โดย ฐนพงศ์ ลือขจรชัย ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
หนังสือ “เมื่อใดจึงเป็นชาติ?” เป็นหนังสือรวมข้อถกเถียงที่สำคัญของคำถามที่ว่า “เมื่อใดจึงเป็นชาติ?” (When is a nation?) ในโลกตะวันตก โดยสำนักพิมพ์ Illumination Editions ได้รวมรวบบทความสำคัญและแปลออกมาในรูปแบบภาษาไทยได้อย่างครบถ้วน หนังสือเล่มนี้จึงเป็นทั้งหนังสือรวมบทความที่แยกจากกัน และเป็นทั้งหนังสือที่ต่อบทสนทนาระหว่างบทความได้อย่างลื่นไหล
ในบทนำ ธเนศ วงศ์ยานนาวา ได้เขียนบทความขนาดยาวเรื่อง “เมื่อตาบอดคลำ "Nation" ตะวันตก”[1] เพื่อร้อยรัดหนังสือทั้งเล่มผ่านการเชื่อมโยงบริบทและเส้นทางทางความคิดในข้อถกเถียงว่าเมื่อใดจึงเป็นชาติ สำหรับผู้เขียนแล้วบทความนี้เองเป็นทั้งบทเปิดที่ตระการตา และควรเป็นบทปิดที่กดคำถามของหนังสือไว้ได้อย่างอยู่หมัด (จึงแนะนำให้ทั้งอ่านก่อนเพื่อให้เห็นภาพรวม [ซึ่งอาจยังไม่เข้าใจ] และควรอ่านอีกครั้งเมื่ออ่านบทความทั้งเล่มจบให้เป็นบท “ฟินาเล่” [Finale] เพื่อปิดการแสดงของหนังสือเล่มนี้)
ธเนศ วงศ์ยานนาวา ในงานเสวนา "When is the Nation? - เมื่อใดจึงเป็นชาติ" ณ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562
ในบทต่อมา พิพัฒน์ พสุธารชาติ ได้หยิบยกบทความเรื่อง “การทำแผนที่ทางสนาม:ทฤษฎีชาตินิยมและแนวทางศึกษาแบบชาติพันธุ์เชิงสัญลักษณ์” ของ แดเนียล คอนเวอซี (Daniele Conversi)[2] มาแปลเพื่อเป็นดังคู่มือ (guideline) ในการทำความเข้าใจต่อปัญหาเรื่อง “เมื่อใดจึงเป็นชาติ” และช่วยเสริมความเข้าใจในการศึกษาแบบชาติพันธุ์เชิงสัญลักษณ์ (ethosymbolic) ของ แอนโทนี ดี. สมิธ (Anthony D. Smith) ที่เป็นบทความที่สำคัญอีกบทความหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ (ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไปในบทปริทัศน์นี้)
แดเนียล คอนเวอซี
บทปริทัศน์นี้ต้องการสรุปหนังสือ “เมื่อใดจึงเป็นชาติ?” เพื่อเรียบเรียงข้อถกเถียงที่ลึกล้ำและชวนสับสนในหนังสือให้เรียบง่ายและเชื่อมโยงกัน สำหรับผู้ที่ต้องการจะทำความเข้าใจปัญหาข้างต้นก่อนที่จะกระโจนลงไปสู่ห้วงสมุทรทางปัญญาที่น่าตื่นตะลึงแต่ยากที่จะไถ่ถอนตัวดังเสียงของ “ไซเรน” (Siren) ที่คอยจะล่อลวงนักเดินทางทั้งหลาย (และหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้ผู้กล้าทั้งหลายไม่หวาดกลัวต่อการใช้ทฤษฎีในการทำงานของตน)
สำหรับคำถามว่า “เมื่อใดจึงเป็นชาติ?” นั้นเกิดจากการที่ข้อถกเถียงว่า “ชาติคืออะไร?” กลายเป็นข้อถกเถียงที่ไม่อาจหาทางออก (controversy) วอล์กเกอร์ คอนเนอร์ จึงเสนอให้ลองตั้งคำถามใหม่ว่า “เมื่อใดจึงเป็นชาติ” หรือ “ณ จุดใดของพัฒนาการที่ ‘ชาติ’ ได้ถือกำเนิดขึ้น”[3] (ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นคำถามที่ยังไม่มีทางออกเช่นกัน) โดยคอนเนอร์ได้ยกงานชิ้นสำคัญของ ยูจีน เวเบอร์ (Eugene Weber) เรื่อง “Peasants into Frenchmen: The Modernization of Rural France, 1870-1914” (จากชาวนาสู่การเป็นชาวฝรั่งเศส : การทำชนบทฝรั่งเศสให้ทันสมัย ค.ศ.1870-1914) ที่ได้เสนอว่า ผู้คนส่วนใหญ่ในชนบทและเมืองเล็ก ๆ ของฝรั่งเศสนั้นไม่เคยรับรู้ว่าตนเป็นสมาชิกของชาติฝรั่งเศสจนกระทั่งถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื่องจากหมู่บ้านเหล่านั้นอยู่อย่างโดดเดี่ยวและแยกออกจากรัฐทั้งในแง่กายภาพ การเมือง และวัฒนธรรม[4]
