามที่มนุษย์ต้องการ ยกตัวอย่างเช่น การตัดต้นไม้เพื่อนำมาสร้างเป็นเฟอร์นิเจอร์อย่างเช่นโต๊ะเก้าอี้ หรือนำมาสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย การกระทำดังกล่าวคือการทำลายเพื่อตัดวงจรการเสื่อมสลายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หากมนุษย์ปล่อยต้นไม้หรือไม้เอาไว้ตามธรรมชาติ โดยไม่เข้าไปจัดการแปรรูป ประโยชน์ของมันก็อาจจะอยู่เพียงแค่การรักษาและสร้างสมดุลให้กับระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมของป่า […] ในที่สุดต้นไม้ก็จะเกิดการเสื่อมสภาพจนหมดอายุลง เกิดการย่อยสลายไปตามวันเวลา เพราะฉะนั้นการนำไม้มาสร้างแปรรูปเป็นผลงานคือการต่ออายุ เป็นการสร้างความยืนยาวให้กับวัตถุดิบที่มีอยู่ในธรรมชาติ” (พิศาล:75-76)
ในแง่นี้ “ผลงาน” จึงเป็นอิสระจากผู้สร้างสรรค์ ด้วยคุณสมบัติของการเป็นผลผลิตของแรงงานส่วนเกิน (the product of ‘surplus’ labour) ผลงานจึงเป็นสิ่งคงทนถาวร (durability) ที่แยกจากปัจเจกบุคคลตามตรรกะของเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม
ยิ่งหากทุ่มเทแรงกายแรงใจและความคิดสร้างสรรค์ลงไปในการผลิตผลงานมากเท่าไหร่ ผลงานที่เกิดขึ้นก็อาจมีอายุยืนยาวเกินไปกว่าชีวิตของผู้สร้างสรรค์มากขึ้นเท่านั้น ดังผลงานศิลปะและสถาปัตยกรรมของศิลปินและสถาปนิกชั้นยอดที่ได้รับการยกย่องกลายเป็นมรดกทางปัญญาและวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ล้วนเป็นข้อพิสูจน์ถึง “ความอมตะ” ของผลงานที่ยืนยาวกว่าชีวิตของผู้สร้างได้เป็นอย่างดี

การแบ่งแยกระหว่าง “แรงงาน”กับ “ผลงาน” ของอาเรนท์จึงเปรียบเสมือนการเรียกร้องให้ประเมินความสัมพันธ์ของมนุษย์กับแรงงานเสียใหม่ โดยมองหาช่องทางในการมอบเกียรติศักดิ์ศรีแก่ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่มีเป้าหมายในชีวิตมากไปกว่าการหาเลี้ยงปากท้องเท่านั้น
ประเด็นที่อาเรนท์ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในที่นี้คือ ความมีอิสระของผู้สร้าง ที่สามารถกำหนดเป้าประสงค์และวิธีการทำงานของตนเอง เพราะหากปราศจากซึ่งอิสระนี้ความพยายามที่ทุ่มเทลงไปทั้งหมดก็อาจกลายเป็นเพียงการทำงานที่น่าเบื่อหน่าย ไม่ต่างไปจากการใช้แรงงานที่ถูกกำหนดให้ทำงานตามจังหวะของสายพานการผลิต เสมือนเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งในเครื่องจักรที่ทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน โดยปราศจากการใช้ความคิด ทักษะ และประสบการณ์อย่างสร้างสรรค์ (พิศาล: 96)
ซึ่งในประเด็นนี้ว่าไปแล้วอาเรนท์ก็ไม่ต่างไปจากนักวิจารณ์ศิลปะชาวอังกฤษอย่าง จอห์น รัสกิน หรือนักปรัชญาชาวเยอรมันอย่าง มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ ที่เชิดชูการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแปลงวัตถุดิบธรรมชาติให้กลายเป็นผลงานที่มีค่าขึ้นมาบนโลกใบนี้
กิจกรรมพื้นฐานประการที่สาม “การแสดงตน” เกี่ยวข้องกับปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์และการสื่อสารในพื้นที่สาธารณะผ่านทั้งการกระทำและคำพูด
น่าสนใจว่าแม้ “การแสดงตน” จะเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้นำไปสู่การสร้างผลลัพธ์เป็นรูปธรรม คือไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้ในทำนองเดียวกันกับ “แรงงาน” แต่โดยแก่นแท้แล้ว สาระสำคัญของ “การแสดงตน” นั้นอยู่ที่ตัวกิจกรรม ซึ่งเป็นทั้งเป้าหมายและวิธีการในตัวเอง
สำหรับอาเรนท์ มีเพียงการลงมือทำและการใช้ถ้อยคำเท่านั้นที่มนุษย์จะพิสูจน์ตัวตนในที่สาธารณะ (Arendt: 179) เพราะการดำรงอยู่ของมนุษย์อย่างมีความหมายย่อมไม่ใช่แค่เรื่องการครุ่นคิดใคร่ครวญโดยลำพัง ทั้งยังมิใช่การลงมือปฏิบัติแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังต้องแสดงตนให้คนอื่นเห็น รับรู้ และตระหนักถึงคุณค่าในสิ่งที่ตนทำ ได้ทำ และตั้งใจจะทำ ดังที่เธอกล่าวว่า “ในการแสดงตนและการพูด มนุษย์แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นใคร เปิดเผยอัตลักษณ์ส่วนบุคคลที่เป็นเอกลักษณ์ของตนอย่างกระตือรือร้น” (Arendt: 179)