ข้อค้นพบนี้สร้างความมึนงงให้แก่โลกวิชาการอย่างมาก เพราะฝรั่งเศสเองถูกมองเป็นต้นแบบของการสร้าง “ชาติ” โดยมีการศึกษาและข้อสรุปมากมายถึงการก่อกำเนิดขึ้นของ “ชาติฝรั่งเศส” ที่มีมาตั้งแต่ยุคกลาง เช่น มาร์ก บลอค (Marc Bloch) ที่เห็นว่าฝรั่งเศสและเยอรมันนั้นให้ความสำคัญต่อสำนึกความเป็นชาติอย่างจริงจังตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 1100 แล้ว[5] โยฮัน ฮุยซิงกา (Johann Huizinga) ก็มองว่าชาตินิยมของฝรั่งเศสและอังกฤษนั้นเป็นดั่ง “ดอกไม้ที่ผลิบาน” มาก่อนศตวรรษที่ 14 แล้ว[6] ส่วนซิดนีย์ เฮอร์เบิร์ต (Sydney Herbert) ก็ระบุว่า สงครามร้อยปี (ค.ศ.1337-1453) ระหว่างฝรั่งเศสกับอังกฤษนั้น คือ “สงครามระหว่างชาติ” (a national war) ของสองชาติ หรืออย่างน้อยก็สามารถอ้างได้ถึงความเป็นชาติที่แท้[7] นอกจากนี้ยังปรากฏหลักฐานว่าในช่วง ค.ศ.1840-1915 ที่มีการอพยพครั้งใหญ่จากยุโรปสู่สหรัฐอเมริกา ผู้อพยพส่วนใหญ่ที่มาจากพื้นที่ชนบทกลับไม่มีความรับรู้ต่อการเป็นสมาชิกของชาติในแบบปัญญาชนและพวกที่อยู่ในเมือง โดยพวกเขามองว่าตัวเองมีอัตลักษณ์อื่น ๆ หรือหลายอัตลัษณ์มากกว่าหนึ่งในเวลาเดียวกัน[8]
ข้อเท็จจริงนี้ทำให้คอนเนอร์กลับมาตั้งคำถามใหม่ว่า หากชาตินิยมเป็นปรากฎการณ์ที่เกี่ยวพันกับมวลชนจำนวนมากซึ่งไม่ใช่แค่ความคิดความเชื่อของชนชั้นนำแล้ว ชาติต่าง ๆ ในยุโรปที่มีอยู่ในปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่เพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นมาไม่นานนี้ และมีความล่าช้ากว่าความเชื่อของคนทั่วไปมาก[9] กล่าวคือ
“...การเอาความคิดของชนชั้นนำไปอ้างว่าเป็นความคิดของผู้คนโดยทั่วไปเพื่อยืนยันถึงการมีอยู่ของสำนึกของความเป็นชาตินั้นสมควรจะต้องถูกตั้งคำถาม น่าสงสัยว่าจนกระทั่งปัจจุบัน พวกชนชั้นนำที่มีความคิดแบบชาตินิยมจะเคยนับบ้างหรือไม่ว่ามวลชนเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของชาติ...”[10]
คอนเนอร์จึงได้เสนอให้เราถามคำถามใหม่ต่อชาติว่า “เมื่อใด” (When) โดยเขาได้เสนอเงื่อนไขและข้อจำกัดที่จะใช้สำหรับการกำหนดช่วงเวลาของการเกิดขึ้นของชาติ 4 ประการ ได้แก่ 1. สำนึกของความเป็นชาติเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับมวลชน ไม่ใช่ปรากฎการณ์ของชนชั้นนำ กล่าวคือ ต้องพิจารณามวลชนในแง่ที่ยึดมั่นหรือรับอัตลักษณ์แบบกลุ่ม (ชาติ) มาใช้ 2. การก่อตัวของชาติเป็นกระบวนการ (process) ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งเราควรพิจารณาว่า ณ จุดใดของกระบวนการที่ผู้คนจำนวนมากพอได้ยอมรับอัตลักษณ์ของชาติจนทำให้ชาตินิยมมีพลังมากพอที่จะระดมมวลชน (ซึ่งยังไม่มีเกณฑ์ที่แน่นอน) 3. กระบวนการก่อตัวของชาติไม่ใช่กระบวนการที่ใครจะสามารถกำหนดให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สามารถหยุดลงเมื่อใดก็ได้ และ 4. การสถาปนาความเป็นชาติที่เชื่อมโยงประชาชนด้วยการมีบรรพบุรษเดียวกันอันเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของความเป็นชาติ และสัมพันธ์อยู่กับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ว่าด้วยชาติพันธุ์วรรณาของประชาชนมักถูกละเลยไปจากการศึกษาการก่อตัวของชาติ[11]
ข้อเสนอของคอนเนอร์ได้ถูกโต้แย้งโดย แอนโทนี ดี. สมิท (Anthony D. Smith) ในบทความ “เมื่อใดที่ชาติหนึ่งถือกำเนิดขึ้น” (When is a Nation?) ว่า นักวิชาการที่ตั้งคำถามว่าชาติในลักษณะที่เป็นในปัจจุบัน (ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา หรือชาติในลักษณะของการเป็นรัฐชาติ) นั้น เป็นการถามหาชาติที่มีลักษณะเฉพาะ (The nation) ซึ่งคำตอบย่อมเป็นยุคสมัยใหม่แน่นอนเป็นอย่างน้อย (ตั้งแต่การปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ.1789 และการปฏิวัติอเมริกา ค.ศ.1776) เพราะชาติในลักษณะเฉพาะนี้เป็นผลผลิตหรือประดิษฐ์กรรมที่สร้างขึ้นจากความเป็นสมัยใหม่ (modernity)[13]
แอนโทนี ดี. สมิท
สมิทมองว่าหากใช้ความรู้สึกมีส่วนร่วมของมวลชนเป็นเกณฑ์ในการชี้ขาดหรือเป็นเกณฑ์การกำหนดมโนทัศน์ในเรื่องชาติดังที่พวกสมัยใหม่นิยมใช้กันแล้ว “การสืบค้นไปสู่จุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์ของความเป็นชาติย่อมเป็นอันต้องล้มเลิกกันไป” และยืนยันว่า “ช่วงเวลามหัศจรรย์ที่ชาติถูกเนรมิตขึ้นมาได้อย่างปุบปับนั้นไม่เคยมีอยู่จริง”[14] ทั้งนี้ เพราะพวกสมัยใหม่นิยมมักมองว่าชาติต้องเป็น 1. เป็นหน่วยที่มีอาณาบริเวณที่มีเส้นเขตแดนชัดเจน โดยประชาชนต้องผูกพันกับแผ่นดินเกิดอย่างใกล้ชิด 2. เป็นชุมชนทางการเมืองและกฎหมายซึ่งใช้ประมวลกฎหมายชุดเดียวกัน 3. มองว่าชาติต่าง ๆ ต้องมีลักษณะทางประวัติศาสตร์และชะตากรรมของตนแยกออกจากชาติอื่น ๆ บนโลก 4. ต้องมีความเป็นนานาชาติ (international) ซึ่งระบบถือว่ากำเนิดขึ้นครั้งแรกหลังจากสัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลีย ค.ศ.1648 และ 5. ชาติต้องเป็นชุมชนของมวลชน ที่ประชากรส่วนใหญ่จำนวนมากถูกผนวกเข้ามาและตระหนักรู้ว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของชาติ[15]
สมิทวิจารณ์ปัญหาของพวกสมัยใหม่นิยมว่าเกิดจาก 1. การตีกรอบมโนทัศน์ของชาติโดยยึดชาติพันธุ์นิยม (Ethnocentrism) หรือชาติเชิงชาติพันธุ์ (ethnic nations) ที่ต้องการองค์ประกอบทางดินแดนหรือเขตแดน และการตระหนักรู้ของสมาชิกในชุมชนที่ชัดเจนประมาณหนึ่ง[16] 2. การตั้งคำถามว่าชาติ ๆ หนึ่งที่มีลักษณะทั่วไปถือกำเนิดขึ้นเมื่อใด (when does a nation come into existence?) จำเป็นหรือไม่ที่ชาติจะต้องมีคุณลักษณะทุกประการของชาติแบบสมัยใหม่ เช่น การมีส่วนร่วมของมวลชน หากความจริงทางกายภาพของชาติดังเขตแดนปรากฎขึ้นแล้ว แต่มวลชนยังไม่ถูกบูรณาการเข้ามาทั้งประเทศเราจะสามารถบอกได้หรือไม่ว่าชาติได้เกิดขึ้นแล้วเพียงแต่ยังไม่เป็นชาติของมวลชน (mass nation)[17] และ 3. เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีชาติก่อนชาตินิยม ในหลายกรณี ชาติอาจจะดำรงอยู่ในความคิดและจิตใจของสมาชิกชุมชนอย่างชัดเจน แต่ “ชาตินิยม” อาจจะไม่มีอยู่เลย ชาติมากมายอาจจะเกิดขึ้นและดับลง และอาจเกิดขึ้นใหม่แบบเวียนซ้ำ (recurrent perennialism) ซึ่งการมองแบบพวกสมัยใหม่นิยมที่เห็นว่าจำเป็นต้องมีชาตินิยมก่อนจึงจะมีชาตินั้น เป็นรูปแบบมุมมองที่เป็นลักษณะเฉพาะของยุโรปตะวันตกเท่านั้น การมองเช่นนี้ย่อมไม่อาจพบชาติในส่วนอื่น ๆ ของโลกก่อนสมัยใหม่ได้เลย[18]