ภาพ Cicero Denounces Catiline ซึ่งวาดโดย Cesare Maccari ในปี 1888
ดูเรื่องราวของภาพนี้ที่ https://shorturl.at/iqAU1
อาเรนท์เรียกการแสดงตนในพื้นที่สาธารณะนี้ว่า “vita activa” หรือชีวิตที่กระตือรือร้น อันเป็นสิ่งที่เธอมองว่าเป็นพื้นฐานของเสรีภาพทางการเมืองอย่างแท้จริง

โปสเตอร์ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง ‘Vita Activa: The Spirit of Hannah Arendt’ (2015) กำกับโดย Ada Ushpiz
ควรกล่าวด้วยว่าแนวคิดในการแบ่งพื้นที่ทางสังคมออกเป็นปริมณฑลสาธารณะและปริมณฑลส่วนตัวนั้นแท้จริงแล้วมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน แต่เพิ่งเป็นที่สนใจในวงการสถาปัตยกรรมอย่างจริงจังก็เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สองนี่เอง ทั้งนี้เพราะอิทธิพลของหนังสือ The Human Condition ที่อาเรนท์ได้ชี้ให้เห็นว่าการสิ้นสุด (demise) ของ “ความเป็นสาธารณะ” ในทางการเมืองและสังคมนั้นได้เกิดขึ้นในเชิงพื้นที่ (spatial terms) ในระดับที่พอกัน ดังจะเห็นได้จากความเสื่อมถอยของสถาปัตยกรรมนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ที่เป็นสัญญาณส่อถึงกระบวนการสิ้นสุดนั้น (Forty: 105)
อาเรนท์เชื่อมโยงความสัมพันธ์ให้เห็นว่า หากมนุษย์ถูกลิดรอนโอกาสในการแสดงตนอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ เสรีภาพในความหมายอันแท้จริงก็เกิดขึ้นไม่ได้ ฉะนั้นสำหรับอาเรนท์แล้วความมีชีวิตชีวาของระบอบประชาธิปไตยจึงขึ้นอยู่กับการแลกเปลี่ยนความคิดและการกระทำในพื้นที่สาธารณะอย่างอิสระ
การวิเคราะห์นี้เองที่บอกเป็นนัยว่าการออกแบบและการใช้พื้นที่สาธารณะมีบทบาทสำคัญต่อการช่วยส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิการแสดงออกของพลเมือง อันดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่สังคมไทยเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปแล้วในปัจจุบัน และนี่จึงเป็นหนึ่งในหลายคำตอบที่สังคมไทยควรต้องอ่านงานของอาเรนท์

การขาดพื้นที่สาธารณะในกรุงเทพฯ ทำให้มีการใช้สถานี BTS หรือ Sky Walk เป็นที่ชุมนุมทางการเมือง ซึ่งก่อให้เกิดปัญหากับผู้ที่ต้องใช้บริการของ BTS
เพราะนอกจากการสำรวจ “มนุษย์สภาวะ” ที่อาเรนท์แยกแยะระหว่างแรงงาน ผลงาน และการแสดงตน จะได้ตั้งข้อสังเกตเชิงปรัญญาเกี่ยวกับธรรมชาติของการดำรงอยู่ของมนุษย์และการขับเคลื่อนทางสังคมแล้ว เรายังสามารถนำแนวคิดของอาเรนท์เกี่ยวกับพื้นที่สาธารณะมาใช้ตรวจสอบมิติความเป็นประชาธิปไตยในสถาปัตยกรรมและการวางผังเมืองร่วมสมัยได้ด้วยเช่นกัน
อาคาร ห้างร้าน อาคารราชการ พลาซ่า ศูนย์กลางชุมชน สวนสาธารณะ และเมืองที่มนุษย์เราสร้างขึ้น เหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของผู้คนมากน้อยแค่ไหน การเข้าถึงพื้นที่สาธารณะในเมืองยากง่ายเพียงไร ครอบคลุมและเปิดโอกาสให้ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ผ่านการกระทำและการพูดจาด้วยหรือไม่ อย่างไร ลองพิจารณาดูเถอะ พื้นที่สาธารณะใดใกล้บ้านเราบ้างที่อนุญาตให้เกิดปรากฏการณ์ทางสังคมเช่นนี้

จากโพสต์ของ กรุงเทพธุรกิจ
ดูที่ https://www.blockdit.com/posts/62b572dfda9d27095cbdca11
โดยรวมแล้ว การกลับมาอ่าน “มนุษย์สภาวะ” ของอาเรนท์ใน พ.ศ. นี้ นอกจากจะช่วยทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ทั้งในมิติของการดำรงอยู่ ความคิดสร้างสรรค์ และเสรีภาพทางการเมือง ตลอดจนความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างสถาปัตยกรรม พื้นที่สาธารณะ และการมีส่วนร่วมทางสังคมแล้ว ยังช่วยชี้นำแนวทางในการออกแบบพื้นที่สาธารณะที่จะช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของมนุษย์และการมีส่วนร่วมทางสังคมอย่างมีชีวิตชีวา
นอกจากผู้สนใจปรัชญาการเมืองของอาเรนท์แล้ว หนังสือ “VITA ACTIVA การรื้อฟื้น ‘มนุษย์สภาวะ”โดยอาจารย์พิศาล มุกดารัศมีชิ้นนี้ จึงเหมาะกับใครก็ตามที่มีบทบาทในการกำหนดสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ผู้คนต่างต้องอาศัย ทำงาน และเข้าสังคม
---------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
พิศาล มุกดารัศมี. VITA ACTIVA การรื้อฟื้น ‘มนุษย์สภาวะ ของฮันนาห์ อาเรนท์. กรุงเทพฯ : Illuminations Editions, 2561.
Arendt, Hannah. The Human Condition. Chicago; London: University of Chicago Press, 1998.
Forty, Adrian. Words and Buildings: A Vocabulary of Modern Architecture. London: Thames & Hudson, 2000.