หนังสือที่แอนโทนี ดี. สมิท ศึกษาชาติด้วยแนวชาติพันธุ์เชิงสัญลักษณ์
1. ชื่อเรียกและนิยาม สำหรับกลุ่มชาตินิยม องค์ประกอบที่สำคัญต่อการก่อรูปความเป็นชาติ คือกระบวนการนิยามตนเอง (self-identification) ผ่านการมีชื่อเฉพาะของกลุ่ม ซึ่งหากไม่มีการนิยามตนเองแล้วพวกเขาอาจเป็นเพียง “หมวดหมู่ทางชาติพันธุ์ (ethnic category)” ที่ประชากรถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่เดียวกันโดยคนนอก แต่พวกเขากลับไม่มีสำนึกของความเป็นพวกเดียวกัน ชุมชนทางชาติพันธุ์ (ethnies) จะแสดงความรู้สึกเกี่ยกวับชาติพันธุ์ร่วมกันออกมาอย่างแรงกล้าผ่านจารีตประเพณีร่วม ความทรงจำร่วม และสัญลักษณ์ร่วม ซึ่งรวมถึงชื่อเฉพาะของชุมชนด้วย[21]
4. กฎหมายจารีตและธรรมเนียมประเพณี การปกครองด้วยจารีตและประเพณีของกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมาก จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ ให้สอดคล้องกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการเมือง
กล่าวคือจารีตประเพณีจะค่อย ๆ กลายเป็นแบบแผน (norm) ของสังคม สิ่งนี้จะทำให้ชุมชนที่อยู่กันหลวม ๆ พัฒนาไปสู่ชุมชนที่เกาะเกี่ยวกันมากขึ้น แบบแผนนี้เองที่จะกลายมาเป็นกฎหมายที่ใช้กันในกลุ่มขนาดใหญ่ และทำให้สมาชิกในชุมชนรู้สึกสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ผ่านกฎหมายสาธารณะที่มีร่วมกัน[24]
5. ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์หรือแผ่นดินเกิด ชาติถือเป็นรูปแบบของชุมชนทางพื้นที่ (spatial communities) ที่มีความพิเสษ โดยสามารถย้อนรอยกลับไปหาจุดกำเนิดหรือ “ราก” ของตนเองซึ่งอยู่ในภูมิทัศน์ของบรรพบุรุษที่เฉพาะเจาะจงได้ ชาติจึงเป็นชุมชนที่ครอบครองแผ่นดินเกิดของตนเองและเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์ของบรรพบุรุษ แม้ในความเป็นจริงในดินแดนหนึ่ง ๆ จะเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์แต่อุดมการณ์ชาตินิยมนั้นทำหน้าที่ถักทอสายสัมพันธ์ระหว่างภูมิทัศน์ และความเป็นชาติเข้าด้วยกัน โดยกระบวนการที่เกื้อหนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพดินแดนไปสู่ภูมิทัศน์ทางชาติพันธุ์ (ethnoscape) คือ 1. การเปลี่ยนแปลงสภาพชุมชนให้เป็น “ปรากฎการณ์ธรรมชาติ” ที่เกิดจากสภาพแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ และ 2. การเปลี่ยนแปลงสภาพดินแดนให้เป็นปรากฎการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ซึ่งสภาพแวดล้อม และสภาพภูมิประเทศของชุมชนกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชุมชน กล่าวคือ “เป็นสังเวียนแห่งการขูดรีดวีรชนและเป็นหลักฐานประจักษ์พยานแห่งจุดพลิกผันของประศาสตร์ชุมชน”[25]
หนังสือเล่มนี้แอนโทนี ดี. สมิทสำรวจรากเหง้าของชาตินิยมด้วยการตรวจสอบตำนาน สัญลักษณ์ และความทรงจำ
กระบวนการเชิงสัญลักษณ์เหล่านี้สามารถพบได้ก่อนการเกิดขึ้นของอุดมการณ์ชาตินิยมด้วยซ้ำ แนวคิดที่ว่าบางชุมชนชนถูกกำหนดด้วยสภาพแวดล้อมของแต่ละแห่งนั้นสามารถพบได้จากบทกวี ตำนาน ในอดีตต่าง ๆ มากมาย ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ คือ “การตีกรอบความทรงจำด้วยเขตแดน” (territorialisation of memory) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ความทรงจำของชุมชนถูกจัดวางลงบนพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์และกลายเป็นสิ่งที่นิยามดินแดนแห่งบรรพบุรุษของชาติหรือชุมชนทางชาติพันธุ์ ในกรณีเช่นนี้ เราสามารถย้อนดูความทรงจำที่ถูกตีกรอบด้วยเขตแดนได้เรื่อยมา จนถึงช่วงที่ความทรงจำเหล่านี้ได้รับการประมวลให้เข้ากับอุดมกาณ์ชาตินิยมสมัยใหม่[26]
สมิทสรุปว่า หากเราถามว่า “ชาตินิยมที่มีลักษณะเฉพาะเกิดขึ้นเมื่อใด” (When is the nation?) ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะหลีกเลี่ยงปัญหาด้านนิยาม และปกป้องตนเองโดยใช้มโนทัศน์ว่าด้วยชาติแบบ “ตะวันตกสมัยใหม่” ซึ่งมีอคติและยึดชาติพันธุ์ของกลุ่มตนเป็นโล่กำบัง ซึ่งเราจำเป็นต้องขยายมโนทัศน์ว่าด้วยชาติให้กว้างขึ้นและมีลักษณะทางสังคมวิทยามากกว่า กล่าวคือ การตั้งคำถามใหม่ว่า “เมื่อใดที่ชาติที่มีลักษณะทั่วไปถือกำเนิดขึ้น” (When is a nation?) โดยมโนทัศน์เช่นนี้เราจึงจะสามารถสืบหาสาแหรกหรือรากเหง้าของชาติที่ปรากฎมาตั้งแต่ห้วงเวลาในอดีตได้[27]
ข้อเสนอของทั้งสมิทและคอนเนอร์ได้ถูกจอห์น เบรยยี่ (John Breuilly) วิพากษ์ ในบทความ “กำหนดเวลากำาเนิดของชาติ: ชาติโบราณ มีอายุยาวนานแค่ไหน?” ว่า ชาตินั้นเกิดในสมัยใหม่เท่านั้น ข้อเสนอของพวกนิรันตรนิยม (perennialist) และพวกรากเหง้านิยม (primordialist) นั้นมีลักษณะเป็นการตีขลุมแบบทั่วไป แต่กลับสามารถหาหลักฐานสนับสนุนที่เป็นตัวอย่างได้เพียงไม่กี่กรณีเท่านั้น ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้ก็มักขาดบริบทและรายละเอียดที่เพียงพอ[28]
จอห์น เบรยยี่
แม้ว่าสมิทจะเสนอให้เราพิจารณาถึงชาติที่มีลักษณะทั่วไป (a nation) ออกจากชาติที่มีลักษณะเฉพาะ (the nation) เพื่อพิจารณาการเกิดชาติต่าง ๆ เป็นการเฉพาะ เบรยยี่มองว่าชาติในลักษระทั่วไปของสมิท เป็นการที่สมิทได้เพิ่มองค์ประกอบเรื่องการ “นิยามตนเอง” (self-defined) และตัดองค์ประกอบของการที่ชาติจะต้องเป็นของ “สมาชิกทุกคน” (all member) ออก ซึ่งเป็นการนิยามชาติให้เปลี่ยนจาก ชาติในฐานะกลุ่ม ไปสู่ชาติในฐานะศัพท์ทางวาทกรรมของชนชั้นนำ กล่าวคือ เป็นชาติของชนชั้นนำและกีดกันประชาชนส่วนใหญ่ออกไป[29]
เบรยยี่ได้เสนอการทดลองทางความคิด โดยให้ลองจิตนาการถึงการแข่งขันแบบแพ้คัดออก โดยให้ลองนึกถึงกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อาจเป็นผู้เข้าแข่งขันในดินแดนหนึ่ง ๆ ซึ่งได้ต่อสู้และแข่งขันกันมาตลอดช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ โดยผู้ชนะที่เหลือรอดเป็นกลุ่มสุดท้าย และได้ปรากฎกายในยุคสมัยใหม่คือชาติต่าง ๆ ที่เรารู้จักในปัจจุบัน เราจะพบว่า การสืบหารากเหง้าของชาติดังที่สมิทนำเสนอนั้นเหมือนกันการที่เรารู้ตัวว่าชาติใดจะเป็นผู้ชนะ (จากชาติที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน) และทำการมองย้อนกลับไปดูเส้นทางของชาติที่ชนะนี้มา และพิจารณาสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ชนะคนสุดท้ายผ่านเข้ารอบในรอบต่าง ๆ ความต่อเนื่องของกลุ่มชาติพันธุ์ที่กลายเป็นผู้ชนะนี้ “ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรไปมากกว่า การเหลือรอดจากกระบวนการแบบสุ่ม ๆ เอา (random)”[30] กล่าวคือ เป็นการใช้ผลลัพธ์เป็นตัวตั้งในการหาสาเหตุซึ่งไมได้สะท้อนความเป็นจริงหรือตัวแปรจำนวนมากที่ทำให้ชาตินี้หรือชาติอื่น ๆ หายไปในประวัติศาสตร์
เบรยยี่วิเคราะห์ต่อไปถึง กรณีของ “พระเจ้าอัลเฟรดมหาราช” (Alfred the Great) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 9 คืออีก 100 กว่าปีต่อมาจากงานของนักบุญบีด ที่ได้อ้าง “ความเป็นอังกฤษ” อย่างชัดเจน ในการพิพาทกับผู้ปกครองชาวแองโกล-แซ็กซอน และเดนิช (Danish) ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังเน้นย้ำว่า ภาษาที่ใช้แปลงานของ สันตะปาปาเกรกอรี และงานของนักบุญบีด ต้องเป็น “ภาษาอังกฤษ” แถมยังเรียกอาณาจักรของพระองค์ว่า “เองกลาแลนด์” (Engla land) ซึ่งถึงจุดนี้ ดูเหมือนจะเกิด “ชาติอังกฤษ” ขึ้นแล้ว เพราะมีทั้งกษัตริย์ที่เรียกตัวเองว่า “อังกฤษ” มีภาษา “อังกฤษ” และมีดินแดนที่ชื่อว่า “อังกฤษ” ยังไม่นับว่าสามารถสืบประวัติของคำว่า “อังกฤษ” ย้อนหลังไปได้กว่า 100 ปี จากงานของนักบุญบีด ดังนั้นชาติอังกฤษดูจะเกิดขึ้นแล้ว และคงหาตัวอย่างที่ชัดเจนขนาดนี้ไม่ได้อีกแล้วในช่วงเวลาเดียวกัน [34]
อย่างไรก็ดี เบรยยี่ได้โต้แย้งข้อเสนอนี้อีกครั้ง โดยการบอกว่า “เราต้องแยกระหว่างโครงการกับผลลัพธ์” แม้โครงการของพระเจ้าอัลเฟรดดูจะอังกฤษมาก แต่ก็ยังจำกัดอยู่เพียงชนชั้นนำเท่านั้น โดยประชาชนทั่วไปไม่ได้เกิดความรู้สึกที่มีภาษา ประวัติศาสตร์ หรือวัฒนธรรมร่วมกันแต่อย่างไร อีกทั้งโครงการนี้ก็ล้มเหลวลงอย่างรวดเร็ว เมื่อชาวนอร์มัน (Norman) ได้บุกยึดเกาะอังกฤษ ภายใต้การปกครองของ นอร์มัน คำว่า “อังกฤษ” ได้เปลี่ยนความหมาย โดยถูกใช้เพื่อเรียก “อาณาจักรเขตของชาวอังกฤษ” โดยคำว่า “ชาวอังกฤษ” กลายมาเป็นคำที่มักใช้เพื่อหมายถึง ชนชั้นล่างหรือผู้ถูกปกครอง ในแง่ชนชั้นนำการถูกเรียกว่า “อังกฤษ” จึงน่าอับอายเป็นอย่างมาก เมื่อเวลาผ่านไปสองถึงสามชั่วคน [35]
เมื่อเขตของอังกฤษเริ่มมั่งคั่งขึ้น สถานะของคำว่า “อังกฤษ” จึงเริ่มมีความหมายที่ดีขึ้นตาม ในแง่นี้ คำว่า “อังกฤษ” จึงมีความหมายสื่อถึงความอารายะ (civilized) เหนือพวกไอริช และเวลช์ (Welsh) ซึ่งความหมายในช่วงนี้ คำว่า “อังกฤษ” ก็ไม่ได้สื่อถึงชาติพันธุ์แต่อย่างไร
ปกคัมภีร์ไบเบิล ฉบับพระเจ้าเจมส์ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1611
เบรยยี่ได้คัดค้านอีกครั้งว่า อันที่จริงนิกายโปรเตสแตนส์ ก็เป็นได้แค่ “นิกาย” ไม่ใช่ “ชาติ” รวมทั้งสร้างความแตกแยกมากกว่าจะรวมคนอังกฤษเข้าด้วยกัน ส่วนวรรณกรรมของเชคสเปียร์ การเฉลิมฉลองเกี่ยวกับอังกฤษเป็นแค่เรื่องของชนชั้นสูงและกษัตริย์เท่านั้น ประชาชนก็เป็นเพียงตัวตลกที่นำความเสื่อมเสียมาสู่อังกฤษ กล่าวคือ ชาติในที่นี้ไม่ได้หลอมรวมคนอังกฤษเป็นหนึ่งเดียว ยิ่งไปกว่านั้นคือ ไม่ได้ทำให้ชนชั้นสูงและประชาชนเห็นตัวเองเป็นพวกเดียวกันอย่างที่ “ชาติ” มักอ้างอยู่เสมอ[38]
เบรยยี่ได้สรุปว่า ตั้งแต่ข้อเสนอการเกิด “ชาติอังกฤษ” ตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 จนถึงศตวรรษที่ 17 ไม่มีข้อเสนอใดเลยในสายตาเบรยยี่ ที่คำว่า “อังกฤษ” ถูกใช้แสดงความเป็นชาติในระดับมหาชน หรือมวลชน ดังที่ “ชาติ” มักกล่าวชอบอ้าง “ชาติ” ที่เกิดขึ้นเป็นชาติที่ปรากฏอยู่ในอัตลักษณ์ของชนชั้นนำหรืออัตลักษณ์ของราชบัลลังก์เท่านั้น “ขบวนการชาตินิยม” จึงไม่เคยเกิดขึ้นไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตามก่อนสมัยใหม่ เขาระบุว่า“ข้าพเจ้าไม่คิดว่าชาตินิยมสมัยใหม่จะพัฒนาขึ้นมาจากกลุ่มชาติพันธุ์แบบนี้หรือจากปมเชิงปกรณัม-สัญลักษณ์ของคนกลุ่มดังกล่าว...” และ “แม้แต่ในกรณีของชาติของอภิสิทธ์ชน อุดมการณ์ของชาติส่วนใหญ่แล้วถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านชนชั้นนำก่อนยุคสมัยใหม่”[39] กล่าวคือ ไม่มีชาติในกรณีใดเลยที่เกิดขึ้นก่อนสมัยใหม่ตามคำกล่าวอ้างของสมิท และคำถามว่าเมื่อใดชาติจึงสำเร็จในจุดที่มวลชนยอมรับอัตลักษณ์ของชาตินั้นไม่ได้สำคัญ เพราะชาติพึ่งจะก่อเกิดขึ้นในยุคสมัยใหม่เท่านั้น
When is the Nation? ซึ่งมีอัตสึโกะ อิชิโจ และกอร์ดานา อูซีเลค เป็นบรรณาธิการ เป็นหนังสือรวมบทความที่นำเสนอในการประชุมประจำปีครั้งที่ 14 ของสมาคมเพื่อการศึกษาด้านชาติพันธุ์และชาตินิยม (ASEN) เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2004 โดยจัดขึ้นเนื่องในโอกาสเกษียณอายุของแอนโทนี ดี. สมิท
คอนเนอร์ กลับมาสรุปอีกครั้งในบทความ “รุ่งอรุณแห่งชาติ” ว่าข้อถกเถียงทั้งหมดก็ยังกลับมาสู่ปัญหาเดิมเรื่องนิยามของชาติ ปัญหาสำคัญของนิยามเรื่องชาติ คือ “มันต้องแยกชาติจากการรวมกลุ่มของมนุษย์ในแบบอื่น ๆ”[40] โดยที่สำคัญที่สุดอุดมการณ์ชาตินิยมจึงต้องเป็นอัตลักษณ์ที่แสดงความจงรักภักดีต่อชาติ ไม่ใช่ความจงรักภักดีต่อรัฐ ซึ่งการจงรักภักดีต่อรัฐถูกเรียกว่า “ความรักในบ้านเมือง” (patriotism) ซึ่งในบริบทของรัฐชาติในปัจจุบัน เราจึงแยกความจงรักภักดี 2 ลักษณะนี้ว่าเป็น 1. ชาตินิยมแบบชาติพันธุ์ (ethnic nationalism) และ ชาตินิยมแบบพลเมือง (civic nationalism) ซึ่งการที่เราใช้คำว่าชาตินิยมในทั้งสองกรณีนั้นทำให้เกิดความสับสนในการศึกษาได้[41] ซึ่งเขาเองก็มิได้เห็นว่า คำถามว่า “เมื่อใดจึงเป็นชาติ” นั้น เป็นกุญแจสำคัญ เพราะ “อัตลักษณ์ไม่ได้ดำรงอยู่จากข้อเท็จจริงแต่อยู่ที่การรับรู้ของคน” มันไม่ได้วางอยู่บนเรื่องราวในอดีตหรือประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง แต่มาจากประวัติศาสตร์ตามความรู้สึก (sentience/ felt history) ในทัศนะของคนหมู่มาก ชาตินั้นเป็น “นิรันดร์” หรืออยู่เหนือกาลเวลา แต่ทัศนะดังกล่าวไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่เป็นเรื่องของการรับรู้ (perception) ต่อข้อเท็จจริงที่รองรับทัศนะเช่นนั้นมากกว่า[42]
---------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง
[1] ธเนศ วงศ์ยานนาวา, “เมื่อตาบอดคลำ "Nation" ตะวันตก,” ใน พิพัฒน์ พสุธารชาติ (บรรณาธิการ), เมื่อใดจึงเป็นชาติ (กรุงเทพฯ: Illumination Edition, 2562), บทนำ
[2] แดเนียล คอนเวอซี, “การทำแผนที่ทางสนาม:ทฤษฎีชาตินิยมและแนวทางศึกษาแบบชาติพันธุ์เชิงสัญลักษณ์,” แปลโดย พิพัฒน์ พสุธารชาติ ใน เรื่องเดียวกัน, บทที่ 1
[3] วอล์กเกอร์ คอนเนอร์, “เมื่อใดจึงเป็นชาติ?”, แปลโดย เก่งกิจ กิติเรียงลาภ ใน เรื่องเดียวกัน, 121
[4] เรื่องเดียวกัน, 122
[5] Marc Bloch, 1964 Feudal Society, translated by L. A. Manyon, Chicago: University of Chicago Press Carr, Edward Hallett 1967 Nationalism and After (London: Macmillan, 1964), 436
[8] วอล์กเกอร์ คอนเนอร์, “เมื่อใดจึงเป็นชาติ?”, แปลโดย เก่งกิจ กิติเรียงลาภ, 125
[9] เรื่องเดียวกัน,130
[10] เรื่องเดียวกัน,137
[11] เรื่องเดียวกัน,121-122
[12] เรื่องเดียวกัน,142-143
[13] แอนโทนี ดี. สมิท, “เมื่อใดที่ชาติหนึ่งถือกำเนิดขึ้น,” แปลโดย ต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี ใน เมื่อใดจึงเป็นชาติ, 151-152
[14] เรื่องเดียวกัน, 211
[15] เรื่องเดียวกัน,154-156
[16] เรื่องเดียวกัน,157-161
[17] เรื่องเดียวกัน,161-167
[18] เรื่องเดียวกัน, 167-173
[19]เรื่องเดียวกัน, 152
[20] เรื่องเดียวกัน,179-180
[21] เรื่องเดียวกัน,181
[22] แอนโทนี ดี. สมิท, “เมื่อใดที่ชาติหนึ่งถือกำเนิดขึ้น,” แปลโดย ต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี ใน เมื่อใดจึงเป็นชาติ,184
[23] เรื่องเดียวกัน, 188-190
[24] เรื่องเดียวกัน,191-192
[25]เรื่องเดียวกัน, 193-194
[26] เรื่องเดียวกัน, 195
[27] เรื่องเดียวกัน, 210
[28] จอห์น เบรยยี่, “กำหนดเวลากำเนิดของชาติ: ชาติโบราณ มีอายุยาวนานแค่ไหน?,” แปลโดย ธรรมชาติ กรีอักษร, ใน เมื่อใดจึงเป็นชาติ, 219
[29] เรื่องเดียวกัน, 224
[30] เรื่องเดียวกัน, 226-227
[31] เรื่องเดียวกัน, 229
[32] Bede, A History of the English Church and People (Harmondsworth: Penguin, 1955).
[33]จอห์น เบรยยี่, “กำหนดเวลากำเนิดของชาติ: ชาติโบราณ มีอายุยาวนานแค่ไหน?,” แปลโดย ธรรมชาติ กรีอักษร, 231-233
[34] เรื่องเดียวกัน, 233-239
[35] เรื่องเดียวกัน, 239-245
[36] เรื่องเดียวกัน, 254-261
[37] เรื่องเดียวกัน,262-268
[38] เรื่องเดียวกัน,268-270
[39] เรื่องเดียวกัน, 278-280
[40] วอล์กเกอร์ คอนเนอร์, “รุ่งอรุณแห่งชาติ,” แปลโดย ทศพล ศรีชุม, ใน เมื่อใดจึงเป็นชาติ, 287
[41] เรื่องเดียวกัน, 288
[42] วอล์กเกอร์ คอนเนอร์, “รุ่งอรุณแห่งชาติ,” แปลโดย ทศพล ศรีชุม, 300-301
หน้าที่เข้าชม | 198,891 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 132,162 ครั้ง |
เปิดร้าน | 8 เม.ย. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |